ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 33 ชอบทำตัวเด่น

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 33 ชอบทำตัวเด่น

ชายรูปร่างผอมสูงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงมีความลังเล เขากล่าวหยั่งเชิงว่า “อิทธิพลของตระกูลหนานชีคุณน่าจะทราบดี”

หนานชีเป็นตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของดินแดนเซียน เป็นหนึ่งในร้อยตระกูลใหญ่ของดินแดนเซียน ไม่ใช่ตระกูลที่ตระกูลฉินจะเทียบเคียงได้ แม้แต่ตระกูลพานกับตระกูลโจวก็ไม่อาจเทียบได้เช่นกัน

เมื่อครั้งที่ราชวงศ์ก่อนยังคงอยู่ ดินแดนต่างๆ เชื่อมโยงถึงกัน ราชวงศ์ก่อนยึดมั่นในกฏเกณฑ์ว่าสรรพชีวิตมีวิถีความเป็นไปตามธรรมชาติของตัวมัน ทวยเทพห้ามเข้าแทรกแซง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนต่างๆ ก็ต้องตกอยู่ในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง บอกไม่ได้แล้วว่าแท้ที่จริงทวยเทพคือทวยเทพหรือว่าเป็นมารที่เย็นชาไร้ความปราณีกันแน่ กระทั่งภาพอันน่าหดหู่และคำขอร้องอ้อนวอนก็ไม่อาจทำให้พวกเขาเห็นใจได้

ทั่วทั้งโลกเป็นเหมือนดั่งดินแดนป่าเถื่อน ส่วนดินแดนเซียนในเวลานั้นเรียกได้ว่าป่าเถื่อนเป็นอย่างมาก ไม่มีโลกมนุษย์อะไรทั้งสิ้น ภายใต้สถานการณ์ที่มีสัตว์ร้ายออกมาเดินเพ่นพ่านก่อความวุ่นวาย ในช่วงเวลานั้นคนธรรมดาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นใด เพียงแค่คิดดูก็คงจะรู้ได้

แล้วก็เป็นเพราะเห็นถึงความปรารถนาที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของคนจำนวนมาก เทพต่างๆ ของราชวงศ์นี้จึงร่วมมือกันโค่นล้มราชวงศ์ก่อนโดยอ้างว่าเพื่อความเสมอภาคของสรรพชีวิต

แต่กลุ่มอำนาจของราชวงศ์ก่อนนั้นมิใช่สิ่งที่จะโค่นล้มลงง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถกำจัดกลุ่มอำนาจของราชวงศ์ก่อนได้อย่างสิ้นซาก พวกเขาจึงได้ตีตราให้แก่ราชวงศ์ก่อนว่าเป็นพวก ‘มาร’ จากนั้นโยนเข้าไปในดินแดนต้องห้ามแล้วทำการปิดผนึก พร้อมเรียกที่แห่งนั้นว่าแดนมาร

หลังทำการโค่นล้มราชวงศ์ก่อนเสร็จเรียบร้อย เหล่าทวยเทพในราชวงศ์ปัจจุบันก็ได้ทำการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ออกจากกัน สร้างกฎเกณฑ์อย่างเช่นทุกวันนี้ขึ้นมา

แล้วก็เป็นเพราะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เช่นนี้ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ความเสมอภาคของสรรพชีวิต ผู้คนจำนวนมากถึงได้มีชีวิตสงบสุข ถึงได้มีโอกาสให้คนอย่างฉินอี๋ก้าวขึ้นมาถึงจุดๆ นี้ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรถูกกฎเกณฑ์ควบคุมเอาไว้ มิเช่นนั้นคนธรรมดาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียร

และตระกูลใหญ่ร้อยตระกูลของดินแดนเซียนก็คือตระกูลที่สนับสนุนสภาเซียนให้ทำการโค่นล้มราชวงศ์ก่อนในช่วงเวลานั้นอย่างเต็มที่ เมื่อออกแรงย่อมต้องมีความดีความชอบ เพื่อจะตอบแทนความชอบของพวกเขาแล้ว ทางสภาเซียนไม่เพียงแต่จะมอบผลประโยชน์ต่างๆ ให้พวกเขา แต่ยังแหกกฎมอบโอสถทองอมตะ หรือก็คือยาเซียนที่ทำให้ไม่แก่เฒ่าที่ผู้คนเรียกกันให้แก่ตระกูลใหญ่ร้อยตระกูลนี้ด้วย

และตระกูลหนานชีก็คือหนึ่งในตระกูลเหล่านั้น แม้นจะไม่ใช้ตระกูลที่ือยู่ในระดับสูงสุด ทว่ายังคงมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ลูกหลานภายในตระกูลจำนวนมากเป็นเซียนที่มีตำแหน่งและอำนาจ

ชายรูปร่างผอมสูงมีชื่อว่าเจียงอวี้ เดิมทีเป็นผู้บังคับบัญชาของค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองชิงชิว เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเซียนทอง มีภรรยาที่หน้าตางดงามอยู่คนหนึ่ง

เดิมทีชีวิตของเขาถือว่าสมบูรณ์มีความสุข แต่ชีวิตคนเราไม่แน่นอน โชคชะตาเล่นตลกกับเขา ภรรยาของเขาต้องประสบกับหายนะเพราะหน้าตาที่สะสวย ถูกคนข่มเหงย่ำยีจนตาย

คนร้ายก็คือลูกชายของผู้ดูแลคนหนึ่งภายในตระกูลหนานชี และเมืองชิงชิวก็อยู่ในเขตอิทธิพลของตระกูลหนานชีพอดี

พ่อของคนร้ายมาหาเขา บอกว่าลูกชายไม่รู้ว่าเป็นภรรยาของเจียงอวี้ ถึงได้กระทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้ หวังว่าจะชดเชยให้เขาเพื่อยุติเรื่องนี้

แล้วก็มีเพื่อนร่วมงานของเจียงอวี้ก็มาเกลี้ยกล่อมเขาเช่นเดียวกัน บอกว่าสู้กับตระกูลหนานชีไม่ไหว ให้เขายอมจบเรื่องนี้จะดีกว่า

แต่เจียงอวี้ก็ยังไปฟ้องร้องคนร้าย เพื่อที่จะปกป้องลูกชายของตัวเอง พ่อของคนร้ายจึงวิ่งเต้นไปทั่ว ทำให้คนร้ายไม่ถูกตัดสินโทษเสียที

ด้วยความโกรธแค้น เจียงอวี้จึงพาลูกน้องของตัวเองบุกเข้าไปในที่ส่วนบุคคลภายในเมืองชิงชิวของตระกูลหนานชี ก่อนจะลงมือสังหารคนร้ายผู้นั้นด้วยมือของเขาเอง

เมื่อเกิดเรื่องนี้ึ้ขึ้น รูปการณ์ก็เปลี่ยนไป เรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา ทำให้คนภายในกองทัพของทางสภาเซียนพุ่งความสนใจมา ต่อให้ตระกูลหนานชีจะทรงอิทธิพลเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรเจียงอวี้ มิเช่นนั้นจะทำให้ทางกองทัพโกรธเกรี้ยวได้

แต่เจียงอวี้เองก็ทำผิดอย่างร้ายแรง เมื่อพิจารณาถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ ทางสภาเซียนจึงไม่ได้ลงโทษเจียงอวี้อย่างรุนแรง ทว่าดินแดนเซียนยังคงมีกฎหมายอยู่ จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ เจียงอวี้จึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกลบชื่อของการบัญชีรายชื่อเซียน กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเร่ร่อนคนหนึ่ง

เมื่อไม่มีตำแหน่งคอยปกป้อง เจียงอวี้ก็รู้ว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายแล้ว พ่อของคนร้ายไม่เพียงแต่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่ตระกูลหนานชีมีหรือจะยอมปล่อยให้เขาตบหน้าโดยไม่ทำอะไรได้ เขาจึงกระเตงลูกสาวที่ยังอยู่ในวัยแบเบาะหนีออกมา

แต่ขณะที่เพิ่งจะหนีการไล่ล่าออกมาจากเมืองชิงชิว เขาก็ถูกคนช่วยเอาไว้

เป็นฉินอี๋ที่ลงมือช่วยเขา หลังฉินอี๋ได้ฟังเรื่องราวของเจียงอวี้ เธอก็ให้ความสนใจเจียงอวี้อย่างมาก หลังผลการตัดสินออกมา เธอก็รู้ว่าเจียงอวี้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว จึงได้แอบจ่ายเงินก้อนใหญ่ว่าจ้างคนกลุ่มหนึ่งให้ไปแอบคุ้มครองปกป้องเขา หลังเจียงอวี้พบเจออันตราย คนกลุ่มนั้นก็ลงมือช่วยเหลือตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ

กลุ่มคนที่ลงมือช่วยเหลือไม่รู้ว่าผู้ว่าจ้างคือใคร เจียงอวี้เองก็ไม่รู้ว่าใครมาช่วยตัวเองสองพ่อลูกเอาไว้ ภายหลังเมื่อได้เจอฉินอี๋ถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ตระกูลฉินที่มีอิทธิพลอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยยินดีคุ้มครองเขา นี่คือสิ่งที่เจียงอวี้กำลังต้องการ อันที่จริงเขาสามารถหลบหนีการไล่ฆ่าได้ แต่เขาไม่สะดวกพาลูกสาวที่ยังเล็กหนีหัวซุกหัวซุนไปกับตัวเองได้

เขามอบลูกสาวให้ทางตระกูลฉินเป็นคนจัดการดูแล หลังเติบโตขึ้นมาก็เข้ามาทำงานอยู่ในหอการค้าตระกูลฉิน ใช้ชีวิตที่สงบสุข

ส่วนตัวเจียงอวี้นั้น ในเวลาที่ฉินอี๋ต้องการ เขาก็จะคอยช่วยฉินอี๋จัดการเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้อย่างเงียบๆ

แต่เรื่องในตอนนี้แตกต่างออกไป ทันทีที่เข้าร่วมการประมูล ตัวตนของเขาก็จะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน ตระกูลหนานชีที่มีความแค้นกับเขาไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจจะพัวพันไปถึงตระกูลฉินด้วย

ฉินอี๋กล่าว “ฉันย่อมต้องรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเรื่องนี้ฉันสามารถจัดการได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วง แต่คุณน่าจะทราบดีว่าเมื่อตัวตนคุณเปิดเผยออกไปแล้ว หากฉันไม่สามารถจัดการได้ มันก็จะเป็นการหาปัญหามาให้ตัวตระกูลฉินเอง ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไร”

เจียงอวี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลง ผมเข้าใจแล้ว ถ้าหลัวคังอันไม่ไหว ผมจะขึ้นไปเอง ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ ยังมีอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”

ฉินอี๋กล่าว “ระวังตัวด้วย”

เจียงอวี้ลุกขึ้น ยกถาดอาหารเดินออกไป

เขาไม่สะดวกที่จะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก มิเช่นนั้นจะทำให้คนนอกผิดสังเกตได้

ไป๋หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ ลอบยิ้มเจื่อน ตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าฉินอี๋ช่วยเจียงอวี้มาเพราะเหตุใด กระทั่งภายหลังฉินอี๋ลงมือช่วยเจออู๋จื่อมา เธอถึงพอจะคาดเดาได้ว่าฉินอี๋น่าจะกำลังวางแผนเพื่อเข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับเทพมหาวิญญาณ

เธอเดาว่าฉินอี๋น่าจะถูกใจในประวัติการทำงานขณะเป็นผู้บังคับบัญชาค่ายผู้พิทักษ์เทพของเจียงอวี้

อาวุธเทพอย่างเทพมหาวิญญาณนี้ ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็สามารถควบคุมได้ ทว่าการควบคุมก็มีการแบ่งระดับชั้นเช่นเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเทพมหาวิญญาณ และภายในร่างเทพมหาวิญญาณที่สร้างออกมาก็มีการติดตั้งข่ายพลังเอาไว้จำนวนมาก มีข่ายพลังนับร้อยชุดทำงานเชื่อมโยงกัน มีเพียงคนที่เข้าใจการทำงานของข่ายพลังเหล่านั้นอย่างเป็นระบบอย่างแท้จริงถึงจะสามารถรับมือเวลาที่เจออุปสรรคเล็กน้อยบางอย่างได้ เวลาที่เจอปัญหาถึงจะไม่ทำให้เกิดผบกระทบอย่างรุนแรง

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก มิใช่ว่าใครบอกว่าตนเองเข้าใจหลักการทำงานอย่างเป็นระบบแล้วจะเข้าใจได้จริงๆ แต่สำหรับคนที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาค่ายผู้พิทักษ์เทพอย่างเจียงอวี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

แต่ว่าเมื่อก่อนเจียงอวี้ไม่เคยควบคุมเทพมหาวิญญาณรุ่นที่หกมาก่อน เทพมหาวิญญาณที่เจียงอวี้ควบคุมเมื่อก่อนนี้ืคือรุ่นที่ห้า ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยและปรับสภาพ

และนี่จึงเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่หลัวคังอันต้องทำงานวันเว้นวัน นั่นเพราะฉินอี๋ให้คนสองกลุ่มสลับกันทำการปรับสภาพ

ไป๋หลิงหลงเองก็เพิ่งจะทราบเช่นเดียวกันว่าเจียงอวี้ต่างหากที่อาจจะเป็นตัวละครหลักในการขึ้นไปทำการประมูล ก่อนหน้านี้เธอนึกว่าเจียงอวี้มีหน้าที่เพียงแค่ทำการทดสอบเทพมหาวิญญาณกับเจออู๋จื่อเท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าฉินอี๋จะเก็บงำความลับเอาไว้มิดชิดขนาดนี้ ถึงขนาดยอมให้เจียงอวี้เปิดเผยตัวตน แล้วก็ไม่รู้ว่าฉินอี๋คำนวณเรื่องผลที่ตามมาจากการเผชิญหน้ากับตระกูลหนานชีเอาไว้อย่างไร

……

ช่วงเวลากลางดึก จูเก่อม่านที่เดินไปเดินมาอยู่ใต้ไฟถนนด้านนอกบ้านหลัวคังอันแต่งตัวน้อยชิ้น สวมกระโปรงสั้น เรียกได้ว่าแต่งมาตามความชอบของหลัวคังอัน

ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งเย็น แขนที่เปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว

จูเก่อม่านเดินกลับมาตรงหน้ากระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ เปิดกระเป๋าใบหนึ่งออก หยิบเอาเสื้อคลุมยาวตัวหนึ่งมาคลุมไปบนร่างกายตัวเอง นั่งลงบนบันไดทางเข้า รอให้หลัวคังอันเลิกงานกลับมา

เมื่อดูจากกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ของเธอแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เตรียมจะทำให้หลัวคังอันประหลาดใจ

แต่หลัวคังอันกลับไม่ได้ตรงกลับบ้านหลังเลิกงาน รถที่ส่งเขากลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าไนท์คลับแห่งหนึ่ง เป็นความต้องการของตัวเขาเอง

หลินยวนที่ถูกเขาดึงลงมาจากรถมองดูโพรงถ้ำตรงหน้าที่มีเสียงดนตรีดังกระหึ่มออกมา ภายในเนินเขาถูกขุดให้กลายเป็นไนท์คลับแห่งหนึ่ง

หลินยวนเหลียวหน้ากลับมาถาม “พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน พี่ไม่กลับไปพักผ่อนเหรอ?”

หลัวคังอันที่ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมาถึงที่นี่หัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าว “พรุ่งนี้มีเวลาเยอะแยะ จะไปพักผ่อนในห้องทำงานยังไงก็ได้”

หลินยวนกล่าว “พี่ไม่ฝึกฝนเหรอ?”

หลัวคงอันกล่าว “นายนี่มันน่าเบื่อจริงๆ ชีวิตคนเรายาวนาน ถ้าเอาแต่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรมันจะไปมีความหมายอะไร? นายอย่าทำให้หมดสนุกเลย ตอนนี้มีโอกาสก็สนุกให้เต็มที่ ไปกันเถอะ!”

หลังจากถูกหลัวคังอันลากเข้าไป เขาก็เข้ไปยืนอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรตีที่ดังกระหึ่มทันที แสงไฟสีสันต่างๆ สาดส่องไปมาจนทำให้ที่นี่ดูเหมือนดินแดนแห่งความฝัน ชายหญิงที่ยืนบิดไปบิดมาอยู่ภายในดูเหมือนฝูงมารที่กำลังเริงระบำ

หลินยวนรู้ว่าเมื่อก่อนดินแดนเซียนไม่มีของที่ส่งเสียงดังวุ่นวายเหล่านี้ หลายๆ อย่างล้วนแต่เพิ่งปรากฎขึ้นมาในช่วงร้อยปีนี้ ล้วนเป็นการเลียนแบบการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ เขารู้สึกไม่เคยชินกับสถานที่แบบนี้

หลัวคังอันที่เพิ่งจะมาถึงเมืองปู๋เชวี่ยได้ไม่นานกลับรู้จักที่ทางต่างๆ เป็นอย่างดี หลินยวนที่เดินอยู่ในร้านเหลียวหน้ากลับไปด้านหลังเล็กน้อย เหลือบมองเห็นคนสองสามคน

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าคนที่ตามหลัวคังอันคือใคร แต่ตอนนี้เขาพอจะแน่ใจแล้วว่าคนเหล่านั้นน่าจะเป็นคนที่หอการค้าตระกูลฉินส่งมาคุ้มครองหลัวคังอัน

หลัวคังอันขอที่นั่ง สั่งเหล้าและเรียกหญิงสาวมานั่งเป็นเพื่อนอีกสองคน จากนั้นกระซิบกระซาบข้างหูหลินยวนพลางชี้ไปยังหญิงสาวที่เริงระบำอยู่บนเวทีด้วยท่าทางยั่วเย้า “เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม หน้าตาไม่เลวเลย ฉันชอบ เสียดายที่มีแฟนอยู่แล้ว ใช้เงินไปตั้งเยอะแล้วแต่ก็ยังซื้อไม่ได้ ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะเอาตัวเธอมาไม่ได้ นายนั่งอยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันขึ้นไปบนเวทีหน่อย”

หลัวคังอันกรอกเหล้าเข้าปากไปสองสามคำเพื่อปลุกความฮึกเหิม ก่อนจะถือขวดเหล้าวิ่งขึ้นไปบนเวที นัวเนียกับหญิงสาวที่อยู่บนเวทีคนนั้น

ด้วยนิสัยที่ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจของหลัวคังอันแบบนี้ หลินยวนอยู่เป็นเพื่อนเขาต่อไปไม่ไหว จึงยกมือจับข้อมือของหญิงสาวที่ยืนแก้วเหล้ามาคะยั้นคะยอให้เขาดื่ม ดึงเธอเข้ามาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหูสองสามประโยค อีกประเดี๋ยวให้เธอบอกหลัวคังอันว่าเขากลับไปก่อน

กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป หายตัวไปในกลุ่มคนอย่างเงียบๆ

ภายในห้องมืดห้องหนึ่งที่อยู่ด้านบน เจ้าหยวนเฉินเดินมายังริมหน้าต่าง คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาชี้ผ่านหน้าต่างมายังหลัวคังอันที่เต้นไปมาอยู่บนเวที “มาแล้วครับ เขานั่นแหละครับ”

เจ้าหยวนเฉินกล่าว “มาทุกวัน?”

คนที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงอืม “เหมือนจะใช่ครับ”

ผ่านไปไม่นาน เฉาลู่ผิงก็ผลักประตูเดินเข้ามา โบกมือบอกให้คนที่อยู่ข้างกายเจ้าหยวนเฉินออกไป

ประตูปิดลง เสียงดนตรีเงียบลง เฉาลู่ผิงเองก็ชี้ไปที่หลัวคังอัน “เขานั่นแหละ ชื่อหลัวคังอัน ผู้หญิงที่เต้นอยู่กับเขาชื่ออู่เวย เป็นนักเต้นที่ที่นี่จ้างเอาไว้ ผมไปถามมาแล้ว แซ่หลัวคนนั้นเหมือนจะชอบเธอ หลายวันมานี้เอาแต่พัวพันอยู่กับเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้มีแฟนอยู่แล้ว แฟนเธอก็ทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกัน แซ่หลัวจ่ายเงินไปไม่น้อยแต่ก็ยังเอาตัวเธอมาไม่ได้”

เจ้าหยวนเฉินกล่าว “ฉันไม่สนใจผู้หญิงอะไรนั่น ฉันสนใจแต่เขา สืบประวัติเขามาแล้วใช่ไหม?”

เฉาลู่ผิงกล่าว “เดิมทีเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง ไม่รู้ทำไมถึงถูกฉินอี๋ดึงตัวมาได้ เจ้าซยง ทางเมืองหลวงผมเข้าไปทำอะไรไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง รายละเอียดเป็นอย่างไรเกรงว่าคุณคงต้องไปหาวิธีสืบเอาเองแล้ว”

“ผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง?” เจ้าหยวนเฉินประหลาดใจเล็กน้อย

เฉาลู่ผิงกล่าวอีกว่า “เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินอยู่ที่ไหนผมก็ไปสืบมาแล้ว อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพที่อยู่ด้านนอกเมือง แต่อยู่ตรงไหนผมเองก็ไม่สามารถเข้าไปสืบมาได้ ข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้”

เจ้าหยวนเฉินนิ่งเงียบไปครู่ “เรื่องผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงเดี๋ยวฉันหาวิธีเอาเอง แต่ว่าเรื่องที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ไม่อาจปล่อยไปได้ ผู้หญิงคนนี้….” เขายกมือเคาะไปบนกระจก ก่อนจะชี้ไปยังผู้หญิงคนนี้ “ยังมีผู้หญิงที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ด้วยเหรอ? ในเมื่อเป็นแบบนี้นายก็ไปหาวิธีซื้อตัวเธอมาซะ ฉันต้องการรู้ว่าหลัวคังอันคนนี้มันชอบอะไร เพื่อจะได้เตรียมตัวเอาไว้ เป็นถึงเฉาเหยี่ย[1]แห่งเมืองปู๋เชวี่ย เรื่องแค่นี้คงทำได้ใช่ไหม?”

เฉาลู่ผิงยิ้มพลางกล่าว “เรื่องนี้ไม่ยาก ผมจัดการเอง”

……………………………………………………

[1]เฉาเหยี่ย หมายถึง ท่านเฉา

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน