ตอนที่ 2 เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ฉินอี๋มองออกว่าเขาไม่รู้จักคนผู้นี้ จึงกล่าวอธิบายไปว่า “เดิมทีเขาเป็นผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณแห่งเมืองหลวง สิบสามมารสวรรค์บุกโจมตีเมืองหลวง ในตอนที่ท่านสองสู้กับป้าหวัง หลัวคังอันผู้นี้ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยท่านสอง โจมตีป้าหวังจนบาดเจ็บสาหัส ท่านสามารถดูในรายงานข่าวที่ถ่ายทอดไปทั่วอยู่ในเวลานี้ได้ค่ะ”
“ช่วยหยางเจิน? แล้วยังเล่นงานป้าหวังจนบาดเจ็บสาหัส? หลัวคังอัน?” ลั่วเทียนเหอมีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หยางเจินเป็นใคร? เขาคือแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งสภาเซียน มีฉายาที่ยิ่งใหญ่ว่าเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งสภาเซียน ในมือกุมอำนาจควบคุมกองทัพมากกว่าครึ่งของสภาเซียนเอาไว้ เป็นผู้นำภารกิจกวาดล้างกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนหน้าที่ยังหลงเหลืออยู่ คอยดูแลปกป้องระเบียบของสภาเซียน
ส่วนป้าหวังผู้นั้นก็มิใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์ เป็นหนึ่งในผู้นำสิบสามคนของกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนหน้า เป็นผู้ที่คนส่วนใหญ่เพียงได้ยินชื่อก็รู้สึกหวาดกลัว
สามารถช่วยเหลือหยางเจิน แล้วยังทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัสได้ ในหมู่ผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณมีคนแบบนี้ปรากฏขึ้นมา แต่ตนเองกลับไม่รู้เรื่องเนี่ยนะ? ลั่วเทียนเหอรู้สึกเหนือความคาดหมาย จึงเหลียวหน้ากลับไปมองเหิงเทาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยที่ยืนอยู่ข้างกาย
เหิงเทาแสดงสีหน้างุนงงสงสัย ก่อนจะส่ายศีรษะออกมาเล็กน้อยเพื่อบอกว่าตนเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน
จากนั้นเขารีบหมุนตัวเดินไปอีกด้าน ทำการติดต่อไปยังเมืองหลวงเพื่อจะตรวจสอบยืนยันเรื่องของหลัวคังอันผู้นี้ ในเมื่อเป็นผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณของเมืองหลวง เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ทางเมืองหลวงจะไม่ทราบเรื่องนี้
ลั่วเทียนเหอกล่าวถามฉินอี๋ต่อว่า “หลัวคังอันผู้นี้มาที่เมืองปู๋เชวี่ยของฉันทำไม?”
ฉินอี๋กล่าวว่า “เขาถอนตัวจากการเป็นผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณแล้ว ฉันเลยเชิญเขามาทำงานในบริษัทของตระกูลฉินด้วยเงินเดือนที่สูงค่ะ”
ลั่วเทียนเหองุนงง ภายในใจยิ่งรู้สึกสงสัย “คนที่สามารถทำให้มารชั่วป้าหวังบาดเจ็บสาหัสได้ เกรงว่าในเมืองหลวงคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยินดีจ้างเขา แต่เขากลับตอบรับคำเชิญของเธอแล้วมาที่นี่เนี่ยนะ?”
แม้นหอการค้าตระกูลฉินจะเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองปู๋เชวี่ย แต่ถ้าหากว่ากันทั้งดินแดนเซียนแล้ว พวกเขาก็ไม่ถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่โตอะไร
ฉินอี๋กล่าวว่า “เขาถูกกีดกันเล็กน้อยตอนที่อยู่เมืองหลวง ถือเป็นโชคของตระกูลฉินของฉันค่ะ” ความหมายของคำพูดนี้คือเธอโชคดีได้ตัวหลัวคังอันมาอย่างไม่ยากเย็นอะไร
ลั่วเทียนเหอร้องอ้อ เข้าใจแล้ว จึงกล่าวด้วยความหมายลึกซึ้งว่า “ยอมเดินทางไปถึงเมืองหลวงเพื่อหาผู้พิทักษ์แบบนี้มา ดูเหมือนการเปิดประมูลเทพมหาวิญญาณในแคว้นเซียนคุนกว่างครั้งนี้ เธอตัดสินใจจะลองแย่งดูสินะ”
เทพมหาวิญญาณที่ว่า กล่าวง่ายๆ ก็คือหินวิญญาณที่ใช้ข่ายพลังรวบรวมพลังงานเอาไว้ข้างในจำนวนมาก เป็นอาวุธเซียนที่สามารถทำให้ความรุนแรงของพลังของผู้ที่ควบคุมมันรุนแรงขึ้นได้จากพลังงานจำนวนมหาศาลของมัน การที่มันถูกเรียกขานว่า ‘เทพ’ ได้ นี่ก็คงพอจะแสดงให้เห็นว่ามันมีอานุภาพรุนแรงเพียงใด
ในดินแดนรกร้างห่างไกลจำนวนมากของดินแดนเซียนยังคงมีสัตว์ร้ายคอยก่อความวุ่นวายอยู่ เดิมทีเทพมหาวิญญาณที่ปรากฏขึ้นในยุคแรกสุดคือสิ่งที่ลูกหลานของเศรษฐีจำนวนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรต่ำต้อยได้ใช้ทรัพยากรหลอมมันขึ้นมาเพื่อใช้ปกป้องคุ้มครองตัวเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นสิ่งที่คนบางคนหลอมขึ้นมาเล่นๆ แต่เมื่อกระบวนการหลอมมีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ อานุภาพของมันจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จนกระทั่งมันสามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังสูงส่งล้ำลึกได้
คนปกติทั่วไปหากจะบำเพ็ญเพียรก็จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานถึงจะมีสภาวะที่สูงส่งล้ำลึกได้ แต่การหลอมเทพมหาวิญญาณนี้กลับมีความง่ายดายกว่ามาก มันสามารถทำให้ความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ‘เทพมหาวิญญาณ’ จึงค่อยๆ ถูกบรรจุเข้าไปในขบวนรบของสภาเซียน ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นกองทัพ.
และผู้ที่ควบคุมเจ้าสิ่งนี้ก็จะถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์ เทพมหาวิญญาณคือหุ่นเชิด ส่วนผู้พิทักษ์ที่ควบคุมและใช้พลังของมันก็คือวิญญาณซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ
ครั้งนี้กลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนบุกเข้ามาก่อความวุ่นวาย หลังการสู้รบอย่างดุเดือด เทพมหาวิญญาณก็ได้เผยจุดอ่อนบางอย่างออกมาให้เห็น พูดง่ายๆ ก็คือตรงตำแหน่งข้อต่อของเทพมหาวิญญาณจะเกิดปัญหาได้ง่ายเมื่อถูกใช้งานหนักบ่อยครั้งเข้า เพื่อที่จะจัดการกับปัญหานี้แล้ว สภาเซียนจึงได้สั่งให้ทางแคว้นเซียนคุนกว่างทำการเปิดประมูลแบบเปิด เพื่อที่จะได้รวบรวมมันสมองมาแก้ไขปัญหานี้
แคว้นเซียนคุนกว่างแบ่งออกเป็นเก้ามณฑล เมืองปู๋เชวี่ยเป็นเพียงตัวแทนของมณฑลหนึ่งในนั้นเท่านั้น
ฉินอี๋นิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านก็ทราบนี่คะว่าตระกูลฉินของฉันร่ำรวยขึ้นมาจากการทำเหมืองหินวิญญาณ ตอนนี้หินวิญญาณภายในเหมืองกำลังจะถูกขุดออกไปจนหมดแล้ว หากทางบริษัทยังไม่รีบเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ ยังไม่รีบหาอุตสาหกรรมเสาหลักใหม่ ในอนาคตคงจะเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นได้ ฉันเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ครั้งนี้แคว้นเซียนยอมเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างยุติธรรมเช่นนี้ได้ ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับตระกูลฉิน ฉันจึงไม่อยากจะพลาดมันไป เลยว่าจะลองพยายามดูสักหน่อยน่ะค่ะ”
ลั่วเทียนเหอยกมือขึ้นลูบเครา “ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่เธอต้องรู้เอาไว้นะว่าจริงอยู่ที่แคว้นเซียนยอมเปิดโอกาสให้พวกเธอได้เข้าแข่งขันอย่างยุติธรรม แต่คำว่า ‘แข่งขัน’ มันหมายความว่าอย่างไร ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเธอก็น่าจะรู้ดี”
เดิมทีในแคว้นเซียนคุนกว่างก็มีบริษัทที่ดำเนินอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทพมหาวิญญาณอยู่แล้วสองบริษัท ต่างฝ่ายต่างกระทบกระทั่งกันอยู่ แล้วจู่ๆ ตระกูลฉินของเธอมาสอดมือเข้าไปอย่างนี้ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้หรือยังว่าจะเผชิญหน้ากับสองบริษัทนั้นอย่างไร?
คนมีปัญญาล้วนแต่มองออกว่าการประมูลที่แคว้นเซียนคุนกว่างจัดขึ้นมาครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบของทางสภาเซียน ทันทีที่ประสบความสำเร็จ มันก็มีโอกาสอย่างมากที่จะกินรวบการซื้อที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของทั้งสภาเซียนได้ ผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ เกรงว่าบริษัทในแคว้นเซียนอื่นๆ คงจะสอดมือเข้ามาร่วมวงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงด้วยแน่ เธอมั่นใจหรือว่าเธอจะชนะได้?
“เรื่องธุรกิจของพวกเธอฉันไม่อยากเข้าไปยุ่ง แล้วก็ไม่อยากจะไปขัดขวางตระกูลฉินของเธอไม่ให้เข้าร่วมธุรกิจนี้ด้วย แต่ฉันได้ยินมาว่าตระกูลฉินของเธอลงทุนไปเป็นจำนวนมาก ดูแล้วเหมือนกำลังเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีไปเป็นเดิมพันวัดดวง หากพลาดขึ้นมาเกรงว่าจะลุกขึ้นมาไม่ได้อีก เธอต้องคิดให้ดีนะ”
ฉินอี๋โค้งตัวเล็กน้อยพลางกล่าว “ขอบคุณในความหวังดีของท่านเจ้าเมืองค่ะ แต่ลูกธนูที่ยิงออกไปแล้วไม่อาจเก็บกลับมาได้ เราลงทุนไปเป็นจำนวนมากแล้ว ถอนตัวไม่ได้แล้วค่ะ”
“เฮ้อ!” ลั่วเทียนเหอถอนใจ “เด็กน้อยเอ๋ย ฉันก็ถือว่าเป็นคนที่เห็นเธอเติบโตมา ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมุทะลุแบบนี้เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกว่าพ่อเลย นี่มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเลยนะ”
ฉินอี๋กล่าว “ฉินอี๋ทราบว่าอะไรควรมิควร ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้อาวุโสในวังเซียน ทั้งยังเป็นอาจารย์ของท่านเจ้าแคว้นแห่งแคว้นเซียนคุนกว่าง ฉินอี๋หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นท่านเจ้าเมืองจะกล่าวชมตระกูลฉินของเราเยอะๆ นะคะ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ฉินเต้าเปียนพ่อของเธอกับฉันรู้จักกันมานานหลายปี เคยออกเงินออกแรงเพื่อเมืองปู๋เชวี่ยมาหลายครั้ง เมื่อถึงเวลาช่วยตระกูลฉินพูดฉันย่อมต้องช่วยแน่นอน แต่เรื่องที่จะให้ฉันพูดมันก็ต้องเป็นเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ? จะให้ฉันใช้ความอาวุโสไปช่วยพูดโกหกโดยไม่มีเหตุผลมันก็ไม่ได้ ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเจ้าแคว้นหนานหรูก็อธิบายกับทางสภาเซียนไม่ได้เช่นกัน พวกเธอเองก็ต้องมีความสามารถอย่างที่ว่าจริงๆ ฉันถึงจะช่วยได้”
ฉินอี๋กล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองโปรดวางใจค่ะ หากไม่มั่นใจ ฉันเองก็คงไม่กล้าเสี่ยงลงทุนจำนวนมากขนาดนี้ ขอเพียงการประมูลมีความยุติธรรมก็พอ”
ลั่วเทียนเหอร้องอ้อ สังเกตดูเธออีกเล็กน้อย ก่อนจะมองออกว่าเธอมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ เห็นทีคงจะมีความมั่นใจดั่งว่า ตระกูลฉินเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจกะทันหัน ฉินเต้าเปียนเองก็มิได้ขัดขวาง เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังจะต้องมีความลับทางธุรกิจอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่เป็นแน่ หากไม่มีความจำเป็นเขาเองก็ไม่สะดวกที่จะถามมากเช่นกัน
แต่สุดท้ายเขาก็กล่าวเตือนไปด้วยความหวังดีอีกเล็กน้อย “เทพมหาวิญญาณเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์จำนวนมหาศาล มิตรที่เสแสร้งรับมือได้ยากกว่าศัตรูที่เปิดเผย พวกเธอต้องระวังให้มากหน่อยล่ะ”
“ค่ะ!” ฉินอี๋โค้งตัวกล่าวขอบคุณ
ในเวลานี้เอง เหิงเทาก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบกล่าวรายงานว่า “ท่านเจ้าเมือง เกิดเรื่องขึ้นแล้วครับ คุณจูลี่ส่งข้อความขอความช่วยเหลือมา หลังเรือคุนที่เธอโดยสารล่องเข้ามาในแคว้นเซียนคุนกว่างก็ถูกกลุ่มผู้สนับสนันราชวงศ์ก่อนซุ่มโจมตีครับ”
ฉินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หากไม่มีอะไรผิดคาดล่ะก็ คนที่อีกฝ่ายพูดถึงน่าจะนั่งมาในเรือคุนลำเดียวกับคนที่เธอมารอรับ หรือพูดอีกอย่างก็คือคนที่เธอมารอรับก็กำลังเจอกับอันตรายด้วยเช่นกัน แต่ยังมิทันที่เธอจะพูดอะไร เธอก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิรอบกายที่ลดต่ำลง ความรู้สึกเย็นยะเยือกสายหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากตัวลั่วเทียนเหอ บนพื้นที่อยู่ใต้เท้าของลั่วเทียนเหอมีน้ำค้างแข็งสีขาวกระจายตัวออกไปรอบด้าน ฉินอี๋มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น จึงทนความหนาวเย็นไม่ได้ รีบถอยหลังไปหลายก้าวทันที
“ไอสวะพวกนี้มันช่างเหิมเกริมนัก!” ลั่วเทียนเหอคำรามออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะมองเห็นท่าทีของฉินอี๋ จึงสลายไอเย็นที่แผ่กระจายออกไปโดยไม่รู้ตัว พลางกล่าวกับเหิงเทาว่า “รีบติดต่อเจ้าแคว้นหนานหรู ให้เขาส่งคนที่อยู่ใกล้ๆ ไปช่วยเหลือ”
เหิงเทากล่าว “ติดต่อทางแคว้นเซียนไปแล้วขอรับ ทางนั้นเองก็ทราบเรื่องแล้ว แล้วก็แจ้งให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ออกไปช่วยเหลือแล้ว พวกเราช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงรอฟังข่าวเท่านั้นกลับ”
สายตาของลั่วเทียนเหอทอดมองออกไป ใบหน้าขึงขัง กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “พวกเศษเดนจากราชวงศ์ก่อน…”
ฉินอี๋ที่อยู่ข้างๆ นิ่งเงียบ ตอนนี้ก็ได้แต่ต้องปล่อยให้เป็นลิขิตของสวรรค์แล้ว จากนั้นเธอคิดถึงคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง จึงลองขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านเจ้าเมือง ไม่ทราบว่าคุณจูลี่ที่เมื่อครู่นี้เอ่ยถึงเป็นใครหรือคะ?”
สายตาลั่วเทียนเหอกวาดมองมา “เป็น…” เขาชะงักไปเล็กน้อย เหลียวหน้ากลับไปถามเหิงเทา “เรียกว่าอะไรนะ?”
เหิงเทาตอบ “ผู้จดบันทึกรายงานข่าว หรือถ้าเรียกตามโลกมนุษย์ก็คือนักข่าวครับ”
“อ้อ ใช่ นักข่าว” ลั่วเทียนเหอพยักหน้าพลางตอบ คล้ายรู้สึกว่าคำศัพท์ที่แปลกใหม่นี้มันออกเสียงยาก
แต่ฉินอี๋กลับเข้าใจทันทีที่ได้ยิน เพราะคนหนุ่มสาวเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เร็วกว่าคนแก่ แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี จึงกล่าวถามว่า “ขออภัยที่ฉินอี๋ละลาบละล้วง แต่นักข่าวเพียงคนเดียวถึงกับต้องให้เจ้าเมืองนั่งรถมาต้อนรับด้วยตนเอง นี่มันมีเบื้องหลังอะไรอยู่หรือเปล่าคะ?”
ลั่วเทียนเหอลูบเคราพลางแค่นหัวเราะหึหึ กล่าวว่า “พวกสวะจากราชวงศ์ก่อนก่อความวุ่นวาย มีคนไม่พอใจที่เมืองปู๋เชวี่ยของพวกเราสงบสุขเกินไป แอบไปนินทาลับหลัง บอกว่าฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปวันๆ ปล่อยให้พวกสวะจากราชวงศ์ก่อนมันกำเริบเสิบสานโดยไม่ทำอะไร พวกสวะจากราชวงศ์ก่อนมันไม่ได้มาก่อความวุ่นวายที่เมืองปู๋เชวี่ยนี่นา แล้วจะให้ฉันไปทำอะไรล่ะ? ขี้เกียจไปนั่งอธิบาย”
“ตอนนี้นักข่าวอะไรนี่กำลังเป็นที่นิยมมิใช่เหรอ พอคิดไปคิดมา เมืองปู๋เชวี่ยของเราก็ควรจะมีนักข่าวสักคนไว้เป็นกระบอกเสียงเหมือนกัน เพื่อที่คนข้างนอกจะได้รู้ถึงสถานการณ์ในเมืองปู๋เชวี่ยของเรา จะได้ไม่มีใครไปพูดเหลวไหลอีก”
“หลังครุ่นคิดแล้วก็คัดเลือกอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พบว่าจูลี่คนนี้เป็นคนที่ออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยของพวกเรา ภาพการต่อสู้ระหว่างป้าหวังกับท่านสองที่ถูกส่งต่อไปทั่วทั้งดินแดนเซียนก็เป็นฝีมือของหญิงสาวผู้นี้ที่เสี่ยงชีวิตถ่ายมาได้ ตอนนี้มีชื่อเสียงในวงการนักข่าวอยู่ไม่น้อย แล้วก็มีคนในเมืองหลวงจำนวนมากที่ต้องการตัวเธอ”
“ฉันต้องใช้ทั้งความจริงใจและเหตุผลต่างๆ กว่าจะกล่อมให้เธอยอมกลับมาบ้านเกิดได้ เตรียมจะให้เธอกลับมาสร้างอาชีพนี้ขึ้นในเมืองปู๋เชวี่ย”
ฉินอี๋เข้าใจแล้ว เจ้าเมืองเป็นคนเชิญเธอมาเอง การที่เขามาต้อนรับด้วยตัวเองก็เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ จึงกล่าวหยั่งเชิงไปอีกประโยคว่า “แล้วทำไมเจ้าเมืองถึงไม่ให้เธอใช้อุโมงค์เคลื่อนย้ายล่ะคะ?”
“เคยบอกแล้ว แต่เธอปฏิเสธ บอกว่าอยากจะดูนั่นดูนี่ระหว่างทาง ตอนนี้ดูแล้วเหมือนผู้หญิงคนนี้จะใจกล้าจริงๆ ชอบเสี่ยงอันตราย….ก็ขออย่าให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย” ลั่วเทียนเหอกล่าวพลางส่ายศีรษะ
สายตาของฉินอี๋ทอดมองออกไปไกล เธอเองก็กำลังคิดว่าขออย่าให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หวังว่าหลัวคังอันจะเดินทางมาถึงที่นี่โดยปลอดภัย มิเช่นนั้นแผนการที่บริษัทตระกูลฉินเตรียมเอาไว้คงจะได้รับผลกระทบไม่น้อยแน่
……
“ตกใจหมดเลย!”
ผู้โดยสายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเรือคุนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เทพมหาวิญญาณกลุ่มหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยพวกเขาได้สำเร็จ ก่อนจะไล่สังหารกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนที่หลบหนีไป มีคนจำนวนไม่น้อยที่โห่ร้องออกมาด้วยความปิติยินดีเสมือนตายแล้วเกิดใหม่
คุนที่ทั่วทั้งร่างได้รับบาดเจ็บปฏิบัติตามข้อตกลง ลากร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บโบยบินต่อไปอย่างรวดเร็ว
จูลี่ที่แน่ใจแล้วว่ารอดพ้นจากอันตรายเอามือลูบหน้าอก ขณะที่ถอนหายใจออกมาก็เหลือบมองไปทางชายตกอับที่อยู่ด้านข้าง พบว่าเขายังคงนั่งพิงผนังแสร้งทำเป็นหลับอยู่ ตลอดทั้งเหตุการณ์ล้วนสงบนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้ เธอไม่เชื่อว่าในเหตุการณ์ที่ทุกคนต่างพากันตกใจกลัวเป็นอย่างมากเมื่อครู่นี้ คนผู้นี้จะยังนอนหลับได้ หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็ นั่นมันก็ใจเย็นเกินไปแล้ว!
เธอบิดร่างกาย เตรียมจะเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่กลับพบว่าขาของตัวเองถูกอะไรบางอย่างรัดเอาไว้ เมื่อเหลียวกลับไปมอง ถึงได้พบว่าชายที่ชื่อหลัวคังอันผู้นั้นตกใจกลัวจนทรุดนั่งลงไปกับพื้น กำลังกอดต้นขาของเธอเอาไว้ด้วยท่าทางหวาดกลัว
จูลี่สะบัดขา ตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกโมโหปนอับอาย “ปล่อย!”
“หือ?” หลัวคังอันเงยหน้ามองเธอ มือที่กอดอยู่มิได้ปล่อยออก คล้ายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป
หญิงสาวผู้หนึ่งถูกชายแปลกหน้ากอดต้นขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จูลี่รู้สึกโมโหจนยากจะทนต่อไปได้อีก ยกเท้าอีกข้างหนึ่งยันออกไป….
…………………………………………………………..