บทที่ 92 Interactive Fiction Game ที่แตกต่าง
ภายใน Experience Store
เฉินโม่ตรวจสอบโครงเรื่องของ ‘Lifeline’ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วบอกกับซูจิ่นอวี๋และเจิ้งหงซีว่า “โอเค ผ่าน”
“เย้! เยี่ยมมาก!” ซูจิ่นอวี๋อดโห่ร้องออกมาไม่ได้
นั่นเป็นเกมที่เธอและเจิ้งหงซีทำงานร่วมกันโดยปราศจากความช่วยเหลือจากเฉินโม่ ดังนั้นมันจึงพิเศษ
(ถ้าเฉินโม่บอกให้เจิ้งหงซีเปลี่ยนโครงเรื่องหลายครั้งก็ไม่นับว่าเป็นการยื่นมือเข้ามาช่วย)
เจิ้งหงซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเขา เฉินโม่จะขอเปลี่ยนโครงเรื่องหลายครั้ง มีปรับเปลี่ยนระหว่างนั้นอีกสองสามครั้ง แต่ในที่สุดมันก็เสร็จสมบูรณ์
ในกระบวนการนี้ ความเข้าใจของเจิ้งหงซีเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของเกมมีความก้าวหน้ามากขึ้น และความสามารถของเขาในการควบคุมจิตวิทยาของผู้เล่นก็ได้รับการปรับปรุงในระดับหนึ่งเช่นกัน
ตอนนี้เจิ้งหงซีแค่รอคอยปฏิกิริยาของผู้เล่น พวกเขาจะชอบงานเขียนของเขาหรือไม่
เฉินโม่ติดตั้ง ‘Lifeline’ บนโทรศัพท์มือถือของเขาและมอบให้กับฉางซิ่วหย่า “เอาละ เป็นหนูทดลองตัวแรกให้หน่อย”
……………
ฉางซิ่วหย่าเองก็อยากรู้เหมือนกัน
หลายวันมานี้พวกเขารู้ว่าซูจิ่นอวี๋และเจิ้งหงซีกำลังพัฒนาเกม Interactive Fiction แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเกมนี้เป็นเกมประเภทไหนหรือโครงเรื่องเป็นอย่างไร
โลกนี้มีเกม Interactive Fiction มากมาย และเป็นเกมประเภทที่ค่อนข้างคลาสสิก นักออกแบบเกมหลายคนที่ชอบเกมที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราว โดยทั่วไปแล้วงานระดับเริ่มต้นของพวกเขาจะเป็นเกม Interactive Fiction
เพราะเกมแบบนี้มันสร้างง่าย ขอแค่มีสคริปต์ดีๆ ที่เหลือก็ซื้อคอนเซ็ปต์ art สวยๆ สักชุด แล้วค่อยเสียเงินจ้างคนพากย์เสียงก็จบแล้ว
แต่เนื่องจากมีเกม Interactive Fiction มากมาย เลยเป็นเรื่องยากที่จะสร้างจุดเด่นกับเกมแนวนี้
เกม Interactive Fiction ของโลกนี้มีความคล้ายคลึงกับโลกก่อนหน้านี้มาก ธีมส่วนใหญ่เน้นไปที่เมืองใหญ่หรือแนวทะลุมิติข้ามเวลาไปยุคโบราณ เนื่องจากเกม Interactive Fiction หลายเกมมุ่งเป้าไปที่ผู้เล่นหญิง และผู้เล่นหญิง…ชอบสองธีมนี้มากกว่า
ฉางซิ่วหย่าเองก็มักจะเล่นเกม Interactive Fiction แต่หลังจากเล่นไปก็รู้สึกว่าทุกเกมเหมือนกันหมดไม่มีการพลิกแพลง รูปแบบเดียวกันแต่เรื่องราวต่างกัน พอดูมากไปก็รู้สึกเบื่อง่าย
หากเกม Interactive Fiction มีแค่โครงเรื่องที่ต่างกัน งั้นเธอไปอ่านนวนิยายสำหรับผู้หญิงไม่ดีกว่าเหรอ!
ฉางซิ่วหย่ากังวลเล็กน้อยว่าเกม ‘Lifeline’ จะคล้ายกับเกม Interactive Fiction อื่นๆ มากเกินไป แต่พอมาคิดดูแล้ว ผู้จัดการเป็นคนตรวจสอบด้วยตัวเอง แล้วอีกอย่างเกมของผู้จัดการ…
อืม ยกเว้น ‘My name is MT’ ที่ดูโกงไปหน่อย แต่เกมอื่นๆ ก็ค่อนข้างสร้างสรรค์
ไอคอนของเกมเป็นสีดำ และมีตัวร้ายสวมเสื้อผ้าที่ดูเหมือนนักบินอวกาศ ด้านบนขวาของไอคอนมีไอคอนคลื่นวิทยุแปลกๆ
“อืม…หรือจะเป็นธีมไซไฟ ค่อนข้างหายากเลยนะ”
ฉางซิ่วหย่าคลิกที่ไอคอนเพื่อเริ่มเกม
เมื่อเข้าสู่เกมก็มีหน้าต่างแจ้งเตือนเล็กๆ : ‘Lifeline เป็นเรื่องราวแบบ Interactive ที่ใช้เวลาหลายวัน เทย์เลอร์จะติดต่อคุณตลอดเวลา โปรดอนุญาตให้เกมนี้ส่งการแจ้งเตือนถึงคุณ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกมของคุณ’
ฉางซิ่วหย่าคลิกปุ่ม ‘อนุญาต’
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเธอคือหน้าต่างที่ดูเหมือนแอปแชตเด้งขึ้นมา ในไม่ช้าข้อความก็เริ่มปรากฏขึ้น
‘กำลังเชื่อมต่อการสื่อสาร’
‘กำลังสร้างการเชื่อมต่อ’
‘รับข่าวสาร’
“สวัสดีๆ”
“มันใช้ได้ไหม”
“มีใครได้รับข้อความไหม”
ฉางซิ่วหย่าตกใจเล็กน้อยกับคำถามสามข้อติดกัน และมีสองตัวเลือกด้านล่าง : ‘ใครกำลังพูดอยู่’ กับ ‘ฉันได้รับแล้ว’
ฉางซิ่วหย่ารู้สึกว่าสองประโยคนี้มีความหมายคล้ายกัน ไม่น่าส่งผลต่อการตัดสินใจครั้งต่อไป ดังนั้นเธอจึงคลิกที่ ‘ฉันได้รับแล้ว’
‘โอ้ ขอบคุณพระเจ้า! ในที่สุดฉันก็สามารถติดต่อใครสักคนได้แล้ว!‘
‘ฉันรอมาหลายชั่วโมงแล้ว!’
มีอีกสองตัวเลือก ‘คุณเป็นใคร’ กับ ‘เกิดอะไรขึ้น’
ฉางซิ่วหย่าคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะถามว่าพวกเขาเป็นใคร ดังนั้นเธอจึงคลิก ‘คุณเป็นใคร’
หลังจากตัวเลือกทั้งสองนี้ ฉางซิ่วหย่าก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างเกมนี้กับเกม Interactive Fiction อื่นๆ แล้ว
‘Lifeline’ ไม่มีคำบรรยายหรือคำอธิบายพื้นหลัง เกมทั้งหมดเป็นซอฟต์แวร์แชต แต่บุคคลที่สนทนากับคุณไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นตัวละครเสมือนจริงในเกม
เกมนี้ทำให้อินเทอร์เฟซของเกมเป็นอินเทอร์เฟซซอฟต์แวร์แชตที่มีสไตล์ไซไฟ เพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนจริง รวมถึงการส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้เล่นให้ผู้เล่นมีความรู้สึกว่ามีคนกำลังคุยกับตนเองอยู่จริงๆ
ฉางซิ่วหย่าเริ่มพูดคุยกับนักบินอวกาศคนนี้ที่ชื่อเทย์เลอร์ตามความรู้สึกของตนเอง
ระหว่างการสนทนาฉางซิ่วหย่าได้รู้ว่าเดิมทีเทย์เลอร์เป็นนักบินอวกาศบนยานอวกาศขนส่ง แต่สุดท้ายเขาชนกับดาวเทียมดวงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เทย์เลอร์อยู่ในสภาวะนึกอะไรไม่ออก เขาเป็นนักเรียนที่ขึ้นไปทำการทดลองและไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
อย่างไรก็ตามเทย์เลอร์ดูค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังมีความผ่อนคลายและเล่นตลกได้…
ฉางซิ่วหย่ารู้สึกตลกกับคำพูดของเขา
‘ดูเหมือนว่าภารกิจสุดท้ายคือการช่วยนักบินอวกาศให้หนีออกไปได้ ดูเหมือนจะไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ น่าจะง่ายกว่าแผนอุกอาจของการต่อสู้ในวังเสียอีก…’ ฉางซิ่วหย่าคิด
‘มีภูเขาสีขาวอยู่ใกล้ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ไมล์ แต่ภูเขาลูกนี้…ดูแปลกๆ นะ มันดูสมมาตรเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ’
‘จุดตกของ Varia ดูจะใกล้กว่าภูเขาเล็กน้อย ฉันควรทำอย่างไรดี’
มีสองตัวเลือกด้านล่าง : ‘ไปจุดที่ตก’ กับ ‘ไปที่ภูเขา’
ฉางซิ่วหย่าตระหนักว่านี่ควรเป็นทางเลือกที่สำคัญของโครงเรื่องนี้ เพราะเทย์เลอร์บอกใบ้ไว้ก่อนแล้วว่าภาพภูเขาลูกนี้ค่อนข้างแปลกตาและอยู่ไกลจากเขามาก ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาควรไปที่จุดที่ตก!
ฉางซิ่วหย่าเลือก ‘ไปจุดที่ตก’
‘ใช่ มันสมเหตุสมผลแล้ว อาจมีผู้รอดชีวิตอยู่ที่นั่น…’
‘อืม ฉันกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ ฉันคิดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ฉันจะแจ้งให้คุณทราบเมื่อไปถึงที่นั่น’
หลังจากพูดจบ ระบบจะแจ้งว่า ‘Tyler is busy now’
ฉางซิ่วหย่าตกตะลึง หมายความว่ายังไง
ไม่มีตัวเลือกอื่นและเทย์เลอร์ก็ไม่พูดอะไรอีก เกมเพิ่งหยุดลงโดยไม่มีการแจ้งเตือนเพิ่มเติม
ฉางซิ่วหย่ามองไปที่สิ่งที่เทย์เลอร์พูดก่อนหน้านี้
‘อย่าบอกนะว่า อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยติดต่อมาจริงๆ!’
ฉางซิ่วหย่าตกตะลึงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับเกม Interactive Fiction ที่ให้ผู้เล่นรอเป็นชั่วโมง!
ไม่มีทางเลือกอื่น ฉางซิ่วหย่าเลยต้องทำอย่างอื่นฆ่าเวลารอ เธอไม่กล้าปิดแอปเพราะกลัวว่าตอนที่เทย์เลอร์ตอบกลับเธอจะไม่ได้รับข้อความ
………………………