บทที่ 946 : ภูเขาอสูร (3)
”หวู่เสียง…ข้า…หูไป่เว่ยเคยกล่าวไว้แล้วว่าในเมืองนี้ห้ามมนุษย์คนใดสร้างปัญหากับสัตว์อสูรหาไม่ … ”
”สัตว์อสูร?” หวู่เสียงยิ้มอย่างประชดประชัน “เจ้าไม่เห็นหรือว่าสัตว์อสูรสองตัวนี้ติดตามมนุษย์ทั้งสอง เช่นนั้นพวกมันน่าที่จะเป็นผู้ทรยศต่อแดนอสูรของเจ้า ในทำนองเดียวกันมนุษย์ทั้งสองนี้ก็เป็นคนทรยศของมนุษย์เรา !”
หูไป่เว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยหากเป็นเขาในอดีตก็คงจะโกรธมากที่สัตว์อสูรยอมจำนนต่อมนุษย์
ทว่าตอนนี้… อย่าลืมนะว่า ราชินีแดนอสูรของพวกเขาก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นกัน
”ท่านพ่อหวู่เสียงกล่าวถูก คนพวกนี้เป็นคนทรยศของแดนอสูรเราจริง ๆ !” หูเหม่ยเยาะเย้ยพลางเดินไปข้างหน้าช้า ๆ สายตาเย็นชาของนางกวาดไปมองไป๋หยาน “หญิงผู้นี้ ข้าเองก็เพิ่งพบเมื่อไม่นานมานี้ นางอยากจะให้ข้าช่วยเบิกทางให้นางไปคุยกับองค์ราชา หลังจากที่ข้าปฏิเสธ นางก็อับอาย และแก้เก้อโดยการทุบตีสาวใช้ของข้า ท่านยังต้องการช่วยคนแบบนี้อีกหรือ ?”
ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวหลงเอ๋อแดงขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาไร้สาระ ท่านแม่ของข้าเป็นราชินี ! เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ของเจ้าต้องการตีข้า เช่นนั้นท่านแม่ของข้าจึงตีนาง”
ราชินี?
หัวใจของหูไป่เว่ยเต้นแรงขึ้นทันทีเด็กน้อยมังกรคนนี้บอกว่าหญิงผู้นี้คือราชินีกระนั้นรึ ?
ทว่าราชินีมีพระธิดาอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่? เหตุใดองค์ราชาไม่เคยรับสั่งถึงเลย ?
”หลงเอ๋อ”ไป๋หยานกอดร่างที่สั่นเทาของเสี่ยวหลงเอ๋อ พลางเบี่ยงสายตาที่สงบ และเฉยเมยของนางไปมองหูไป่เว่ย เอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด ๆ “เจ้าเป็นเจ้าบ้านตระกูลหูกระนั้นหรือ ?”
”ใช่…ข้าชื่อหูไป่เว่ย!” หูไป่เว่ยยืนสงบนิ่งเอามือไพล่หลัง น้ำเสียงของเขาองอาจกึกก้องกังวาน สีหน้าของเขาเย็นชา
”เจ้าเคยเห็นจี้หยกนี้หรือไม่?” ไป๋หยานยื่นมือออกมาอย่างลวก ๆ หยิบจี้หยกในมือของนางออกมาแสดง พร้อมกับเอ่ยกล่าวเบา ๆ
หูไป่เว่ยขมวดคิ้วเขารู้สึกคุ้น ๆ จี้หยกในมือของไป๋หยาน หากแต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ใด ?
แท้จริงหลังจากที่ตี้คังปรับแต่งจี้หยกนี้ให้กับไป๋หยานแล้วเขาก็ส่งรูปจี้หยกมายังหูไป่เว่ยด้วย แม้ว่า หูเหม่ย จะไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าหูไป่เว่ยก็เคยเห็นรูปจี้หยกนี้แล้วอย่างชัดเจน
ผู้ใดก็ตามที่แสดงจี้หยกนี้ก็คือราชินี และสัตว์อสูรในแดนอสูรไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดใจนาง
ทว่า…
หูไป่เว่ยตั้งรกรากอยู่ในเมืองชายแดนมานานมากแล้วเขาไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งราชินีจะมาเยือนเมืองชายแดนแห่งนี้ เขาจึงเพียงเหลือบมอง และวางมันลง
นอกจากนี้ความทรงจำของเผ่าจิ้งจอกนั้นสั้นมากจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะลืม …
หูเหม่ยเหลือบตามองจี้หยกในมือของไป๋หยานจากนั้นก็หันไปมองหูไป่เว่ยที่สงบนิ่งอยู่ แววตาของนางเคร่งเครียดนางรีบตะโกนออกมา
”โอหังนักเห็นได้ชัดว่าจี้หยกนี้เป็นของข้าซึ่งถูกขโมยไป ไม่คาดคิดว่าเป็นเจ้านี่เองที่ขโมยมันไป ในฐานะขโมย เจ้ายังกล้าที่จะเอาของที่ขโมยออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ ?”
ท่านพ่อของนางเป็นคนโง่เขลาหากนางไม่หาเหตุผลสนับสนุนให้จี้หยกชิ้นนี้แล้ว … บิดาของนางต้องเชื่อถ้อยคำของหญิงผู้นี้เป็นแน่
อย่างไรก็ตามหญิงผู้นี้ไม่มีทางเป็นราชินีได้จี้หยกนี่ต้องเป็นของปลอม !
หูไป่เว่ยพลันนึกขึ้นได้เขาเพิ่งพูดว่าเหตุใดจี้หยกลายจิ้งจอกนี้จึงแลดูคุ้น ๆ ที่แท้คงเพราะมันเป็นสมบัติของบุตรสาวเขานี่เอง …
เพียงแค่เขาจำไม่ได้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจี้หยกของบุตรสาวของเขา
ครั้นเห็นเช่นนี้ไป๋หยานก็เก็บจี้หยก ก่อนจะกล่าวเยาะ ๆ ว่า “ข้าได้ยินมาตลอดว่าเผ่าจิ้งจอกทั้งเจ้าเล่ห์ ชอบทรยศ และฉลาดมาก ข้าไม่คาดคิดว่าจะมีคนโง่ ๆ เช่นเจ้าอยู่ในเผ่าจิ้งจอกด้วย !”
ไม่น่าแปลกใจที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นก็เป็นคนเผ่าจิ้งจอกที่สวยแต่โง่ปรากฎว่าไม่ใช่เผ่าจิ้งจอกทุกตัวที่ฉลาดและมีไหวพริบ
บทที่ 947 : ภูเขาอสูร (4)
”แม่นางข้าไม่สนใจหรอกว่าจี้หยกนี้มาจากที่ใด เพียงเจ้าต้องการยั่วยวนองค์ราชาก็เพียงพอแล้วสำหรับคนแดนอสูรที่จะถือว่าเจ้าเป็นศัตรูของเรา”
เมื่อเทียบกับไป๋หยานแล้วหูไป่เว่ยเต็มใจที่จะเชื่อในตัวบุตรสาวของเขามากกว่า
แม้ว่าเขาจะสับสนกับพฤติกรรมของบุตรสาวหลายต่อหลายครั้งหากแต่บุตรสาวของเขาก็เพียงหยิ่งยโส ทว่าไม่เคยโกหก เช่นนั้น …
หญิงผู้นี้จะเป็นราชินีได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นหากนางเป็นราชินีแดนอสูรจริง ความแข็งแกร่งของนางก็ควรต้องเทียบเท่าองค์ราชา หาไม่องค์ราชาคงจะไม่ยอมอภิเษกกับนางในฐานะภรรยาของพระองค์เป็นแน่
ในเมื่อหญิงผู้นี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะจัดการกับมนุษย์พวกนี้ได้เช่นนั้นฐานะของนางคงไม่ได้สูงส่งอย่างแน่นอน !
”หลงเอ๋อ”ไป๋หยานลดสายตาลงจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเสี่ยวหลงเอ๋อ “เจ้ากลัวหรือไม่ ?”
หลงเอ๋อส่ายหน้า”ท่านแม่ หลงเอ๋อไม่กลัว … ”
”ดี…เช่นนั้นเจ้าอดทนหน่อยแม่จะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
ไป๋หยานกอดเสี่ยวหลงเอ๋อไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างก็ถือกระดูกหนามเดือย นางเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “ชางชาง อุ้มเจ้าหมูตามข้ามา”
โม่หลี่ชางพยักหน้าจากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างหลังไป๋หยานอย่างว่าง่าย
มุมปากของไป๋หยานยกโค้งอย่างไม่แยแสสิ่งใด”แล้วตระกูลหูจะเฝ้าดูเฉย ๆ หรือ … จะร่วมมือกับคนพวกนี้ ?”
”แม่นางหากเจ้าคืนจี้หยกนั่นมาข้าอาจไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” หูไป่เว่ยกล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม
มือของไป๋หยานกอดมังกรตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนพลางยกกระดูกหนามเดือยขึ้นสูง แสงที่มืดมน และเย็นเยือกกวาดไปทางหูไป่เว่ย ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วพื้น
ใบหน้าของหูไป่เว่ยเคร่งขรึมเขาพ่นลมหายใจหึ…อย่างเย็นชา พลางก้าวถอยหลัง เอ่ยกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “หวู่เสียง มนุษย์และสัตว์อสูรพวกนี้เป็นผู้ทรยศต่อแดนอสูรของเรา หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหูของข้า เราก็จะร่วมมือกัน เพื่อกำจัดผู้ทรยศเหล่านี้”
หวู่เสียงหัวเราะร่า”ข้าบอกแล้วไงว่าสัตว์อสูรทั้งสองนี้เป็นผู้ทรยศต่อแดนอสูรของเจ้า หากเจ้าเต็มใจที่จะร่วมมือกับเรากำจัดคนเหล่านี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมมาก ๆ เป็นแน่”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คำกล่าวของหวู่เสียงจบลงไป๋หยานที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็เริ่มลงมือก่อนแล้ว
แม้ว่านางจะอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ทว่าความเร็วของนางก็ไวพอ ๆ กับแสง เพียงพริบตาร่างของนางก็ปรากฏเบื้องหน้าหวู่เสียงทันที
กระดูกหนามเดือยถูกยกขึ้นสูงกลิ่นอายที่มืดมนเย็นเยียบโจมตีทันที การแสดงออกของหวู่เสียงพลันเคร่งเครียด เขารีบหลบไปด้านข้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีนั้น
บูม!
หูไป่เว่ยยกมือขึ้นข้างหนึ่ง
หมัดของเขาราวกับกระแสลมแรงกระแทกเข้าใส่ไป๋หยาน แม้นางจะว่องไวเพียงใด หายตัวเร็วเพียงใด ทว่านางก็ยังโดนหมัดนี้ นางเซถอยหลังไปสองสามก้าว
”ท่านแม่!!”
ใบหน้าของเสี่ยวหลงเอ๋อซีดเซียวแววตาแห่งความเกลียดชัง และขมขื่นของนางหันไปจับจ้องหูไป่เว่ย เส้นผมของนางตั้งชันด้วยความโกรธไม่ต่างจากหงอนไก่
ไป๋หยานไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวหลงเอ๋อนางรีบหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมา จากนั้นก็กลืนมัน ก่อนจะโจมตีหูไป่เว่ยอีกครั้งทันที
บูม!
หมัดทั้งสองปะทะกันกลางอากาศครานี้ไป๋หยานถอยหลังเพียงสองก้าว นางสะบัดฝ่ามือที่ชาของตนเอง ก่อนจะคว้าโม่หลี่ชางไว้ด้วยมืออีกข้าง
”ไปกันเถอะ!”
ครั้นเห็นว่าไป๋หยานกำลังจะจากไปพร้อมกับโม่หลี่ชางการแสดงออกของหวู่เสียงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “เร็วเข้า หยุดคนพวกนี้ไว้ อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ !”
พรสวรรค์ของหญิงผู้นี้น่ากลัวเหลือเกินหากนางยังมีชีวิตอยู่ ในวันหน้า นางต้องเป็นหายนะของพวกเขาอย่างแน่นอน
ครั้นเห็นการโจมตีพุ่งเข้ามาต่อหน้าไป๋หยานก็ผลักโม่หลี่ชางไปยังที่ปลอดภัย นางกระชับกระดูกหนามเดือยแน่นขึ้น จากนั้นก็แทงคนที่อยู่ตรงหน้าทันที
***จบบทภูเขาอสูร (4)***
บทที่ 948 : ภูเขาอสูร (5)
เสียงดังฟิ้วกระดูกหนามเดือยแหลมคมก็ตัดผ่านคอของคนตรงหน้า พลันเลือดก็พวยพุ่งออกมาสาดพื้นแดงฉาน
หลังจากกำจัดคนผู้นี้ได้แล้วจู่ ๆ ก็ปรากฏช่องว่างขึ้นในวงล้อมตรงหน้า ไป๋หยานจับมือของโม่หลี่ชางอีกครั้ง ร่างของพวกเขาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที จากนั้นก็เหาะหนีไป
”ท่านแม่…ข้าเกือบจะหายดีแล้วข้าสามารถพาท่านหนีได้” เสี่ยวหลงเอ๋อเห็นคนกำลังจะไล่ตามมาจากด้านหลัง นัยน์ตากลมโตของนางบ่งบอกถึงความโกรธ
”อย่าเพิ่ง”ไป๋หยานขมวดคิ้ว “ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรงพอ ยามนี้ยังไม่อาจขยับตัวได้มากนัก เชื่อข้าเถิดว่า พวกเราต้องไม่เป็นไร”
”อืม”
เสี่ยวหลงเอ๋อตอบรับอย่างว่าง่ายนางซุกศีรษะลงในอ้อมแขนของไป๋หยาน ขนตายาวของนางสั่นไหวราวกับพัด ปกปิดความรู้สึกในแววตาของนางจนสิ้น
”หยานหยานมังกรของเจ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก นางยังมีความสามารถใดอีกบ้าง ?”
โม่หลี่ชางมองเสี่ยวหลงเอ๋อด้วยความสงสัยพลางเอ่ยถาม
เสี่ยวหลงเอ๋อเงยหน้าสีอมชมพูของนางขึ้นแววตาของนางเต็มไปด้วยความละอาย “ข้าเพิ่งบินได้เร็วขึ้น และเพิ่งกินคนได้ นอกไปจากนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
”ต่อสู้ล่ะ?”
”ข้าไม่เคยสู้ไม่มีใครสอนข้า”
เสี่ยวหลงเอ๋อก้มศีรษะลงเหมือนขอโทษนางไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
ไป๋หยานหันกลับไปมองกลุ่มคนเหล่านั้นจากนั้นก็มองไปที่ป่าเปลี่ยวเบื้องหน้า พลันร่างของนางก็กระพริบรีบพุ่งตรงเข้าไปในราวป่า
ภายนอกป่าหูไป่เว่ยและคนอื่น ๆ หยุดมองเข้าไปในราวป่าเบื้องหน้าอย่างสิ้นหวัง
“หัวหน้าเผ่าหูท่านไม่ไล่ตามต่อหรือ ?” หวู่เสียงมองหูไป่เว่ยอย่างงุนงง พลางขมวดคิ้วและเอ่ยถาม
หูไป่เว่ยมองหวู่เสียงอย่างเย็นชา”เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่ สถานที่แห่งนี้แยกออกจากพรมแดนระหว่างแดนสวรรค์และแดนอสูร สามารถเข้าไปสู่ภูเขาอสูรแห่งแดนอสูรได้”
”ฮ่าฮ่าฮ่า!” หวู่เสียงหัวเราะเยาะ “หูไป่เว่ย…ในฐานะคนเผ่าจิ้งจอก เจ้ายังจะกลัวคนที่อยู่บนภูเขาอสูรนี้อีกงั้นหรือ ?”
การแสดงออกของหูไป่เว่ยแลดูลำบากใจเล็กน้อยหากเขายังคงเป็นผู้อาวุโสของวังอสูร คนที่อยู่บนภูเขาอสูรเหล่านั้น ย่อมไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ทว่าเขาถูกขับออกจากวังอสูรแล้วเช่นนั้นเขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอกแดนอสูรอีกต่อไป
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่หูไป่เว่ยจะบอกให้คนเหล่านี้รู้เรื่องนี้ เขาเพียงเม้มปากเอ่ยกล่าวแดกดัน “ในฐานะเผ่าจิ้งจอก ข้ายังต้องลงมือเองอีกหรือพวกเขาเข้าไปในภูเขาอสูรก็เหมือนรนหาที่ตาย ข้าบอกได้เพียงว่า ก็ปล่อยให้พวกเขาตายไปเอง ! เหม่ยเอ๋อ…กลับบ้านกันเถอะ !”
ก่อนไปเขาเหลือบมองไปที่ภูเขาอสูรที่มืดมนซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในป่ายอดเขาแห่งนั้นหายลับไปในท้องฟ้าสีเลือด เขารีบสะบัดแขนเสื้อหันหลังกลับทันทีโดยไม่หันกลับไปมองอีก
หวู่เสียงหรี่ตามองตามทิศทางที่พ่อลูกสกุลหูจากไปเขากล่าวด้วยเสียงเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยกระนั้นหรือ หากเจ้ายังคงมีสถานะสูงส่งในเผ่าจิ้งจอก เจ้าจะมาอยู่เมืองชายแดนนี้ได้อย่างไร ? หูไป่เว่ยนี่ ชอบคิดว่าคนอื่นในโลกนี้เป็นโง่เหมือนตนเอง”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?” ยอดฝีมืออีกคนขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
”ตราบใดที่สัตว์อสูรทุกตัวเกลียดชังมนุษย์หลังจากที่เข้าไปในภูเขาอสูรสองคนนั่นก็ย่อมไม่มีโอกาสรอด ส่วนหูไป่เว่ย … ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าจิ้งจอก เราก็ยังคงต้องเกรงใจเขา”
หวู่เสียงสูดลมหายใจเข้าลึก”คนในดินแดนสวรรค์ ไม่สนใจว่าเราจะอยู่หรือตาย หากเราฆ่าคนเผ่าจิ้งจอก ย่อมเท่ากับสร้างรอยแค้นให้แดนอสูร ซึ่งเราอาจไม่สามารถรับผลที่ตามมาได้ !”
ยอดฝีมือที่อาศัยอยู่ในเมืองชายแดนนี่มีจำนวนมากมายและมีระดับเชิงเจี่ยขั้นสูงอีกสองคนด้วย ทว่าพวกเขาก็ยังไม่กล้าลงมือกับเผ่าจิ้งจอก ไม่ใช่ เพราะกลัวหูไป่เว่ย แต่เพราะอย่างไรเสียหูไป่เว่ยก็เป็นสมาชิกของเผ่าจิ้งจอกต่างหาก !
บทที่ 949 : ภูเขาอสูร (6)
อย่างไรเสียเผ่าจิ้งจอกก็ถือเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งแดนอสูรก่อนที่จะได้รับการคุ้มครองจากแดนสวรรค์ พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอะไรกับคนเผ่าจิ้งจอก พวกเขาทำได้เพียงไม่ให้พวกสัตว์อสูรครองเมืองชายแดนได้ก็เท่านั้น
*****
ออกไปได้ไม่ไกลนักครั้นหูไป่เว่ยเห็นว่ามนุษย์ที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ติดตามเขามา เขาก็หยุด พลางหันไปมองสตรีที่อยู่ข้างกายเขา
“เหม่ยเอ๋อที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่นางขโมยจี้หยกของเจ้าไปจริงกระนั้นหรือ ? ทั้งนางยังต้องการใช้เจ้าเป็นสะพานไปถึงองค์ราชาจริงหรือไม่ ?”
ใบหน้าของหูเหม่ยยังคงสงบนิ่ง”ท่านพ่อก็รู้ว่าข้าไม่ชอบการโกหก ทั้งไม่เคยโกหกด้วย จี้หยกนั่น … เป็นของข้าแน่ ๆ บางทีท่านพ่ออาจจำไม่ได้ ข้าแกะสลักมันด้วยตนเอง ทั้งยังเคยนำออกมาใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
”ส่วนเรื่องที่นางต้องการจะล่อลวงองค์ราชานั้น… ” หูเหม่ยหยุดก่อนจะกล่าวต่อว่า “เกิดขึ้นตอนที่ท่านกำลังเข้าฌาน หลังจากที่นางรู้ว่า เราเป็นเผ่าจิ้งจอก นางก็คิดว่าเรายังมีฐานะสูงส่งในแดนอสูร นางจึงคิดต้องการที่จะสนิทสนมกับองค์ราชาผ่านข้า และท่านพ่อ ท่านเห็นอาวุธในมือของนางหรือไม่เล่า ?”
ประกายแสงวาบผ่านแววตาของหูไป่เว่ยเห็นได้ชัดว่านางอยู่เพียงระดับเชิงเจี่ยขั้นต่ำ ทว่าด้วยกระดูกหนามเดือยนั่น
ทำให้นางสามารถถือไพ่เหนือกว่าเมื่อต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเชิงเจี่ยขั้นกลาง
เห็นได้ชัดว่ากระดูกหนามเดือยนั้นทรงพลังเพียงใด?
หูเหม่ยกัดริมฝีปากของตน”นางสัญญากับข้าว่า หากข้าช่วยนาง นางก็จะมอบกระดูกหนามเดือยนั่นให้แก่ข้า ทว่าข้าปฏิเสธนางอย่างหนักแน่น ! หูเหม่ยเป็นคนตรงไปตรงมาทั้งยังจงรักภักดีเสมอ ข้าจะทรยศองค์ราชาได้อย่างไร ?”
หูไป่เว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก”เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ข้าเกรงว่าหญิงผู้นั้นจะเป็นราชินีจริง ๆ”
“ท่านพ่อ…เหตุใดจึงได้กล่าวเช่นนั้น?”
“ไม่มีอะไรหรอกเพียงข้าเพิ่งรู้มาว่าราชินีเองก็อยู่ในเมืองชายแดนด้วย หากแต่ข้าไม่เคยพบราชินี ในเวลานั้นข้าก็เลยไม่แน่ใจ”
ครั้นเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหูไป่เว่ยหัวใจของหูเหม่ยพลันสั่นสะท้าน นางขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
หรือว่า…หญิงผู้นั้นจะเป็นราชินีจริงๆ ?
ไม่! เป็นไปไม่ได้ ! แม้ว่าราชินีจะมาที่เมืองชายแดน ผู้ใดจะพิสูจน์ได้ล่ะว่าเป็นนาง ? นอกจากนี้หากเข้าสู่ภูเขาอสูร นางจะต้องตายอย่างแน่นอน เช่นนั้นนางไม่มีวันที่จะเป็นราชินีแน่ !
”ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงราชินีอาจจะยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง นอกจากนี้ในโลกนี้ยังมีสตรีหน้าด้านอีกมากมาย เป็นเรื่องธรรมดาที่หญิงผู้นั้นจะแสร้งปลอมเป็นราชินี เพื่อเอาชีวิตรอด … หรือท่านพ่อไม่เชื่อข้า ?”
”ข้าย่อมเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด”หูไป่เว่ยยิ้ม “เจ้าฉลาดกว่าพี่สาวของเจ้ามาก เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนาง เราไปกันเถอะ หญิงผู้นั้นคงจะตายไปแล้ว ข้าควรกลับไปเตรียมตัวเฝ้าราชินี”
ด้วยการยืนยันอย่างหนักแน่นของหูเหม่ยหูไป่เว่ยจึงไม่คิดมากเรื่องนี้อีกต่อไป ทั้งเขาก็ไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของหูเหม่ยด้วย
หูเหม่ยติดตามหูไป่เว่ยไปติดๆ นางเม้มริมฝีปากสีแดงของนาง พลางเหลียวกลับไปมองป่าลึกนั่นอีกครั้ง พร้อมกับประกายแสงเย็นชาที่ยากจะคาดเดาในดวงตาของนาง
สุดท้ายนางก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก …
*****
ภายในป่าทึบ
ครั้นเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้ไล่ติดตามมา ไป๋หยานก็วางเสี่ยวหลงเอ๋อลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “หลงเอ๋อ เป็นอย่างไรบ้าง ?”
”ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วแต่ท้องของหลงเอ๋อยังไม่สบายเท่าไรนัก” เสี่ยวหลงเอ๋อก้มศีรษะลง เอ่ยกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ “ท่านแม่ หลงเอ๋อไร้ประโยชน์มากใช่หรือไม่ ? หากองค์ชายอยู่ที่นี่จะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ เอ่ยกล่าวว่า “เฉินเอ๋ออายุเกือบเจ็ดขวบแล้ว ส่วนเจ้าเพิ่งจะเปิดใจ สติปัญญาของเจ้าก็เพิ่งพัฒนาขึ้นได้ไม่ถึงปีเลย เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะยังไม่เข้าใจอะไรเลย ในวันหน้าเจ้าย่อมสามารถช่วยข้าต่อสู้ได้แน่”
***จบบทภูเขาอสูร (6)***
บทที่ 950 : ภูเขาอสูร (7)
”จริงหรือ?” แววตาของเสี่ยวหลงเอ๋อพลันสว่างไสวขึ้น ใบหน้าสีนวลอมชมพูของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา “ข้าจะฝึกฝนให้หนักขึ้น แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเทียบกับเสด็จพี่ได้ แต่ … ข้าก็อยากปกป้องท่านแม่ให้ได้เช่นกัน”
“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องพูดอะไรมาก ข้าจะช่วยย่อยพลังในร่างกายเจ้าให้ก่อน”
”อืม”
เสี่ยวหลงเอ๋อลงนั่งขัดสมาธิข้างกายป๋หยานนางหลับตาลงช้า ๆ แสงจาง ๆ ปกคลุมใบหน้าเล็ก ๆ ไร้เดียงสา และน่ารักของนาง
มือของไป๋หยานกระแทกลงบนหลังของเสี่ยวหลงเอ๋อทันใดนั้นพลังฉีแท้ก็ค่อย ๆ ไหลจากฝ่ามือของไป๋หยานผ่านเข้าสู่ร่างกายของหลงเอ๋อ
ร่างของเสี่ยวหลงเอ๋อสั่นสะท้านนางรู้สึกว่าคนที่ถูกนางกลืนกินกำลังกลายเป็นคลื่นพลังไหลเวียนอยู่ภายในร่างของนาง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากเสี่ยวหลงเอ๋อกลืนกินคนมากจนเกินไปทั้งความแข็งแกร่งของนางเองก็ยังไม่เพียงพอ ไป๋หยานจึงช่วยย่อยพลังเหล่านี้ให้กับนาง ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งเดือนกว่าจะย่อยหมด
กระทั่งครึ่งเดือนต่อมาพร้อมเสียงดังปัง พลังของเสี่ยวหลงเอ๋อพลันพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับจรวด ทะลุไปยังระดับเชิงเจี่ยขั้นต่ำในทันที
ใช่…แม้ว่าเสี่ยวหลงเอ๋อจะกลืนกินยอดฝีมือระดับเชิงเจี่ยขั้นต่ำไปนับจำนวนไม่ถ้วนทว่าด้วยความแข็งแกร่งของนางที่ยังไม่ถึงระดับเชิงเจี่ย จึงทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย
โชคดีที่คนเหล่านั้นล้วนอยู่ในระดับเชิงเจี่ยขั้นต่ำหาไม่เกรงว่าก่อนที่ไป๋หยานจะช่วยนางได้ คนพวกนั้นก็จะระเบิดท้องของนางเสียก่อน
ทว่า…
ความแข็งแกร่งของหลงเอ๋อไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นหลังจากเข้าถึงขั้นต่ำของระดับเชิงเจี่ย นางก็บรรลุเข้าสู่ขั้นกลางทันที หลังจากถึงขั้นกลางพลังของนางก็ยังคงไหลวนเวียนอย่างต่อเนื่อง กระทั่งทะลุไปถึงขั้นสูงได้ในพริบตา …
โม่หลี่ชางที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตกตะลึง
เหตุใดระดับเชิงเจี่ยจึงบุกทะลวงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้? เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้สามารถทะลุผ่านเข้าสู่ขั้นสูงของระดับเชิงเจี่ยในทันทีได้อย่างไร ?
หลังจากที่ไป๋หยานย่อยพลังให้เสี่ยวหลงเอ๋อแล้วนางก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น พลางหลับตาลงช้า ๆ
ในขณะที่นางกำลังช่วยเสี่ยวหลงเอ๋ออยู่นั้นพลังบางอย่างพลันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของนาง แม้ว่าพลังเหล่านี้จะไม่สามารถทำให้นางก้าวหน้าได้โดยตรง ทว่าก็ทำให้นางไปจ่อคอขวดของระดับเชิงเจี่ยขั้นต่ำแล้ว
รอโอกาสที่จะทะลุไปถึงขั้นกลางเท่านั้น
“ท่านแม่ข้าบรรลุแล้ว”
เสี่ยวหลงเอ๋อถลาเข้าไปในอ้อมแขนของไป๋หยานด้วยความตื่นเต้นนางซุกไซ้ใบหน้าขาวนวล และอ่อนโยนของนางเข้ากับใบหน้าของไป๋หยานพลางยิ้ม “หากท่านพบคนเลวพวกนั้นอีกครั้ง ข้าจะช่วยท่านฆ่าพวกมันให้หมด !”
คำว่าฆ่าถูกเปล่งออกมาจากน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเสี่ยวหลงเอ๋อ หากแต่แฝงด้วยความเหี้ยมโหด นางกำหมัดแน่นความโกรธค่อย ๆ ฉายประกายผ่านนัยน์ตาดำขลับของนาง
ไป๋หยานแตะศีรษะของเสี่ยวหลงเอ๋อก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางเหลียวมองโดยรอบ
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในแดนอสูรแล้วใช่หรือไม่?”
ความโกรธเกรี้ยวในแววตาของเสี่ยวหลงเอ๋อจางหายไปนางกระพริบตาถี่โดยไม่รู้ตัว “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสัตว์อสูรมากมายที่นี่ เราน่าจะอยู่ในแดนอสูรแล้ว”
”เมื่ออยู่ในแดนอสูรก็ดีแล้วหากแต่ข้าไม่รู้ว่าที่นี่อยู่บริเวณไหนของแดนอสูรน่ะสิ”
ไป๋หยานปล่อยสาวน้อยในอ้อมแขนของนาง”เราออกไปสำรวจกันเถอะ”
”อืมหลงเอ๋อเชื่อท่านแม่เสมอ” เสี่ยวหลงเอ๋อปฏิบัติตามไป๋หยานอย่างเชื่อฟัง นางกระพริบตาพลางยิ้มอย่างสดใส
โม่หลี่ชางเม้มริมฝีปากของเขาก่อนจะลดสายตาลง “หยานหยาน ข้าขอโทษ … ”
สตรีด้านหน้าหยุดชะงักชั่วคราวก่อนจะหันกลับไปมองโม่หลี่ชาง
”ข้าลากเจ้ามาลำบากด้วย… ” แววตาของโม่หลี่ชางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “หากไม่ใช่เพราะข้า เสี่ยวหลงเอ๋อคงจะไม่ … ”
“นี่นับเป็นโชคดีมากกว่าหากไม่ใช่เพราะพวกยอดฝีมือระดับเชิงเจี่ยจำนวนมากมายเหล่านั้น หลงเอ๋อก็คงจะไม่สามารถฝ่าไปยังระดับเชิงเจี่ยขั้นสูงได้ หากเราออกไปครานี้ เราก็ไม่ต้องหนีแล้ว คนที่ควรจะหนีก็คือ … พวกเขา”