บทที่ 209 ความหมายแฝงในจิตวิญญาณของ ‘Don’t Starve’
สำหรับเกม ‘Don’t Starve’ มีหลายจุดที่ดึงดูดผู้เล่น แต่ถ้าว่ากันถึงแก่นแท้แล้วแรงผลักดันดั้งเดิมที่สุดของเกมนี้คือ ‘การอยู่รอด’
ตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ความต้องการแบ่งออกเป็นห้าประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ความต้องการพื้นฐานทางด้านร่างกาย ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการความรักและสังคม ความต้องการการได้รับการยกย่องนับถือในตนเองและความต้องการพัฒนาศักยภาพของตน
ความต้องการทั้งห้าก่อตัวเป็นพีระมิด โดยความต้องการส่วนล่างสุดคือความต้องการพื้นฐานทางด้านร่างกาย ส่วนความต้องการพัฒนาศักยภาพของตนอยู่บนสุด
ยิ่งมีความต้องการพื้นฐานมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจได้ง่ายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญและเร่งด่วนที่สุดด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าคนคนหนึ่งขาดอาหาร ความปลอดภัย และความเคารพในเวลาเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว ความต้องการอาหารของเขาควรจะมีมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความปลอดภัยและความเคารพนั้นไม่สำคัญนัก
นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้คนยอมเสี่ยงเมื่อพวกเขาหิวจัด ไปล่าสัตว์ใหญ่ (ละทิ้งความปลอดภัย) หรือขออาหาร (ละทิ้งศักดิ์ศรี)
ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านต่างๆ และด้านเกมก็ไม่มีข้อยกเว้น
นักออกแบบเกมหลายคนใช้ทฤษฎีนี้เพื่อสร้างลำดับขั้นความต้องการที่สมบูรณ์ของมาสโลว์ในเกม ซึ่งใช้เพื่อผลักดันให้ผู้เล่นไล่ตามข้อมูลลวงเหล่านั้นในเกมและเสพติดมัน
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น บางเกมที่มี ‘ขายกำลังรบ’ เป็นจุดขายหลักที่เน้นความต้องการสองประการคือความปลอดภัยและความเคารพ
สำหรับผู้เล่นที่อ่อนแอกว่า เขามักจะเสี่ยงที่จะถูกฆ่าโดยผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่าขณะที่อยู่ในเกม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแรง ซึ่งผลักดันให้เขาใช้เงินหรือเวลาในเกมมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย
หลังจากที่ผู้เล่นที่แข็งแกร่งเหล่านั้นมีความปลอดภัยแล้ว พวกเขาจึงหันไปไล่ตามความต้องการได้รับการยกย่องนับถือและพัฒนาศักยภาพของตน เช่น ชิงตำแหน่งราชา ก่อตั้งกิลด์ใหญ่ นำคนเข้าร่วมในสงครามระดับชาติ หรือใช้เงินจำนวนมากเพื่อความรู้สึกมีเกียรติเสมือนจริงเหล่านี้
โดยทั่วไปแล้วมีเกมเพียงไม่กี่เกมที่สามารถใช้ระดับของ ‘ความต้องการพื้นฐานทางด้านร่างกาย’ ได้ เนื่องจากมันยากต่อการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกของเกมหลายเกมที่ไม่รองรับ
ในความเป็นจริงแล้วความต้องการพื้นฐานทางด้านร่างกาย ของผู้คนนั้นเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าอาหาร น้ำ สุขภาพ การสืบพันธุ์และอื่นๆ เกมทั่วไปมักจะไม่ให้ผู้เล่นวิ่งไปรอบๆ เพื่อรวบรวมอาหารหรือน้ำและไม่มีแนวคิดเรื่องความหิวโหย เนื่องจากเนื้อหาของเกมมีจำกัด ยังมีเนื้อหาอีกมากมายที่ควรค่าแก่ผู้เล่นที่จะได้สัมผัส
‘Don’t Starve’ จับจุดบอดนี้ได้เป็นอย่างดี และนำเสนอธีมของ ‘การเอาชีวิตรอด’
ยิ่งไปกว่านั้น ‘Don’t Starve’ ไม่ใช่แค่เกมธรรมดาๆ เท่านั้น เมื่อเจาะลึกเข้าไปในเกมจะพบว่ามีความลึกที่ผลงานชิ้นเอกบางชิ้นไม่มี
มันแตกต่างจากตัวเอกหลายคนที่ต้องแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ความหมายของการดำรงอยู่ของวิลสันคือการดำรงอยู่ในตัวเอง เขาไม่จำเป็นต้องกอบกู้โลกหรือช่วยผู้อื่น เป้าหมายเดียวของเขาคือการเอาชีวิตรอด ทั้งหมดในโลกของ ‘Don’t Starve’ ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อเป้าหมายพื้นฐานที่สุด : การมีชีวิตที่ดีขึ้น
‘Don’t Starve’ เป็นเกมที่มีสไตล์สูงและมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มาก
โลกของ ‘Don’t Starve’ นั้นไม่มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จัก แม้แต่โลกนี้ก็เต็มไปด้วยฉากบางอย่างที่ไม่สมจริง สไตล์การวาดภาพและดนตรีทั้งหมดเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่มืดมน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงอย่างเหลือเชื่อเมื่อเผชิญกับความตาย
ความรู้สึกไร้สาระและความเป็นจริงนี้เกิดขึ้นตลอดทั้งเกมของ ‘Don’t Starve’ รวมถึงการอยู่ร่วมกันของเทคโนโลยีและเวทมนตร์ในเกมก็เสริมสร้างความรู้สึกนี้อย่างมาก
เครื่องจักรเคลื่อนย้าย หมูที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม หลุมศพในป่า ซากสัตว์ก่อนๆ มอนสเตอร์ที่น่ากลัว…การตั้งค่าที่น่ากลัวเหล่านี้อาจดูเหมือนจะไม่มีอิทธิพลต่อกันและกันในแวบแรก แต่เบื้องหลังพวกมันมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
เบื้องหลังของโลกทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมาก ก่อตัวเป็นโลกที่ไม่เหมือนใคร
ความสามารถในการเล่นของ ‘Don’t Starve’ มาจากการตั้งค่าที่หลากหลาย อาจดูเหมือนเกมสองมิติธรรมดาๆ แต่น่าเล่นกว่าเกมใหญ่ๆ บางเกมเสียอีก
ประเภทของมอนสเตอร์นั้นซับซ้อนมากและมอนสเตอร์แต่ละตัวสามารถให้อาหารและทรัพยากรที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งตัวละครหลักสามารถใช้ระบบการก่อสร้างที่หลากหลายเพื่อสร้างกองไฟ เตาย่างเนื้อ หม้อ กับดักและอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตัวละครสามารถโต้ตอบได้ เช่น การเก็บด้วยมือเปล่า การฟัน การขุด จุดไฟ การปลูก เป็นต้น แม้แต่พื้นผิวเองก็สามารถสัมผัสได้ และอุปกรณ์อันมีค่าเหล่านั้นยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรงในช่วงเวลาวิกฤติ
นอกจากนี้ยังมีวิธีต่างๆ ในการรับทรัพยากร หากผู้เล่นต้องการหนังหมู พวกเขาสามารถไปเผชิญหน้ากับหมูตัวต่อตัว ค้นหากระท่อมหมูร้างและใช้แท่นบูชา หรือวางไข่แมงมุมข้างบ้านหมู ปล่อยให้แมงมุมฆ่าหมูแทนผู้เล่นได้
เมื่อผู้เล่นประสบความสำเร็จบางอย่าง หมดความสนใจในโหมดเอาชีวิตรอด ความต้องการเอาชีวิตรอดไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ผู้เล่นเล่นเกมต่อ ผู้เล่นจะพบกับโหมดผจญภัยและเริ่มความท้าทายครั้งใหม่
ยิ่งกว่านั้น เกมนี้เป็นเกมที่โหดเหี้ยมมากๆ การมองข้ามสิ่งใดๆ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้เมื่อเผชิญกับการเอาชีวิตรอด
แต่เพราะเหตุนี้ ความหมายของการดำรงอยู่จึงมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ การหาหมู่บ้านหมูที่เต็มไปด้วยแครอตและผลเบอร์รี่เมื่อคุณหิวอาจรู้สึกดีชั่วขณะ
หลังจากเล่น ‘Don’t Starve’ แล้ว ผู้เล่นหลายคนจะเข้าใจว่า ‘การกินอิ่ม’ นั้นมีความสุขเพียงใด
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้ ‘Don’t Starve’ ไม่เพียงแต่สามารถดึงดูดผู้เล่นมือใหม่ที่สนใจเกมเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังสามารถรักษาผู้เล่นฮาร์ดคอร์เหล่านั้นไว้ได้นาน ถึงขนาดมีหลายคนก็ยังยืนยันที่จะเล่นเกมนี้เป็นเวลาหลายปีโดยไม่รู้สึกเบื่อ
เพราะทุกการเดินทางของ ‘Don’t Starve’ จะแตกต่างกัน
และเช่นเดียวกับเกมแซนด์บ็อกซ์หลายๆ เกม ม็อดเป็นแกนหลักที่ทำให้เกมอย่าง ‘Don’t Starve’ มีอายุยืนยาว
นอกเหนือจาก DLC ที่พัฒนาอย่างเป็นทางการแล้ว ม็อดที่สร้างโดยผู้เล่นยังนำความสนุกมาสู่เกมอีกด้วย
ในแง่ของ ม็อดตัวละคร ตัวละคร One Piece อย่างโซโร(มีดาบของตัวเอง ตัดต้นไม้ได้ จอมหลงทาง แผนที่ทั้งหมดจะเป็นสีดำเสมอ) เอส(สร้างลูกไฟ ค่าจิตใจจะถูกฟื้นฟูด้วยไฟ) ในแง่ของ ม็อดเสริมมีค่าแสดงผล คู่มือการสร้างม็อด การทำงานมีเต็นท์ถาวร เป้ขนาดใหญ่…
นอกจากนี้ยังมีม็อดขนาดใหญ่ เช่น Dark Hero เพียงม็อดเดียวก็เพียงพอสำหรับผู้เล่นหลายคนที่จะเล่นได้ครึ่งปี ม็อดใหญ่พิเศษประเภทนี้เกือบจะเทียบเท่ากับเกมใหม่
แน่นอนว่าเฉินโม่เลือกม็อดสองสามตัวที่ใช้บ่อยกว่าและไม่ส่งผลต่อความสมดุล ส่วนม็อดอื่นๆ ผู้เล่นสามารถพัฒนาได้ด้วยตัวเอง
นี่คือธรรมชาติของเกมแซนด์บ็อกซ์ เมื่อผู้เล่นมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่เท่านั้นที่ศักยภาพของเกมนี้จะถูกพัฒนาอย่างแท้จริง
………………………………….