ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 3 โรงอีหลิว

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 3 โรงอีหลิว

“ถึงแล้ว!”

มาถึงอีกสถานีหนึ่งแล้ว กลุ่มคนที่เดินทางมาถึงเมืองปู๋เชวี่ยพากันโห่ร้องยินดี ทยอยลุกขึ้นยืน ทำเอาผู้โดยสารที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นพากันเหลียวหน้ากลับมามองด้วยความอิจฉา หลังเผชิญกับอันตรายมาครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างก็อยากจะรีบเดินทางไปถึงจุดหมาย ด้วยกลัวว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

ชายตกอับยังคงนิ่งเงียบ จูลี่ที่ลุกขึ้นยืนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปสะกิดหัวไหล่เขาเบาๆ พลางกล่าวเตือนว่า “ถึงเมืองปู๋เชวี่ยแล้วนะ”

ชายตกอับลืมตา พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่าตนเองรู้แล้ว

อย่างกับคนใบ้! จูลี่บ่นออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวไปประจันหน้ากับหลัวคังอันพอดี

หลัวคังอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบหมุนตัวเดินออกไปก่อนก้าวหนึ่ง

ร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารของคุนค่อยๆ เทียบฝั่ง หยุดอยู่ตรงด้านผาหนานผิง อ้าปากอันใหญ่โต ปล่อยคนที่อยู่ในร่างกายออกมา

จูลี่ที่เดินตรงไปยังทางออกเหลียวหน้ากลับไปมองอีกครั้ง พบว่าชายตกอับผู้นั้นยังคงนั่งพิงผนังไม่ขยับเขยื้อน ท่าทีคล้ายไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งคนอื่นๆ ตรงพื้นที่นั้นพากันลุกเดินออกมาหมดแล้ว คนผู้นั้นถึงได้ลุกขึ้นเป็นคนสุดท้าย สืบเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านหลังคนอื่น

แปลกคน! จูลี่บ่นพึมพำในใจ เหลียวหน้าเดินตรงไปยังทางออก

คนที่รอต้อนรับอยู่บนผาพากันชะเง้อหน้ามองดู เมื่อเห็นคนที่ตนเองมารอต้อนรับก็พากันโบกไม้โบกมือ

หลัวคังอันเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาจากปากอันใหญ่โตของคุน ไป๋หลิงหลงที่มารอรับอยู่ตรงปากทางออกรีบสืบเท้าเดินเข้าไป ยิ้มแย้มพลางกล่าว “คุณหลัว เจอกันอีกแล้วนะคะ”

“ผู้ช่วยไป๋” หลัวคังอันหัวเราะฮ่าๆ ทั้งสองคนรู้จักกัน ไป๋หลิงหลงเคยไปเจรจากับเขาด้วยตัวเองที่เมืองหลวง

ไป๋หลิงหลงยังคงยิ้มแย้ม ทว่าสายตากลับหยุดชะงักอยู่บนใบหน้าของหลัวคังอันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมถึงได้รู้สึกว่าบนใบหน้าของคนผู้นี้มีรอยรองเท้าอยู่ เธอได้สติกลับมา รีบผายมือเชิญอย่างรวดเร็ว “คุณหลัว ท่านประธานมารอรับคุณค่ะ เชิญตามดิฉันมาเลยค่ะ”

“ครับ” หลัวคังอันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มรีบเดินตามเธอไป

เหิงเทาที่ยืนอยู่ตรงทางออกก็กำลังโบกไม้โบกมือเช่นกัน จูลี่ที่เหยียบขึ้นไปบนผารีบส่งยิ้มพลางเดินเข้าไปหาเขาทันที เมื่อพบหน้าก็กล่าวทักทายเล็กน้อย เหิงเทาพาเธอไปหาลั่วเทียนเหอ

ในกลุ่มคนที่ได้พบกับคนที่มารอรับ บางคนหัวเราะพลางโอบกอดกัน บางคนเดินคล้องแขนพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม

หลังคนที่ต้องการลงที่เมืองปู๋เชวี่ยต่างลงไปหมดแล้ว ปากอันใหญ่โตของคุนก็ปิดลง หมุนตัวแหวกว่ายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว รีบเดินทางไปส่งคนยังสถานีต่อไป

ฉินอี๋ที่ได้พบกับหลัวคังอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะเธอรู้สึกว่าสายตาของหลัวคังอันมักจะเหลือบมองดูในจุดที่ไม่ควรมองบนร่างกายของเธอ บางทีอาจเป็นเพราะการแต่งตัวในวันนี้มันดูเร่าร้อนไปหน่อยจริงๆ

เดิมเธอคิดอยากจะนั่งรถกลับคันเดียวกับหลัวคังอัน ทว่าสายตาที่อยู่ไม่สุขของหลัวคังอันได้ทำให้เธอเปลี่ยนความคิด เธอจัดให้หลัวคังอันไปนั่งรถอีกคันหนึ่ง

ก่อนที่จะขึ้นรถจากไป สายตาของฉินอี๋จ้องมองไปทางลั่วเทียนเหอ ด้วยคิดอยากจะจดจำใบหน้าของแขกที่ลั่วเทียนเหอมาต้อนรับเอาไว้

ก่อนหน้านี้ลั่วเทียนได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะให้อีกฝ่ายมาจัดตั้งและรับผิดชอบอาชีพรายงานข่าวของเมืองปู๋เชวี่ย

ตาแก่เป็นคนหัวโบราณ ครั้งนี้นับว่าคิดได้เสียที เธอเป็นคนทำธุรกิจ ภายหน้าหอการค้าตระกูลฉินจะต้องมีการติดต่อกับคุณจูลี่ผู้นี้อย่างแน่นอน จำหน้าเธอเอาไว้หน่อย กลับไปแล้วก็คงต้องหาโอกาสเชิญเธอมาทำความรู้จักด้วยเช่นกัน

เธอมองเห็นจูลี่ที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับลั่วเทียนเหอ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์สดใส ใบหน้าเองก็สะสวย สวมกางเกงยีนส์ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้

มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าผู้หญิงแบบนี้จะกล้าไปแอบถ่ายรูปสิบสามมารสวรรค์ในระยะใกล้ๆ

ลั่วเทียนเหอหมุนตัวขึ้นรถ จู่ๆ จูลี่ที่ตามไปขึ้นรถพลันเหลียวหน้ากลับมา สายตากวาดมองดูรอบด้าน คล้ายกำลังมองหาอะไรอยู่ สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่เป้าหมายของเธอ

ในเวลานี้เธอถึงได้พบว่าชายตกอับคนนั้นเป็นคนขาพิการ เขาเดินกะโผลกกะเผลกไปยังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่อยู่ด้านนอกกลุ่มคน เป็นมอเตอร์ไซค์คันเล็กที่ดูคล้ายลาตัวเล็ก

บนลาตัวเล็กนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางที่กำลังยิ้มตาหยีผู้หนึ่ง ผมยาวที่ห้อยปรกลงมาด้านหลังถูกมัดรวบเอาไว้อย่างง่ายๆ

ชายตกอับเดินไปถึงตรงหน้าชายวัยกลางคน ในที่สุดบนใบหน้าที่เฉยชาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา “ลุงเฉิน”

ชายวัยกลางคนกวักมือไปทางด้านหลัง “ขึ้นรถ กลับไปค่อยว่ากัน”

ชายตกอับยกขาข้างที่เดินกะเผลกคร่อมไปบนรถ ไม่ทันรอให้เขาได้นั่งเรียบร้อย ชายวัยกลางคนก็ควบเจ้าลาตัวเล็กพุ่งออกไปเหมือนลมสายหนึ่ง

รถคันเล็กๆ สองล้อบรรทุกผู้ชายร่างใหญ่สองคน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่อาจแบกรับได้ไหว

ชายตกอับที่ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยใช้สองมือจับไหล่ของลุงเฉินเอาไว้ บนข้อมือข้างหนึ่งเผยให้เห็นกำไลข้อมือทรงกว้างสีดำที่รูปทรงดูธรรมดาอันหนึ่ง ท่ามกลางลวดลายก้อนเมฆที่แกะสลักเอาไว้เต็มกำไลข้อมือมีสมอเรืออยู่อันหนึ่ง รูปทรงดูคล้ายหัวลูกธนู

จูลี่มองดูชายตกอับจากไป ก่อนจะก้มต่ำเข้าไปนั่งในรถ ลั่วเทียนเหอที่ขึ้นไปบนรถก่อนยิ้มพลางกล่าวว่า “มองอะไรหรือ?”

จูลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ไม่ได้กลับมานานหลายปี ก็เลยมองดูอะไรหน่อย”

แต่ภายในใจยังคงรู้สึกแปลกประหลาด ด้วยสัมผัสอันเฉียบไวจากอาชีพของเธอ เธอรู้สึกได้ว่าบนตัวของชายผู้นั้นมีความแปลกประหลาดบางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

ฉินอี๋ที่มองตามสายตาของจูลี่ไปมองไม่เห็นใบหน้าของชายตกอับ กระทั่งในตอนที่เธอมองเห็นอีกฝ่ายมันก็สายไปเสียแล้ว เธอมองเห็นแค่เพียงด้านหลังเสื้อโค้ทหนังและใบหน้าด้านข้างเพียงเล็กน้อย แต่เธอรู้จัก ‘ลุงเฉิน’ ผู้นั้น มิใช่แค่เพียงรู้จักธรรมดา หากแต่รู้จักเป็นอย่างดี

และก็เป็นเพราะว่ารู้จักลุงเฉิน จึงทำให้เธอจ้องมองแผ่นหลังของเสื้อโค้ทหนังตัวนั้นอยู่เป็นเวลานาน ยากที่จะดึงสติกลับมาได้

ริมฝีปากแดงฉานดั่งเปลวเพลิง สายลมผัดผ่านผ้าคลุมไหล่และผมยาวที่ม้วนเป็นลอน สายตาจ้องมองดูแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไป จมลึกอยู่ในภวังค์

ไป๋หลิงหลงที่เป็นผู้ช่วยของเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังมองดูอะไร จึงเหลียวหน้ามองตามไป ก่อนจะมองเห็นลุงเฉินเช่นเดียวกัน จึงกล่าวออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรว่า “ลุงเฉินแห่งโรงอีหลิว…” จู่ๆ คำพูดที่อยู่ในปากพลันหยุดชะงัก เพราะว่าเธอก็มองเห็นแผ่นหลังของคนที่สวมเสื้อโค้ทหนังตัวใหญ่ผู้นั้นเช่นเดียวกัน ชื่อที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองของเธอ

ภายในใจกล่าวพึมพำว่า “เขากลับมาแล้ว!”

เธอค่อยๆ เหลียวหน้ากลับไปมองฉินอี๋ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

เพราะเธอคือคนที่เติบโตมาด้วยกันกับฉินอี๋ เรื่องราวหลายๆ เรื่องของฉินอี๋เธอล้วนแต่ทราบดี

เธออยากจะถามคนผู้นั้นว่าในเมื่อจากไปนานขนาดนั้นแล้วยังจะกลับมาทำไม เรื่องราวในอดีตบางเรื่องมันทำให้คนรู้สึกยากจะยอมรับได้ไม่รู้เหรอ?

เมื่อเห็นฉินอี๋เหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน ไป๋หลิงหลงจึงจำต้องกล่าวเรียกสติไปประโยคหนึ่ง “ท่านประธาน คุณหลัวยังรออยู่ในรถค่ะ”

ฉินอี๋ดึงสายตากลับมาพลางกล่าวว่า “ไป” จากนั้นเบี่ยงตัวเข้าไปในรถ

หลังรถเคลื่อนตัวออกไป เธอก็นั่งพิงหน้าต่าง จุดบุหรี่ขึ้นมาอีกมวนหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงคาบบุหรี่เอาไว้ ควันบุหรี่ลอยฟุ้ง สายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างดูเหม่อลอยสับสน

ไป๋หลิงหลงที่นั่งอยู่ข้างคนขับเหลียวหน้ากลับมามองดูเธอเป็นระยะ…

โรงอีหลิวคือโรงแพทย์แห่งหนึ่งภายในเมืองปู๋เชวี่ย เจ้าของก็คือลุงเฉิน ชื่อจริงของลุงเฉินคือจางเลี่ยเฉิน

เมื่อเจ้าของมีธุระ วันนี้โรงแพทย์จึงปิดทำการ

ลาตัวเล็กที่บรรทุกคนสองคนแล่นเข้าไปในโรงแพทย์ผ่านทางประตูด้านข้าง ก่อนจะไปจอดอยู่ในลานภายในโรงแพทย์

ชายตกอับก้าวขาลงจากรถ กวาดมองดูโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่รอบกาย “เมืองปู๋เชวี่ยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่นี่เองก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน”

จางเลี่ยเฉินเข็นลาน้อยไปจอดไว้ใต้ชายหลังคา กล่าวว่า “จะกลัวก็แต่สิ่งของเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไป แปบเดียวก็ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว หลินยวน แกเปลี่ยนไปมากไหม?”

หลินยวนก็คือชื่อของชายตกอับ “ก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรมาบ้างนิดหน่อย แต่มันก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ก็เลยกลับมาอยู่กับลุงดีกว่า หวังว่าลุงเฉินจะรับผมเอาไว้ ส่วนเรื่องเงินเดือนค่อยคุยกันได้”

ในอดีตตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเร่ร่อนอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย ก็เป็นโรงอีหลิวที่รับเขามาเลี้ยงไว้ หลังอยู่ด้วยกันมาหลายปี ทำงานจิปาถะอยู่ที่โรงอีหลิวมาหลายปี เขาจึงรู้ว่าลุงเฉินผู้นี้เป็นคนขี้เหนียว

“ไม่คุยเรื่องเงินเดือนก็ว่ากันง่ายหน่อย” จางเลี่ยเฉินหัวเราะแหะๆ อย่างมีความสุข

หลินยวนยิ้มแห้ง กวาดตามองไปรอบๆ “ดูเงียบเหงาจัง ไม่คล้ายว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย หลายปีมานี้ลุงอยู่คนเดียว ไม่ได้จ้างใครเลยเหรอ?”

จางเลี่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อกวักมือเรียกเขา “ลูกค้าไม่ค่อยมี จะจ้างยังไงล่ะ?”

หลินยวนเดินตามเข้าไปในโรงแพทย์ พบว่าข้างในยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนอย่างในความทรงจำ เพียงแต่มีของบางอย่างที่มีกลิ่นอายของโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น

ในช่วงร้อยปีมานี้ รูปแบบการใช้ชีวิตเก่าๆ บนโลกมนุษย์ค่อยๆ หดหายไป เกิดเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ ขึ้นมา ดินแดนเซียนได้ยินได้เห็นนานวันเข้า จึงค่อยๆ ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

ในตอนที่รินชาอยู่ภายในห้อง จางเลี่ยเฉินชำเลืองมองดูขาข้างที่เดินกะเผลกของหลินยวน ก่อนกล่าวถามว่า “ขาข้างที่ถูกเฉินเต้าเปียนตีจนหักเมื่อในอดีต คงไม่ใช่ว่าปล่อยไม่ยอมรักษาจนพิการมาถึงตอนนี้หรอกนะ? ‘หลิงซาน’ ที่เมืองหลวงเป็นสถาบันบำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในดินแดนเซียน แค่ขาหักแค่นี้ คงไม่ถึงกับรักษาไม่ได้หรอกมั้ง?”

หลินยวนกล่าวว่า “ไม่ใช่ อันนี้เพิ่งเจ็บเมื่อไม่นานมานี้ ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนลอบโจมตีเมืองหลวง ผมหลบไม่ทันก็เลยถูกลูกหลงเข้า พอดีเลย ลุงช่วยดูให้ผมหน่อย”

จางเลี่ยเฉินดื่มชา “ทำไมต้องลากขาที่บาดเจ็บกลับมาด้วย? หลิงซานไม่รักษาให้นักเรียนอย่างแกหรือไง?”

หลินยวนกล่าวว่า “พรสวรรค์มีจำกัด ชีวิตตอนอยู่ที่โรงเรียนไม่ค่อยดีสักเท่าไร ไม่อยากจะไปขอความช่วยเหลือที่นั่น ตอนนี้โรงเรียนพังเสียหายไปกว่าครึ่ง ยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นอย่างมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนจะกลับมาก่อเรื่องอีกหรือเปล่า หลายคนรีบออกมาจากเมืองหลวง ผมเองก็เหมือนกัน กลัวตาย ก็เลยกลับมาก่อน”

จางเลี่ยเฉินวางถ้วยชา พาเขาเข้าไปในห้องตรวจโรคภายในโรงแพทย์ ก่อนจะหมุนตัวโบกมือส่งสัญญาณบางอย่าง

หลินยวนรู้ว่าตนควรทำอะไร จึงถอดเสื้อโค้ทหนังออก จากนั้นถอดรองเท้าบู้ท สุดท้ายถอดกางเกงออก เผยให้เห็นขาที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้าง

บนต้นขาข้างที่เดินกะเผลกมีรอยแผลที่จมลึกเป็นทางยาวรอยหนึ่ง ปากแผลถูกของที่มีลักษณะเป็นเจลเหนียวโปร่งใสชิ้นใหญ่ปิดเอาไว้

จางเลี่ยเฉินสำรวจดูบาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปยกเจลเหนียวโปร่งใสขึ้นมา จากนั้นจู่ๆ พลันกระชากเจลเหนียวโปร่งใสออกมาทั้งชิ้น

หลินยวนหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แก้มทั้งสองข้างหดเกร็งขึ้น มีเพียงเท่านี้ ไม่มีการตอบสนองอะไรมากกว่านี้

จางเลี่ยเฉินชำเลืองตาขึ้นมามองดูท่าทีของเขา “ไม่เสียทีที่เป็นนักเรียนที่ออกมาจากสถาบันอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเซียน เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนจริงๆ”

หลินยวนกล่าว “ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป”

จางเลี่ยเฉินกล่าว “อย่าเลย หากเป็นเมื่อก่อน แค่แผลเล็กๆ น้อยๆ แกก็คงจะตะโกนร้องแหกปากออกมาแน่” จู่ๆ สายตาจางเลี่ยเฉินพลันจ้องเขม็ง เขาเห็นเลือดไหลออกมาไม่หยุด รู้สึกว่าผิดปกติ จึงยื่นมือไปแตะเอาเลือดมาถูที่ปลายนิ้ว ก่อนจะยื่นมาตรงหน้าจมูกเพื่อดมดู สีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ห้ามเลือดไม่ได้ ไปโดนอะไรมา?”

หลินยวนกล่าว “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวาย รู้เพียงแต่ว่าระหว่างที่ชุลมุนกันถูกคนฟันใส่ทีหนึ่ง”

จางเลี่ยเฉินถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นโบกมือ ภายในแหวนสารพัดนึกมีวัตถุที่ดูเหมือนโล่ทรงกลมบินออกมาอันหนึ่ง ก่อนจะบินไปหมุนอยู่บนหัวของหลินยวน

จางเลี่ยเฉินร่ายพลังแล้วใช้นิ้วแตะลงไป บนจานทรงกลมมีลำแสงที่รูปทรงเหมือนพัดสาดกระจายออกมา แสงสีม่วงปกคลุมหลินยวนเอาไว้

ภายใต้แสงสีม่วงที่ส่องสว่าง ทั่วทั้งร่างหลินยวนคล้ายโปร่งใสขึ้นมา ทั้งเส้นเลือด เส้นปราณและกระดูกล้วนแต่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน จุดที่มีความพิเศษนั้นเริ่มตั้งแต่ตรงบาดแผลบนขา ลวดลายที่ดูเหมือนใยแมงมุมสีทองที่ไม่สมมาตรกระจายตัวออกไปรอบๆ ขยายตัวไปตามเส้นเลือดและเส้นปราณจนกระทั่งไปถึงร่างกายช่วงบนส่วนหนึ่ง

เห็นได้ชัดเจนว่าจุดกำเนิดแสงสีทองที่ดูไม่ปกตินี้มาจากตรงบาดแผล จากนั้นขยายตัวออกไป

“พิษผนึกมาร!” จางเลี่ยเฉินประหลาดใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง จ้องมองดวงตาของหลินยวน “พิษนี้อยู่ในการควบคุมของสภาเซียน นอกจากเอาไว้ใช้จัดการกับพวกมารแล้ว ปกติถูกห้ามนำออกมาใช้ อาการบาดเจ็บของแกเป็นฝีมือของคนของสภาเซียน แกไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้ถูกสภาเซียนลงมืออย่างโหดเหี้ยมแบบนี้?”

ภายในดวงตาของหลินยวนมีความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเพียงแค่มองดูก็รู้ได้ว่าตัวเองถูกพิษอะไรเข้า จึงขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “แบบนี้ก็แสดงว่าคนที่พลาดฟันผมจนบาดเจ็บระหว่างที่ชุลมุนกันคือคนของสภาเซียน?”

จางเลี่ยเฉินโบกมือเก็บของวิเศษที่ปล่อยแสงสีม่วงออกมา “แกกลับไปเมืองหลวงขอให้คนของหลิงซานช่วยออกหน้าขอยาแก้พิษดีกว่า พิษนี้มีแต่วิหคพิษที่ทางสภาเซียนเลี้ยงเอาไว้เท่านั้นถึงจะแก้ได้”

หลินยวนกล่าวว่า “ในเมื่อนี่เป็นพิษผนึกมาร และผมก็ถูกพิษนี้เข้า ลุงคิดว่าผมจะไปอธิบายกับทางสภาเซียนอย่างไร?”

……………………………………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน