ตอนที่ 14 บัตรพนักงาน
หลินยวนเหลียวหน้าไปมองมือของหลัวคังอันที่โอบอยู่บนไหล่ของตนเอง คล้ายไม่ค่อยชินสักเท่าไร จึงสะบัดไหล่เล็กน้อย
แต่หลัวคังอันกลับไม่รู้สึกตัว มือยังคงไม่ปล่อยออก ปากยังคงพูดพร่ำไม่หยุด คล้ายทั้งสองคนกลายเป็นพี่น้องกันในพริบตาอย่างไรอย่างนั้น ท่าทีดูใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างมาก
ในตอนที่กวาดมองดูฉากแสงที่อยู่ตรงหน้า สายตาของหลินยวนพลันหยุดชะงัก บนฉากแสงมีใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ฉินเต้าเปียนและหลิ่วจวินจวินปรากฏตัวแล้ว
ดูแล้วเหมือนงานเปิดตัวสถานีออกอากาศของเมืองปู๋เชวี่ยจะมีความสำคัญอย่างมาก ทั้งสองคนเองก็ไปร่วมแสดงความยินดี
ใบหน้าแล้วใบหน้าเล่าที่ปรากฏขึ้นมาบนฉากแสง บางใบหน้าหลินยวนก็รู้จักเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่รู้จักหลินยวนเท่านั้น
สมัยที่เขายังอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย เขาก็รู้แล้วว่าใบหน้าบางใบหน้าที่อยู่บนฉากแสงคือคนสำคัญของเมืองปู๋เชวี่ย เห็นได้ชัดว่าคนดังจำนวนไม่น้อยของเมืองปู๋เชวี่ยต่างมาร่วมงานนี้
กระทั่งหลัวคังอันหุบปากลง จู่ๆ หลินยวนจึงถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ได้ยินว่าพี่หลัวเคยสู้กับป้าหวัง แถมยังทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัสด้วย?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลัวคังอันก็ลุกขึ้น ดูดซิการ์ที่อยู่ในมือพลางทิ้งตัวนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม ท่าทางคล้ายรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก เขาถอนใจพลางกล่าวว่า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันเลย”
หลินยวนคล้ายรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “พี่หลัวทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ผมกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย อยากรู้จะแย่แล้ว เล่าให้ฟังหน่อยสิพี่หลัว หรือที่พี่ไม่ยอมเล่าเป็นเพราะไม่เชื่อใจผม?”
หลัวคังอันส่ายศีรษะพลางยิ้มเจื่อน “ในเมื่อนับแต่วันนี้จะต้องทำงานร่วมกับน้องหลิน อย่างนั้นฉันก็จะไม่ปิดบังน้องหลินแล้วกัน เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง นายแค่ฟังๆ ก็พอ อย่าเอาไปเล่าต่อข้างนอก ไม่อย่างนั้นมันจะสร้างปัญหาให้ฉันได้”
หลินยวนพยักหน้า “ได้ ตกลงตามนี้”
“พูดไปแล้วเรื่องมันยาว อย่างนั้นฉันจะเล่าให้ฟังสั้นๆ ก็แล้วกัน!” หลัวคังอันทำท่าเหมือนเศร้าใจที่ต้องนึกถึงเรื่องเก่า “ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนบุกโจมตีเมืองหลวง มหาวิญญาณชั่วร้ายพันกว่าตัวเปิดฉากโจมตีอย่างกะทันหัน ทำลายข่ายพลังป้องกัน ผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณของเมืองหลวงรีบเข้าไปสกัดเอาไว้ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น การต่อสู้ครั้งนั้นเรียกได้ว่าน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก เมืองหลวงที่ใหญ่โตขนาดนั้นกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปเกือบครึ่ง เหล่าพี่น้องและตัวฉันออกไปสู้โดยไม่คิดถึงความตาย ทันใดนั้นพลันเห็นท่านสองที่สู้อยู่กับป้าหวังกำลังเพลี่ยงพล้ำ….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็คล้ายกลับไปยังสนามรบที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด มือไม้วาดไปมา “ขณะนั้นป้าหวังกำลังจะแทงศีรษะเทพมหาวิญญาณของท่านสอง ท่านสองกำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติ สถานการณ์คับขันเป็นอย่างมาก ฉันเสี่ยงชีวิตฝ่าวงล้อมของกลุ่มสนับสนุนราชวงศ์ก่อนเข้าไปในทันที รีบถีบป้าหวังจนกระเด็นลอยออกไป ช่วยท่านสองฝ่าวงล้อมออกมาได้ หากไม่เป็นเพราะการถีบของฉัน….” จู่ๆ หลัวคังอันพลันโบกมือ ไม่อยากพูดอะไรอีก
หลินยวนร้องอ้อ “ความหมายของพี่หลัวคือเป็นเพราะพี่ถีบป้าหวังจนบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นแล้วท่านสองก็ไม่แน่ว่าจะสังหารป้าหวังได้?”
หลัวคังอันคีบซิก้าร์เอาไว้ในมือพลางชี้หลินยวนและตัวเอง “เรื่องบางเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาจนหมด เพราะถ้าพูดออกไปแล้วมันจะสร้างปัญหาให้ตัวเองได้ ดูฉันเป็นตัวอย่างสิ ฉีกหน้าท่านสองจนโดนลบชื่อออกจากบัญชีรายชื่อเซียน ผู้พิทักษ์เทพเองก็ไม่เอาฉัน นาย….”
“เออใช่ น้องหลิน ฉันยังไม่ได้ถามนายเลย ในเมื่อนายก็มาจากหลิงซาน อย่างนั้นตำแหน่งในสภาเซียนของนายคืออะไร?”
หลินยวนกล่าว “ยังเรียนอยู่ที่หลิงซาน ยังไม่จบ กำลังพักการเรียนออกมาหาประสบการณ์”
หลัวคังอันร้องอ้อ ก็ว่าแล้วเชียว ถ้าเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อเซียนก็จะได้อยู่ในสภาเซียนสบายๆ แล้วจะออกไปวิ่งทำงานกับบริษัทข้างนอกได้อย่างไร อีกทั้งสภาเซียนก็ไม่มีทางอนุญาตด้วย ที่แท้ก็ยังเรียนไม่จบ ออกมาหาประสบการณ์นี่เอง มิน่าล่ะ
หลินยวนกล่าวถามอีกว่า “ตระกูลฉินจ้างพี่หลัวมา พวกเขาจะให้พี่ทำอะไร?”
หลัวคังอันดูดซิการ์ปึ๊ดหนึ่ง พ่นควันออกมาพลางกล่าว “ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ฉันถนัด ควบคุมเทพมหาวิญญาณยังไงล่ะ”
หลินยวนขมวดคิ้ว “เป็นแค่หอการค้าธรรมดา จะควบคุมอาวุธวิเศษแบบนั้นไปทำไม?”
“หอการค้าจะแอบควบคุมของแบบนั้นโดยพลการได้อย่างไร พวกเขาจะต้องได้รับการอนุญาตจากทางเมืองปู๋เชวี่ยแล้วแน่นอน แล้วก็ลงชื่อกับทางสภาเซียนไปแล้ว…” หลัวคังอันพูดถึงตรงนี้ก็งุนงงขึ้นมา “นายเองก็ไม่รู้เหรอว่าพวกเขาให้ทำอะไร?”
หลินยวนกล่าว “เลยมาถามพี่หลัวไง”
หลัวคังอันพลันหัวเราะแหะๆ พลางกล่าว “ความจริงฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไร ตระกูลฉินทำลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมบอกอะไร สรุปแล้วก็คือให้ฉันทำความคุ้นเคยกับเทพมหาวิญญาณของทางหอการค้าอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมบอกก็ช่าง อย่างไรเสียก็เซ็นสัญญากับตระกูลฉินไปแล้ว ขอเพียงอยู่ในขอบเขตของสัญญา พวกเขาให้เงิน ฉันขายแรง มันก็ไม่มีปัญหาอะไร”
กล่าวจบก็ลุกขึ้น ดับซิการ์ที่อยู่ในมือ เหวี่ยงมืออย่างผ่าเผย “ได้มารู้จักน้องหลิน ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เย็นนี้หลังเลิกงานฉันเป็นเจ้ามือเอง พวกเราไปเที่ยวให้สนุกกัน”
หลินยวนเองก็ลุกขึ้นมาเช่นนี้ “ตอนนี้พวกเราควรจะทำอะไร?”
หลัวคังอันกล่าว “เล่น นอน ฝึกฝน นอนเปื่อย นายอยากทำอะไรก็ทำ ขอเพียงไม่ผิดกฎการทำงานก็พอ”
หลินยวนงุนงงไปทันที รีบกล่าวว่า “ผมรู้ว่าพี่หลัวดูแลผม แต่มันก็ไม่ใช่ดูแลกันแบบนี้ ถ้าปล่อยให้คนอื่นเห็นผมรับเงินเดือนแล้วไปเที่ยวเล่น แบบนั้นผมก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ อย่างน้อยผมก็ควรจะทำอะไรให้พอเป็นพิธีบ้าง คนอื่นจะได้ว่าอะไรไม่ได้”
เขาไม่อยากให้ฉินอี๋มีข้ออ้างอะไรมาสร้างปัญหาให้เขาได้ ในเมื่อมาตระกูลฉินแล้ว เขาก็คิดจะอาศัยที่นี่ปกปิดตัวตน ทำงานใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ที่นี่
หลัวคังอันหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา ยกมือขึ้นมาตบไหล่ของเขา “น้องชาย นายคิดมากไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าฉันกำลังดูแลนาย แต่เป็นเพราะว่าวันนี้พวกเราไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ หากไม่เป็นเพราะหอการค้ามีกฎว่าห้ามไปไหนมาไหนโดยพลการในเวลาทำงาน ตอนนี้ฉันคงจะพานายออกไปเที่ยวแล้ว”
หลินยวนไม่เข้าใจ “ไม่มีอะไรให้ทำ?”
หลัวคังอันกล่าว “เฮ้อ นายก็อย่าสงสัยนักเลย ฉันเองก็กลุ้มใจเหมือนกัน พวกเขาให้ฉันปรับตัวกับเทพมหาวิญญาณของหอการค้าแบบวันเว้นวัน ไม่รู้ทำอะไรกัน เหมือนจะทำการปรับอะไรบางอย่างบนตัวเทพมหาวิญญาณที่อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพทางด้านนั้น”
หลินยวนพบถึงประเด็นสำคัญในปัญหานี้อีกครั้ง “ค่ายผู้พิทักษ์เทพ?”
หลัวคังอันกล่าว “ใช่น่ะสิ นายไม่รู้เหรอ? ที่ทำงานของพวกเราสองคนไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นค่ายผู้พิทักษ์เทพของเทพมหาวิญญาณของเมืองปู๋เชวี่ย แล้วก็มีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่ค่อนข้างเหมาะสม เราจะนั่งปรับตัวกับเทพมหาวิญญาณที่หอการค้าก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จะทนรับไหวเหรอ? พรุ่งนี้อย่ามาทำงานสายล่ะ จะมีคนส่งพวกเราไปที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพที่อยู่นอกเมือง”
“อีกอย่าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร มีเวลาให้พักผ่อน ดีจะตายไม่ใช่เหรอ? เออใช่ ที่นี่เอาไว้ใช้รับแขก ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ห้องทำงานนายอยู่ที่ไหนเหรอ พาไปดูหน่อยสิ”
หลินยวนกล่าว “ไม่รู้สิ ผมเพิ่งมาทำงานวันแรก น่าจะต้องรอให้พวกเขาเตรียมให้”
หลัวคังอันกล่าว “ท่านประธานเป็นคนพาตัวนายมา พวกที่อยู่ข้างล่างไม่กล้าชักช้าแน่ น่าจะรอไม่นาน ปะ พวกเราไปรอฟังข่าวที่ห้องทำงานฉันแล้วกัน”
หลินยวนยังไม่เคยชินกับที่นี่ อีกทั้งไม่มีที่ให้ไป จึงตามหลัวคังอันไป…
………
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ฉินอี๋กำลังทำการประชุมกับคนกลุ่มหนึ่งอยู่
ด้านนอกประตูมีคนโผล่หน้าออกมา พยักหน้าให้กับไป๋หลิงหลง ไป๋หลิงหลงค่อยๆ ลุกออกไปทันที
หลังกลับมาถึงห้องประชุม ไป๋หลิงหลงก็เดินไปหาฉินอี๋ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน โน้มกายลงกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเธอ “กำลังเตรียมบัตรพนักงานให้หลินยวนค่ะ ข้างล่างถามว่าจะให้เขาอยู่ระดับไหนคะ?”
เมื่อเห็นท่าทีของเธอ คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องประชุมพากันหยุดพูดทันที
ฉินอี๋ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ไปบนกระดาษว่า ‘เหมือนหลัวคังอัน’
ไป๋หลิงหลงงุนงง หอการค้าแบ่งระดับพนักงานออกเป็นสวรรค์ ปฐพี มนุษย์สามระดับ ระดับที่ให้หลัวคังอันคือ ‘สวรรค์’ ไป๋หลิงหลงจึงรีบกล่าวเตือนว่า “ชั้นสวรรค์นี่ต้องจัดห้องทำงานส่วนตัวให้นะคะ”
ฉินอี๋เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อบอกเป็นนัย ไป๋หลิงหลงเข้าใจทันที เรื่องเหล่านี้ฉินอี๋จะเป็นคนคิดเอง ตอนนี้ยังไม่ต้องถามมาก
เธอจึงยื่นมือไปหยิบกระดาษที่อยู่ตรงหน้าฉินอี๋แผ่นนั้นไป ก่อนจะเอาไปเผาทิ้ง
หลังประชุมเสร็จเรียบร้อย ฉินอี๋ก็เดินออกจากห้องประชุมไปก่อน ไป๋หลิงหลงเดินตามอยู่ด้านหลัง
ซูเฉี่ยวหลินยืนรออยู่ด้านนอก ภายในมือถือบัตรพนักงานของหลินยวนที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อย เมื่อเห็นไป๋หลิงหลงก็รีบเดินตามเข้าไป “ผู้ช่วยไป๋คะ ไม่รู้ว่าคุณหลินไปไหนแล้วค่ะ พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาอย่างไร หากเขาไม่มีบัตรนี้ เวลากินข้าวตอนกลางวันน่าจะลำบากค่ะ”
ไป๋หลิงหลงตอบกลับไป “ตอนนี้เขาไม่มีที่ไป น่าจะอยู่กับหลัวคังอัน”
ตอนนี้ที่นี่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าหลินยวนจะมาทำงานอะไร ซูเฉี่ยวหลินไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ไป๋หลิงหลงรู้
“ค่ะ!” ซูเฉี่ยวหลินเข้าใจ รีบเดินออกไปทันที
แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ฉินอี๋จะหยุดฝีเท้าแล้วยื่นมือเข้ามา กล่าวว่า “เอามาให้ฉัน เดี๋ยวฉันแวะเอาไปให้เอง”
ภายในใจซูเฉี่ยวหลินรู้สึกหมดคำพูด เธอยังโสดอยู่ เมื่อครู่เพิ่งจะรู้ว่าหลินยวนได้บัตรพนักงานระดับ ‘สวรรค์’ จึงคิดที่จะฉวยโอกาสนี้ไปทำความสนิทกับหลินยวน ใครจะไปรู้ว่าท่านประธานจะยื่นมือเข้ามาได้
เธอย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งประธาน รีบเดินเข้าไป สองมือประคองบัตรพนักงานส่งให้
ฉินอี๋รับเอาบัตรพนักงานมาเสียบเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ก้าวเดินอาดๆ ออกไปต่อ
จากนั้นเธอก็คล้ายลืมเรื่องบัตรพนักงานไป หลังฉินอี๋วุ่นอยู่กับงานอีกครู่ใหญ่ เธอถึงจะกลับมายังห้องทำงานของตัวเอง นั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง เอนหลังพิงเก้าอี้พลางถอนใจออกมายาวๆ จากนั้นทำงานอยู่อีกพักหนึ่ง จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงกลางวันถึงจะได้พักเหนื่อย
รองเท้าส้นสูงที่อยู่ใต้เท้าถูกถอดออก เท้าทั้งสองเหยียบลงพื้น ได้ผ่อนคลายอยู่ใต้โต๊ะทำงาน
ไป๋หลิงหลงวางชาถ้วยหนึ่งลงตรงหน้าเธอ กล่าวถามว่า “ตอนเที่ยงอยากจะทานอะไรหน่อยไหมคะ?”
ฉินอี๋กล่าว “ไม่รู้สิ เธอจัดการเลยก็แล้วกัน เออใช่ เพิ่มกับข้าวมาอีกสองอย่าง”
“ได้ค่ะ” ไป๋หลิงหลงหมุนตัวออกไปจัดการ
หลังเธอเดินออกไปแล้ว ฉินอี๋จึงยื่นมือไปในกระเป๋าเสื้อของตน หยิบเอาบัตรพนักงานของหลินยวนออกมา มองดูรูปที่อยู่บนบัตร
รูปที่หลินยวนรวมผมเป็นหางม้า ไม่รู้ว่าถูกคนเอามาติดไว้บนบัตรตั้งแต่เมื่อไร
บัตรพนักงานถูกยัดกลับเข้าไปในกระเป๋า เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินมายังหน้าต่างด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่สองสามบาน สุดท้ายหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่ง
หลังไป๋หลิงหลงเดินเข้ามา ฉินอี๋ก็กวักมือเรียกเธอ ก่อนจะยื่นมือชี้ออกไป “ห้องทำงานของหลินยวนเอาเป็นห้องนั้นก็แล้วกัน”
ไป๋หลิงหลงกระเถิบเข้าไปดู พบว่าเป็นผลที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องนี้ผลหนึ่ง อยู่ต่ำกว่าห้องนี้เล็กน้อย หากอยู่ในผลนั้นจะมองเห็นภายในห้องทำงานห้องนี้ไม่ชัดเจน แต่ถ้ามองลงไปจากหน้าต่างของห้องนี้จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ภายในห้องนั้นได้มากกว่าครึ่ง
แหม นี่คิดจะจับตาดูหรือว่าจะทำอะไร? ไป๋หลิงหลงบ่นพึมพำในใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “ห้องนั้นมีคนแล้วค่ะ”
ฉินอี๋หันหน้ากลับมาจ้องมองเธอ
ไป๋หลิงหลงยิ้มเจื่อน “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะหาข้ออ้างเหมาะๆ ให้เขาออกไป” มือนึงก็ลูบคางตัวเองพลางครุ่นคิด การจะไล่คนออกไปโดยไม่ให้ใครสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับหลินยวนนี่มันยากอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
ฉินอี๋หมุนตัวเดินไปตรงหน้าชั้นหนังสือ ดันชั้นหนังสือให้เปิดออก ก่อนจะเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหลัง เดินไปตรงหน้ากระจกบานหนึ่ง หันซ้ายหันขวามองดูตัวเองในกระจก ยกมือขึ้นมาแกะผมที่มัดรวบเอาไว้ ส่องกระจกจัดผมเผ้าของตัวเอง….
……..
“ถึงเวลากินข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
หลัวคังอันที่นั่งขี้เกียจอยู่บนโซฟามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ปิดฉากแสงที่กำลังฉายภาพอยู่ กวักมือเรียกหลินยวนที่กำลังนั่งพิงอยู่บนโซฟาเหมือนกัน
หลินยวนกล่าว “ไม่ต้อง”
“ไม่ต้องได้ยังไง” หลัวคังอันดึงเขาขึ้นมา “ฉันรู้ว่านายไม่กินข้าวสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ฉันเป็นเจ้ามือ นายต้องเห็นแก่หน้าพี่น้อง อีกอย่าง นายเพิ่งจะมาทำงานวันแรกไม่ใช่เหรอไง นายไม่อยากจะไปดูโรงอาหารชั้น ‘สวรรค์’ ของตระกูลฉินเหรอ? ตกแต่งไม่เลวเลยนะ ก็ถือซะว่าไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่แล้วกัน”
ในเมื่อพูดแบบนี้ หลินยวนก็ได้แต่ต้องตามใจเขา อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อีกทั้งอยู่ในห้องคนอื่นก็ไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้อยู่ดี
แต่หลังจากที่ทั้งสองคนมาถึงโรงอาหาร พวกเขาก็เจอกับปัญหา หลินยวนที่ไม่มีบัตรพนักงานไม่สามารถเข้าไปได้
…………………………………………………………..