ตอนที่ 41 เคยทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัส
ที่เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนพบ หากแต่ดึงเอาหลัวคังอันมาเป็นเป้าแทน นั่นเพราะเขาไม่อยากให้คนรู้ว่าตัวเองระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ฉินอี๋พลันเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ด้วยเหตุใด ภายในใจมีคำว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’ ลอยขึ้นมา รังเกียจที่หลัวคังอันเข้ามาวุ่นวาย
แต่ภายนอกเธอกลับไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติอะไรออกไป หากแต่หมุนตัวไปยกหูโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา “เข้ามาหน่อย”
โทรศัพท์ถูกวางกลับไปบนโต๊ะได้เพียงไม่นาน ไป๋หลิงหลงก็รีบเดินเข้ามา กล่าวทักทายว่า “ท่านประธาน”
ปลายนิ้วของฉินอี๋เคาะลงไปบนโต๊ะเพื่อบอกให้ไป๋หลิงหลงดูกล้องวงจรปิดเหล่านั้น “ในห้องพักผ่อนของเขามีติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วยเหรอ?”
สายตาของไป๋หลิงหลงหยุดอยู่บนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ เข้าใจแล้วว่าหลินยวนมาหาฉินอี๋ทำไม จึงรีบมองดูฉินอี๋ที่มีสีหน้าเรียบเฉยในทันที หลังเข้าใจในความหมายที่แฝงอยู่ในสายตาของฉินอี๋ เธอจึงหันไปมองหลินยวนอีกครั้ง กล่าวถามอย่างแปลกใจว่า “เจอในห้องพักผ่อนของนายเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “หลัวคังอันเป็นคนเจอ ผมอยากรู้ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
ฉินอี๋เองก็กล่าวถามไป๋หลิงหลงอย่างสงสัย “นี่มันอะไรกัน?”
ภายในใจไป๋หลิงหลงไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี เรื่องอะไรเธอยังไม่รู้อีกเหรอ?
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เธอต้องคิดหาวิธีช่วยอีกฝ่ายแก้ตัวในเรื่องนี้ จึงรีบกล่าวว่า “ฉันนึกออกแล้ว หลินยวน นายอาจจะเข้าใจผิดนิดหน่อย ห้องทำงานของนายห้องนั้นเพิ่งจะถูกปรับปรุงเพื่อให้นายใช้ เดิมทีในนั้นเก็บของที่สำคัญของทางหอการค้าเอาไว้ ก็เลยมีการติดกล้องเอาไว้ คนที่เข้ามาปรับปรุงห้องอาจจะลืมถอดออกไป เดี๋ยวฉันจะไปตักเตือนพวกเขาเอง”
หลินยวนไม่สนใจคำอธิบายของไป๋หลิงหลง ขณะเดียวกันคำอธิบายของอีกฝ่ายก็ฟังไม่ขึ้นด้วย เขาคอยระแวดระวังสถานที่ที่เขาเข้าไปเสมอ ตั้งแต่แรกเริ่มที่เข้าไปอยู่ในห้องพักผ่อนเขาก็ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามีกล้องติดอยู่หรือไม่ เห็นๆ อยู่ว่ากล้องเหล่านี้เพิ่งจะถูกนำมาติดในภายหลัง
สิ่งที่เขาสนใจก็คือปฏิกิริยาระหว่างไป๋หลิงหลงกับฉินอี๋ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาวิ่งมาแจ้งฉินอี๋ที่นี่
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ภายในใจเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่านี่เป็นความคิดของฉินอี๋
เขาคิดไม่ถึงว่าฉินอี๋จะทำเรื่องแบบนี้ได้ หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขามีความรู้สึกผิดต่อฉินอี๋อยู่บ้าง อย่างนั้นในเวลานี้ ความรู้สึกที่มีต่อฉินอี๋ก็มีความอคติเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หวังว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
ฉินอี๋กล่าว “เดี๋ยวหลิงหลงจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง ฉันยังมีประชุม นายยังมีอะไรอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว” หลินยวนกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป
เขาไม่มีธุระอะไรแล้วจริงๆ ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของฉินอี๋ สำหรับเขาแล้ว เรื่องที่กังวลใจมากที่สุดได้หายไปแล้ว สามารถวางใจได้แล้ว เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายต่อไปได้
เมื่อเห็นหลินยวนออกไปแล้ว ไป๋หลิงหลงก็ถอนใจออกมา “เจ้าหลัวคังอันนี่ว่างจริงๆ เลย ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว นี่เที่ยววิ่งไปค้นห้องพักผ่อนของหลินยวนอีก”
ถูกต่อว่าเข้าแล้ว เกือบจะทำเอาฝั่งนี้แก้ตัวไม่ออก หากถูกรู้ว่าฝั่งนี้ไปติดกล้องเพื่อแอบดูผู้ชาย นั่นคงจะน่าอายอย่างมาก
ฉินอี๋กล่าว “หากล้องที่พวกเธอติดเอาไว้เจอได้ง่ายๆ ดูเหมือนหลัวคังอันคนนี้จะมีประสบการณ์จากการเป็นผู้พิทักษ์เทพอยู่ในเมืองหลวงมาไม่น้อยเลย”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง จะให้ฉันไปเตือนเขาไหม?”
ฉินอี๋กล่าว “ไม่สำคัญแล้ว”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “อย่างนั้นยังจะจับตาดูต่อไปหรือเปล่า?”
ฉินอี๋เหลือบมองมา “เธอคิดว่าทำแบบนั้นได้อีกเหรอ? ถ้าถูกจับได้อีกเราจะอธิบายยังไง”
……
“เคยโจมตีป้าหวังจนบาดเจ็บสาหัส?”
ด้านในหน้าต่างที่อยู่ชั้นบน เจ้าหยวนเฉินเหลียวหน้ากลับมามองดูเฉาลู่ผิงที่ยืนรายงานสถานการณ์อยู่ด้านข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เฉาลู่ผิงพยักหน้า “อู่เวยเป็นคนไปสืบมา หลัวคังอันคนนั้นเป็นคนพูดออกมาเอง จะจริงหรือเปล่า เดี๋ยวรอฟังข่าวที่ตระกูลโจวไปสืบมาจากทางเมืองหลวงก็รู้เอง แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง ใครมันจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ โดยเฉพาะพัวพันไปถึงป้าหวัง นั่นมันพวกเดนตายเลยนะ ใครมันจะกล้าเอาเรื่องแบบนี้มาสร้างปัญหาให้ตัวเองได้”
อย่างน้อยสำหรับเขาแล้ว ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนนั้นมิใช่กลุ่มคนที่คนแบบเขาจะกล้าไปหาเรื่องได้ ถึงแม้สภาเซียนจะมีอิทธิพลอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเขามีอำนาจอยู่ในมือ ทั้งยังสนใจเรื่องกฎระเบียบอีก แต่พวกผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนไม่มานั่งคุยเรื่องกฎระเบียบกับเขา อีกทั้งยังแอบซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างๆ เมื่อถึงตอนนั้นตนเองตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสิบสามมารสวรรค์ของผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนด้วย
เจ้าหยวนเฉินสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา “มิน่านังแพศนาฉินอี๋ถึงเดินทางไปถึงเมืองหลวงเพื่อดึงตัวคนคนนี้มา ที่แท้ก็ไปเชิญยอดฝีมือมานี่เอง”
เฉาลู่ผิงกล่าว “คนที่สามารถประมือกับป้าหวังได้ เกรงว่าคงไม่ธรรมดา หากคิดอยากลงมือจัดการเขา เกรงว่าคงยากจะสำเร็จได้ อย่างน้อยคนของผมก็ไม่มีใครที่มีความสามารถขนาดนั้น”
เขารู้สึกโชคดีเล็กน้อย พบว่าตัวเองดูแคลนหลัวคังอันผู้นี้เกินไป คิดไม่ถึงว่าไอหมอนั่นจะเป็นพวกแสร้งทำเป็นอ่อนแอไร้น้ำยา โชคดีที่ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นการรนหาที่ตายก็เป็นได้
เจ้าหยวนเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ เขาจำเป็นต้องรายงานกลับไปที่ตระกูล รอให้ตระกูลทำการตัดสินใจ
จากนั้นเขาก้มลงมองดูรูปสองสามรูปบนมือถือ นั่นล้วนแต่เป็นภาพที่อู่เวยแอบถ่ายมาตอนที่หลัวคังอันไม่ทันระวัง ภาพภายในห้องของหลัวคังอันถูกส่งมาให้ทางนี้ทั้งหมด เพราะว่าทางนี้ต้องการข้อมูลบางอย่างเพื่อทำการวิเคราะห์
“ผู้หญิงคนนี้เป็นเทพธิดาเหรอ?” เจ้าหยวนเฉินขยายรูปรูปหนึ่งขึ้นมาดู มีภาพนิตยสารของผู้หญิงคนหนึ่งแขวนอยู่บนกำแพง
เฉาลู่ผิงกล่าว “ใช่ ชื่อเสวี่ยหลาน เป็นเทพธิดาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง มีชื่อเสียงเพราะนุ่งน้อยห่มน้อย จากที่อู่เวยว่ามา เหมือนหลัวคังอันจะชอบเทพธิดาคนนี้มาก”
เจ้าหยวนเฉินประหลาดใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเขาจะเอารูปผู้หญิงเต้นกินรำกินแบบนี้มาแขวนในห้องตัวเอง ดูเหมือนจะชอบจริงๆ ด้วย”
ในเวลานี้เอง สายตาของทั้งสองคนมองไปยังชั้นล่าง มีคนเดินเข้ามา เป็นพานหลิงอวิ๋นพาผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
ด้วยการดึงดันเกลี้ยกล่อมของพานหลิงอวิ๋น สุดท้ายพานชิ่งที่เป็นพ่อของเธอก็รับปากให้เธออยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยต่อ
เจ้าหยวนเฉินยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวเดินออกมาจากริมหน้าต่าง เดินมาตรงทางขึ้นบันไดเพื่อรอรับแขก
เฉาลู่ผิงรู้งาน เดินหลบออกไปอย่างเงียบๆ
พานหลิงอวิ๋นที่เดินขึ้นมาด้านบนยังคงแต่งตัวเป็นผู้ชาย บนใบหน้าฟื้นตัวกลับเป็นปกติแล้ว แต่พอเจ้าหยวนเฉินนึกถึงสภาพที่เธอถูกตบจนใบหน้าบูดเบี้ยว เขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา
รับแขก เชิญนั่ง ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง
สีหน้าของพานหลิงอวิ๋นดูเย็นชาขึ้นไม่น้อย ทันทีที่นั่งลงก็พูดเปิดประเด็นตรงๆ ว่า “ตระกูลโจวแจ้งนายหรือยัง?”
เจ้าหยวนเฉินพยักหน้า “อืม ได้รับแจ้งแล้ว ให้ฉันกับเธอร่วมมือกัน เธอเตรียมจะจัดการยังไง?”
จากท่าทีที่ไม่รู้จักแยกแยะของตระกูลฉินทำให้ตระกูลโจวและตระกูลพานต่างโมโหเป็นอย่างมาก แต่จนปัญญาที่ลั่วเทียนเหอได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหนุนหลังตระกูลฉิน เมื่ออยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย ตระกูลพานและตระกูลโจวจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตระกูลฉินดี สุดท้ายจึงตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อสกัดตระกูลฉินเอาไว้
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “ตระกูลฉินไม่คิดที่จะทุ่มทุกอย่างที่มีไว้กับธุรกิจเดียว ตอนที่หอการค้าตระกูลฉินอยู่ในมือของฉินเต้าเปียน เขาก็เคยคิดจะขยายธุรกิจแล้ว แต่ก็ถูกตระกูลฉันกับตระกูลนายสกัดให้เขาทำได้แค่ธุรกิจขุดหินวิญญาณเท่านั้น ตอนนี้ตระกูลฉินมีท่าทีเช่นนี้ พวกเรายังมีทางเลือกอีกเหรอ? ต่อให้พวกเราสองตระกูลจะไม่ชนะการประมูล แต่เราก็จะปล่อยให้ตระกูลฉินประมูลสำเร็จไม่ได้ ทันทีที่ปล่อยให้ตระกูลฉินได้ขยายอำนาจแล้วล่ะก็ ฝั่งนั้นก็จะมาเบียดบังเอาผลประโยชน์ภายในแคว้นเซียนคุนกว่างของพวกเราไป เราต้องป้องกันเรื่องเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ต้องตัดไฟแต่ต้นลม”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “เรื่องเหตุผลฉันรู้อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือตระกูลฉินทำการค้าอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยมานานหลายปี รากฐานหยั่งลึก อีกทั้งยังมีลั่วเทียนเหอคอยหนุนหลังอีก ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะไม่รู้ว่าทางลั่วเทียนเหอนั้นคอยจับตาดูพวกเราอยู่ อยู่ที่นี่เกรงว่าจะลงมือไม่ค่อยสะดวก ถ้าเกิดอะไรขึ้นในถิ่นของตระกูลฉิน ทั้งเธอและฉันรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นใครในตระกูลมาจัดการก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิด หากจะลงมือจริงๆ เกรงว่าคงได้แต่ต้องลงมือในสถานที่ประมูลเท่านั้นแล้ว”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “ฝากความหวังไว้ในช่วงเวลาสุดท้าย ถ้าต้องรอจนถึงตอนนั้นค่อยลงมือล่ะก็ นายกับฉันจะมาที่นี่ทำไม?”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “อย่างนั้นเธอมีแผนอะไร?”
พานหลิงอวิ๋นหยิบเอารูปถ่ายรูปหนึ่งออกมา เลื่อนไปตรงหน้าเขา
เจ้าหยวนเฉินหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูด้วยมือข้างเดียว พบว่าเป็นรูปของหลัวคังอัน จากนั้นได้ยินพานหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “คนคนนี้ชื่อหลัวคังอัน ได้ยินว่าเคยเป็นผู้พิทักษ์เทพอยู่ในเมืองหลวง ฉันได้ให้คนที่เมืองหลวงสืบประวัติของเขามาแล้ว หลัวคังอันคนนี้น่าจะเป็นตัวแทนของตระกูลฉินเข้าร่วมประมูล เราลองลงมือจากคนคนนี้ก็ได้”
“เขา? ลงมือกับเขาเนี่ยนะ?” เจ้าหยวนเฉินแค่นหัวเราะขึ้นมา “เจ้านี่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ แล้วยังกล้าวิ่งเล่นไปทั่วแบบนี้ อาศัยเพียงความมั่นใจตรงนี้ เธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? อยากจะจัดการเขาเหรอ เกรงว่าเธอคงจะต้องไปประมาณตัวเองแล้วล่ะว่ามีปัญญาทำแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่มีความมั่นใจก็อย่าทำอะไรวุ่นวายจะดีกว่า”
พานหลิงอวิ๋นฟังออกถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ อีกฝ่ายเหมือนจะรู้เรื่องบางเรื่องที่ตนเองไม่รู้
ก็จริง เพราะว่าเธอเกิดเรื่องนิดหน่อย ก็เลยทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย ทำให้พลาดอะไรบางอย่างไป เธอจึงรีบกล่าวทันทีว่า “การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ตรงไปตรงมากันเถอะ ข้อมูลของทางตระกูลฉินนายรู้มากน้อยแค่ไหน พวกเรามาแบ่งปันข้อมูลแล้ววางแผนร่วมกันดีกว่า”
เจ้าหยวนเฉินได้รับแจ้งจากทางตระกูลมาว่าให้เขากับผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกัน เขาจึงไม่ได้ปิดบังเธอ หยิบเอารูปถ่ายสองสามใบโยนไปให้เธอ ก่อนบอกเล่าเรื่องราวให้เธอฟังเล็กน้อย
พานหลิงอวิ๋นที่ได้ยินคำบอกเล่ารู้สึกตกใจไม่น้อย “หลัวคังอันผู้นี้ทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัส?”
สำหรับนักธุรกิจอย่างพวกเขาแล้ว สิบสามมารสวรรค์นั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้นำทางวิถีมาร เป็นราชาในหมู่มาร จากเหตุการณ์ที่สิบสามมารสวรรค์นำทัพเหล่ามารบุกโจมตีเมืองหลวงได้ทำให้เห็นถึงความร้ายกาจของพวกเขา ยิ่งเป็นราชามารอย่างป้าหวังด้วยแล้ว พวกเขาไม่กล้าเข้าไปวอแวด้วยเด็ดขาด แล้วก็ไม่มีปัญญาจะเข้าไปวอแวได้ การหลบหลีกให้ไกลถึงจะเป็นวิธีที่ชาญฉลาดที่สุด แต่หลัวคังอันผู้นี้กลับกล้าประมือกับป้าหวัง อีกทั้งยังทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัส นี่ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจอย่างมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าฉินอี๋จะเชิญคนแบบนี้มาทำงานด้วยได้
เจ้าหยวนเฉินพยักหน้า วิเคราะห์ออกมาคล้ายคลึงกับเฉาลู่ผิง “คนปกติที่ไหนจะไปกล้าคุยโวเรื่องแบบนี้ นี่น่าจะเป็นเรื่องจริง”
พานหลิงอวิ๋นลอบกัดฟัน “ฉินอี๋เอาเทพมหาวิญญาณไปซ่อนไว้ในค่ายผู้พิทักษ์เทพ แล้วยังเชิญคนแบบนี้มาอีก ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะเตรียมตัวมาพร้อมจริงๆ คงคิดจะเอาชนะการประมูลให้ได้! ยิ่งเป็นแบบนี้ เราก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้เธอทำสำเร็จได้”
สำหรับฉินอี๋ เรียกได้ว่าเธอแค้นจนอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ
เจ้าหยวนเฉินเข้าใจความรู้สึกของเธอ เกรงว่าการติดคุกครั้งนี้คงจะกลายเป็นตราบาปของผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว หากไม่ลบล้างตราบาปนี้ออกไป เธอก็ยากจะดับเพลิงแค้นนี้ลงไปได้
แต่เข้าใจมันก็ส่วนเข้าใจ เขาเองก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน “ถ้าอยากลงมือ มันก็มีความเป็นไปได้แค่สามกรณีเท่านั้น นั่นคือถ้าไม่ลงมือกับเทพมหาวิญญาณที่ตระกูลฉินจะใช้ในการประมูล ก็ต้องลงมือกับคนของตระกูลฉินที่จะเข้าร่วมการประมูล หรือไม่ก็ลงมือกับตระกูลฉินโดยตรง ขุดรากถอนโคนของปัญหาไปเลย”
“จนปัญญาที่ก่อนหน้านี้ตระกูลฉินได้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่มีใครคิดถึงว่าตระกูลฉินจะสอดมือเข้ามาร่วมการประมูลครั้งนี้ในช่วงเวลาสุดท้าย นังฉินอี๋คนนั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก กว่าพวกเราจะตั้งตัวได้มันก็ช้าไปแล้ว ข้างกายสองพ่อลูกตระกูลฉินก็มีผู้คุ้มกันตามติดตลอด การจะลงมือกับพวกเขาไม่น่าจะเป็นไปได้ นอกเสียจากจะใช้คนจำนวนมากรุมโจมตีเข้าไป แต่พวกเรากล้าทำอย่างนั้นในเมืองปู๋เชวี่ยเหรอ? ท่าทีของลั่วเทียนเหอเป็นอย่างไรก็เห็นๆ อยู่”
“จะให้ไปลงมือกับเทพมหาวิญญาณก็ค่อนข้างยาก พวกเราเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะไปทำอะไรกับเทพมหาวิญญาณเลย แล้วตอนนี้ยังมีคนแบบหลัวคังอันโผล่มาอีก ไม่เพียงแต่จะยากลงมือ แต่ต่อให้ลงมือได้สำเร็จ ฉินอี๋ก็มีโอกาสที่จะหาคนอื่นมาแทนที่ได้ หลัวคังอันคนนี้กล้ามาเที่ยวในไนต์คลับโดยไม่หวาดกลัวเช่นนี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนว่านี่จะเป็นกับดักที่ฉินอี๋วางเอาไว้ แล้วก็กำลังรอคอยให้พวกเราลงไปติดกับเลย? ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เกรงว่ามันคงไม่ได้จบลงที่คุกเฉยๆ แล้ว”
…………………………………………………………………….