บทที่ 367 ฝาแฝดที่ไม่อาจล่วงเกินได้
“เจ้าเด็กบ้า เจ้าลอบทำร้ายพวกเราอย่างนั้นหรือ!”
ทั้งสองคนต่างคิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยท่าทางซื่อ ๆ ดูไร้เดียงสาเช่นนี้ จะเจ้าเล่ห์พกงูพิษติดตัวมาด้วย
“เจ้าตายซะเถอะ!” คนหนึ่งถูกงูกัด แต่ยังเหลืออีกคนหนึ่ง ขณะที่คนผู้นั้นกำลังจะใช้ฝ่ามือซัดใส่กลางหัวของอาชิง ก็มีคนตะโกนเสียงดังลั่น
“อยู่ตรงนี้! ข้าเห็นชัด ๆ ว่ามีคนลักพาตัวลูกคนที่สามของแม่ทัพเผยไป!”
“สวรรค์ ลูกของแม่ทัพเผยก็ยังจะกล้ายุ่งอีกหรือ?”
ชาวบ้านที่อยู่บนถนนโดยรอบรีบวิ่งเข้ามาพร้อมพลั่ว ขวาน และเชือกป่าน ก่อนจะบังเอิญเห็นอาชิงถูกจับเหวี่ยงขึ้นกลางอากาศ
“วางลงนะ! เจ้าโจรชั่ว ข้าจะตีขาเจ้าให้หักเดี๋ยวนี้!” พวกชาวบ้านไม่สนใจว่าสองคนนี้มีวรยุทธ์หรือไม่
พวกเขารู้แค่ว่ามีคนมากกำลังก็ยิ่งมาก วันนี้หากไม่ตีโจรสองคนนี้ให้ตาย คราวหน้าคนที่ถูกลักพาตัวอาจเป็นลูกของพวกเขาก็เป็นได้
พวกพ่อค้ามนุษย์เช่นนี้น่ารังเกียจที่สุด!
“บัดซบ” นักฆ่าทั้งสองก็คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มนี้จะรวมตัวกันและสร้างปัญหาให้
“โอ๊ย!” อีกคนหนึ่งที่ถูกงูกัด พิษได้แล่นไปตามเส้นเลือดและเข้าสู่หัวใจไปแล้ว
ในตรอกเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที เสียงตะโกนสาปแช่งของพวกท่านลุง ท่านป้า ผสมกับคำก่นด่าที่ฟังคุ้นหูต่าง ๆ นานา
นักฆ่าทั้งสองก็กลัวว่าจะเป็นการดึงดูดให้ทหารลาดตระเวนมาที่นี่ ถึงเวลานั้นหากคิดจะหลบหนีก็คงลำบากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงโยนอาชิงทิ้งและต้องการวิ่งหนี พลันนั้นพวกเขาจึงชักอาวุธออกมาเพื่อขู่ให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านหน้าสุดตกใจกลัวและถอยไป พวกเขาจะได้พุ่งตัวออกไปด้านนอกได้
…
หลังจากหานเหล่ยถูกปลด เขาก็พักฟื้นอยู่ในเขตชานเมืองมาโดยตลอด นี่ก็เป็นคำสั่งของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ที่บอกให้เขาหลบไปก่อน
หากไม่ใช่เพราฮ่องเต้เซี่ยเจินมีพระราชโองการให้เขากลับมา หานเหล่ยก็คิดจะให้คนไปตรวจสอบหมู่บ้านตระกูลเฉินดู แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร และการที่องค์ชายสามล้มก็ถือเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง
เกี้ยวของหานเหล่ยมีหานฉีคอยอารักขา หลังจากเข้าประตูเมืองมาก็พบว่ามีการชุมนุมกันที่ถนนสายหลัก ดังนั้นจึงใช้ถนนสายรองเพื่อกลับจวนแทน ทางนี้มีชาวบ้านมารวมตัวกันน้อยกว่าเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมุดออกมาจากตรอกมากมายเพียงนั้น หานเหล่ยจึงขมวดคิ้วขึ้น มีคนต่อสู้กันที่นี่ตอนกลางวันแสก ๆ ด้วยอย่างนั้นหรือ?
กำลังคิดจะให้หานฉีไปดู แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเลิกม่านของเกี้ยวขึ้นก็เห็นหานฉีที่ช่วงนี้ดูแปลกไป พุ่งตรงเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าโดยที่ไม่ต้องมีคนสั่ง ราวกับหมาป่าที่ถูกคาบลูกไปอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของพวกชาวบ้านดังขึ้นมา คิ้วของหานเหล่ยกระตุกและให้คนรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
คนรับใช้จึงรีบวิ่งไป ก่อนจะกลับมาพร้อมใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ
“เรียนนายท่าน หานฉีฉีกร่างสองคนนั้นเป็นชิ้น ๆ…”บราวนี่ออนไลน์
แม้แต่คนที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าอย่างหานเหล่ยก็ยังต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ปกติแล้วหานฉีทำอะไรจะอยู่ในกฎเสมอ และจะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ ถึงวิ่งเข้าไปในฝูงชนและช่วยเขาสู้กัน!
ช่วยต่อสู้ยังไม่เท่าไร แต่กลับใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ในการฆ่าคนอีกด้วย หากแพร่งพรายออกไปจะไม่ถูกฝ่ายตรวจการยื่นฎีกาอีกอย่างนั้นหรือ?
แค่คิดหานเหล่ยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“หานฉีเล่า!”
“ไม่…ไม่ทราบขอรับ”
เมื่อครู่เข้าไปถึงก็เห็นเลือดและไส้กระจุยกระจายอยู่เกลื่อนพื้น แต่คนกลับไม่อยู่แล้ว
…
อีกตรอกหนึ่ง
ในมือของอาชิงยังคงจับงูสองตัวที่เขาอาศัยช่วงชุลมุนคว้ากลับมา เพราะถูกหานฉีหิ้วจนงุนงง เท้าเล็ก ๆ ห้อยอยู่ในอากาศไม่สามารถแตะพื้นได้
“เหตุใดเจ้าต้องหิ้วข้าด้วย!” อาชิงรีบยัดงูทั้งสองตัวลงในกระเป๋าใบเล็ก และมองไปที่หานฉี
หัวของหานฉีค่อย ๆ หมุนกลับมา จากนั้นก็วางเขาลงด้วยท่าทางแข็งทื่อ
อาชิงบิดก้นไปมา เมื่อครู่เขาอยากฉี่จริง ๆ และต้องการสั่งสอนคนเลวทั้งสองคนไปพร้อมกันเลย คิดไม่ถึงว่าจะมาตายเช่นนั้น และตอนนี้เขาก็สามารถไปฉี่ได้แล้ว
บังเอิญว่าอยู่ในตรอกพอดี เขาจึงรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบหามุมแล้วถอดกางเกงออก
ก้นอวบ ๆ ขาว ๆ สั่นขึ้นมาหนึ่งที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหานฉีที่ตามมาด้วย พลางปิดอาชิงน้อยเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ามองข้าทำไมกัน เจ้ามองเช่นนี้ข้าฉี่ไม่ออก”
หานฉีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ในฐานะร่างกู่ เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงการเรียกของราชาร้อยกู่จึงได้มาช่วย
การเอาใจและติดตามเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในร่างกาย
“เจ้าก็จะฉี่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” อาชิงเกาท้ายทอยเล็กน้อย ก่อนจะขยับที่ว่างให้เขา “เช่นนั้นเจ้าก็ฉี่เถอะ”
หานฉีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นก็ทำตามเขาจริง ๆ
“โอ๊ย เครื่องเคียงวันนี้สดจริง ๆ ข้าว่าต่อไปไปซื้อที่ร้านแผงลอยนั่นอีกดีกว่า”
สตรีสองคนควงแขนกันมา ขณะเดินผ่านตรอกพร้อมเสียงหัวเราะ ก็เห็นก้นสองก้น ก้นหนึ่งใหญ่ก้นหนึ่งเล็ก…
“กรี๊ด! มีพวกหน้าไม่อาย!!”
“จะบ้าตาย ต้องเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ!”
…
ในโรงละคร
อาอินหันกลับไปมองเป็นระยะ อาชิงเหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก?
เซี่ยห่วงให้คนไปซื้อของกินเล่นที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวงมา “กินหรือไม่?”
“เจ้าอ้วนเพียงนี้แล้วยังจะกินแป้งทอดบ่อย ๆ อีกหรือ?” อาอินเอ่ยด้วยความรังเกียจ
คำว่าบังอาจของบรรดาคุณชายน้อยต่างก็จ่ออยู่ที่ลำคอแล้ว ทว่ากลับไม่กล้าพูดออกมา ก็ใครใช้ให้นางมีพ่อที่ไม่อาจล่วงเกินได้กันเล่า
แต่ในใจของพวกเขาหาได้จริงจังกับอาอินไม่ อย่างไรเสียเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะมีประโยชน์อันใดกัน
เซี่ยห่วงก็รู้ว่าตัวเองอ้วน แต่ไม่ว่าเขาอยากกินอะไร ก็ไม่เคยมีใครบอกให้เขากินน้อยลงเสียหน่อย
“แป้งทอดอร่อยนี่นา”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องออกกำลังบ่อย ๆ แม่ข้าบอกว่าหากอ้วนเกินไปจะส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายได้”
เซี่ยห่วงจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าแป้งทอดในมือไม่อร่อยแล้ว
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เสี่ยวลิ่วจื่อคิดจะไปตามอาชิงกลับมา ก็ได้ยินเสียงที่ด้านนอกโรงละครดังขึ้น
“พวกเราไม่ได้เป็นคนฆ่า ลูกชายของแม่ทัพเผยถูกคนประหลาดนั่นจับตัวไปแล้ว”
“พวกเราไม่ได้เป็นคนฆ่าจริง ๆ นะ ท่านเจ้าหน้าที่ ท่านอย่าปรักปรำพวกเราสิขอรับ!”
การเคลื่อนไหวบนเวทีไม่ดังเท่าข้างนอก หลายคนจึงได้ออกไปดูเรื่องตื่นเต้น
“โอ๊ะ ได้ยินว่าในตรอกใกล้ ๆ มีคนตาย เพราะถูกคนกระชากร่างเป็น ๆ เลยนะ”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นคนลักพาตัวเด็ก เจ้าหน้าที่ได้มาตรวจสอบตัวตนแล้ว บอกว่าเป็นคนที่สี่ขุนศึกใหญ่เลี้ยงเอาไว้ก่อนหน้านี้ บนร่างยังมีตราประทับอยู่เลย เจ้าว่าเหตุใดถึงยังตายไม่หมดอีกล่ะเนี่ย”
“ราชสำนักเคยจัดการอะไรเรียบร้อยที่ใดกัน จนถึงตอนนี้คาดว่าก็ยังจับคนได้ไม่หมดกระมัง โอ๊ย คงไม่ได้ลักพาตัวเด็กไปทั่วหรอกกระมัง”
เสี่ยวลิ่วจื่อได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าถมึงทึงทันที “ตรอกที่ใด?”
เพิ่งจะเอ่ยถามก็เห็นทหารอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา พวกชาวบ้านต่างหวาดกลัวจนอยากจะรีบกลับบ้าน ทางเข้าโรงละครเดิมก็ไม่ได้กว้างมากนัก เพราะกลัวว่าจะมีคนเดินเข้ามาโดยไม่จ่ายเงิน ตอนนี้จู่ ๆ จะมีคนออกพร้อมกันมากมายเพียงนั้น โรงละครชั่วคราวซึ่งเดิมก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้วจึงสั่นคลอนขึ้นมาในทันที
พวกผู้ใหญ่ต่างพุ่งตัวออกไปได้ ส่วนเด็ก ๆ ทั้งตัวเล็กและเตี้ยต่างก็ติดอยู่ข้างใน และทั้งหมดก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
บรรดาคุณชายน้อยต่างพลัดหลงกับองครักษ์ของตัวเอง ก่อนจะได้ยินเสียงไม้ในโรงละครดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้น แต่ละคนต่างก็ร้องไห้ด้วยความตกใจ ทว่าก็ทำได้เพียงกระทืบเท้าและต่อว่าด้วยความโมโห
“กรี๊ด! โรงละครจะพังแล้ว รีบหนีเร็วเข้า!!!”
“แง” ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังระงม
“ข้าจะไปหาท่านแม่!!!”
ในตอนนั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ในชุดสีแดงร่างหนึ่งก็วิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป ยื่นมือออกไปค้ำไม้คานที่ใช้พยุงที่ถูกฝูงชนกระแทกลงมากลับไปที่เดิม พลางกัดแป้งทอดในมือไปหนึ่งคำ แล้วเลิกคิ้วให้กับพวกเขา “ร้องอะไร ขี้ขลาด”
บรรดาคุณชายน้อยตกตะลึง ว้าว นางช่างน่ากลัวยิ่งนัก! แต่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยด้วย ฮือ ๆ ๆ