ตอนที่ 52 เกิดเรื่องแล้ว
เมื่อต้องเผชิญกับการสอบถาม ใบหน้าของฉินเต้าเปียนก็ดูบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย “ไอสวะนั่นมันบอกเรื่องนี้ออกมาด้วยเหรอ?”
เหิงเทาเห็นปฏิกิริยาของเขา ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา คล้ายพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนผู้นี้ได้ เพราะกระทั่งตัวเขาก็ยังคิดว่าฉินอี๋นั้นเป็นเหมือนดอกไม้ที่ไปปักอยู่บนกองขี้วัว น่าเสียดายเป็นอย่างมาก “ฉินซยง เรื่องราวมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ตอบมาตามตรงมีอะไรไม่ถูกหรือครับ พูดมาเถอะครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉินเต้าเปียนไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคนนอก กล่าวเสียงขรึมว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคดีหรือเปล่า?”
เหิงเทาขมวดคิ้ว “ฉินซยง เหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของคดีนี้ มีคนเที่ยวฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมภายในเมือง ตายไปมากกว่าร้อยชีวิต อีกทั้งยังฆ่าผู้พิทักษ์เมืองไปอีกสองคน ไม่ว่าจะเป็นข้อสงสัยอะไรที่เกี่ยวพัน….คุณคิดว่าการที่ไม่ยอมบอกเรื่องที่ทำไมหลินยวนถึงเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินให้ชัดเจนมันถูกต้องแล้วหรือ? คุณเองก็ไม่ใช่เพิ่งจะรู้จักท่านเจ้าเมืองแค่วันสองวัน ในเวลานี้มาปิดบังเรื่องนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
ฉินเต้าเปียนกลืนน้ำลายเล็กน้อย พลันถอนใจพลางกล่าวว่า “เรื่องอัปยศในครอบครัว จะให้ผมพูดออกไปได้ยังไง?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเค้นถามของเหิงเทา อีกทั้งด้วยความจำเป็นที่จะต้องปกป้องตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ฉินเต้าเปียนจึงเล่าเรื่องราวอันน่าอับอายในอดีตออกมา
จากคำบอกเล่าของเขาทำให้เหิงเทาได้รู้ว่าฉินอี๋นั้นถูกหลินยวนหลอก ที่แท้มิได้เป็นความรักใคร่เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรก เจ้าหลินยวนคนนั้นคิดจะเกาะเธอกินตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้ใช้ลูกไม้หลอกฉินอี๋มาเป็นของตัวเอง
แม่งเอ้ย ไอ้กะล่อนหลินยวนนั่นไม่ยอมบอกเรื่องนี้!
แต่มันก็พอเข้าใจได้ เหิงเทาไม่อยากเข้าใจก็คงไม่ได้ ต่อให้หลินยวนจะใช้ไม่ได้แค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็เป็นคนของหลิงซาน อาศัยเพียงเหตุผลนี้ในการลงโทษหลินยวนเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมเช่นกัน หากทำเช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถไปอธิบายกับทางหลิงซานได้
เมื่อเผชิญกับเรื่องนี้ กระทั่งเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ที่แท้ในอดีตประธานฉินที่เฉลียวฉลาดมากความสามารถก็เคยโง่เขลาเช่นนี้มาก่อน
เมื่อฟังจากคำพูดของฉินเต้าเปียนแล้ว นั่นมันไม่ได้เรียกว่าถูกย่ำยีเหรอ นั่นมันถูกย่ำยีชัดๆ!
ประธานฉินที่งดงามสูงส่งจนให้ความรู้สึกไม่กล้าอาจเอื้อมกลับตกเป็นของคนอื่นไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนงานชั้นต่ำคนหนึ่งด้วย!
เพียงแค่คิดก็พอจะจินตนาการออกได้ หน้าตางดงาม ทั้งเฉลียวฉลาดมากความสามารถ ในมือกุมทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเอาไว้ อีกทั้งยังมีชาติตระกูลที่ดี หลายปีมานี้น่าจะมีผู้ชายที่ชื่นชอบฉินอี๋อยู่ไม่น้อย ทว่าทำได้เพียงมองแต่ไม่อาจครอบครอง หากความจริงนี้ถูกเปิดเผยออกไปจริงๆ เกรงว่าคงมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ต้องใจสลาย คิดว่าคงมีคนไม่น้อยที่อยากจะฆ่าหลินยวนซะ
แต่แน่นอน ตอนนี้หลินยวนเป็นนักเรียนของหลิงซานแล้ว คนที่อยากจะฆ่าเขาก็ต้องดูด้วยว่าตัวเองมีความสามารถนั้นหรือเปล่า
สรุปแล้วนี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างมาก กระทั่งเหิงเทาก็ยังรู้สึกขายหน้าแทนฉินเต้าเปียน แอบเข้าใจความรู้สึกของเขา
“ตอนนั้นฉันแอบตั้งศาลเตี้ยไปหักขาเขา ไล่เขาออกไปจากเมือง แต่เรื่องนี้ใครมันจะไปทนได้ล่ะ? ฉันไม่ฆ่าเขาก็นับว่าฉันเมตตาเขามากแล้ว!”
ขณะที่ฉินเต้าเปียนแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา ภายในใจกลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เขาปิดบังเรื่องที่ส่งคนไปฆ่าหลินยวนเอาไว้ เพราะเรื่องนี้หากพูดไปก็จะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวได้ เขารู้ว่าอะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้
ถ้าทุกคนซื่อตรงขนาดนั้นกันหมด ดินแดนเซียนไหนเลยจะยังมีความวุ่นวายอีก ทั่วทั้งดินแดนคงจะสงบสุขไปนานแล้ว
เหิงเทากระแอมเล็กน้อย เอ่ยปลอบเขาไปประโยคหนึ่ีงเพื่อให้เขาสบายใจ “ตั้งศาลเตี้ยย่อมไม่ถูก แตนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกคุณ ขอเพียงไม่ก่อให้เกิดเรื่องราวร้ายแรงขึ้นมาพวกผมก็ไม่สนใจ สิ่งที่ผมอยากรู้ก็คือที่ฉินอี๋เรียกเขาเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินนี่มันหมายความว่ายังไง?”
“คุณคิดว่าผมอยากให้ทำอย่างนั้นเหรอ? ผมเป็นห่วงว่าพวกเขาจะยังมีเยื่อใยต่อกันอยู่ กลัวว่านังหนูจะถูกหลอกอีก แล้วผมจะไปยอมให้ไอสวะนั่นมันทำแบบนั้นได้ยังไง…” ฉินเต้าเปียนบอกเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้สึกจนปัญญา จึงให้หลิ่วจวินจวินไปตักเตือนจนได้รับคำสัญญาจากหลินยวนออกมา
เหิงเทาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามอีกว่า “อย่างนั้นทำไมถึงต้องให้เขาไปเป็นผู้ช่วยของหลัวคังอัน ทำไมต้องให้เขาไปยุ่งกับเรื่องเทพมหาวิญญาณ?”
ฉินเต้าเปียนผายมือ “ผมเองก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน แต่นังหนูไม่ยอมบอก…”
หลังทราบเรื่องราวพอประมาณแล้วเหิงเทาก็เดินออกไป เขาจะไปสอบถามอีกคนหนึ่งเพื่อตรวจสอบความจริง แต่ว่าก่อนเขาจะเดินออกไป ฉินเต้าเปียนได้สั่งกำชับเขาประโยคหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นการร้องขอ บอกว่าไม่อยากให้ฉินอี๋รู้ว่าหลิ่วจวินจวินไปกล่าวเตือนหลินยวนมา
เหิงเทาไม่ได้รับปาก แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ หลังออกไปก็ไปหาฉินอี๋เพื่อทำการยืนยัน
ผลปรากฏว่าฉินอี๋ก็ไม่ยอมตอบมาตามตรง จงใจปิดบังเรื่องราวเมื่อในอดีต เธอกล่าวว่า “หลินยวนเรียนเอกเทพมหาวิญญาณตอนอยู่ที่หลิงซาน ฉันให้เขาทำงานนี้มีปัญหาอะไรหรือคะ?”
เหิงเทาขอคำให้การของฉินเต้าเปียนมาจากลูกน้องทันที ก่อนจะดึงเอาคำให้การออกมาหน้าหนึ่ง เดิมคิดอยากจะตอกหน้าฉินอี๋กลับไป แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็ล้มเลิกความคิดไป เปลี่ยนเป็นโยนคำให้การของหลินยวนไปตรงหน้าเธอ “ฉินอี๋ เธอทำแบบนี้มันไม่ดีนะ จะเกิดเรื่องเอาได้”
หลังได้อ่านคำให้การของหลินยวน ฉินอี๋ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างที่ยากจะเห็นได้ในเวลาปกติ ภายในใจลอบด่าหลินยวนว่าสารเลว!
เหิงเทาจับตาดูปฏิกิริยาของเธอ มุมปากมีรอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับยังคงเย็นชา “เธออธิบายออกมาให้ชัดเจนดีกว่า ไม่อย่างนั้นเธอรับผิดชอบไม่ไหวแน่!”
หลังฉินอี๋สงบสติอารมณ์ได้ เธอก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล กล้าทำกล้ารับ “เรื่องที่ตัดสินใจทำไปแล้วฉันไม่มีวันเสียใจ ในเมื่อฉันทำไปแล้วก็จะรับผิดชอบจนถึงที่สุด ในเมื่อเรื่องราวในอดีตเป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังไม่สิ้นสุด อย่างนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้มันค้างคาได้ ฉันต้องมีคำอธิบายให้กับตัวเอง ต้องมีคำตอบให้กับตัวเอง…”
หลังฟังจบ เหิงเทาก็ทึมทื่อไปเล็กน้อย นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกัน? แบบนั้นยังไม่เรียกว่าจบกันอีกเหรอ? ต้องเผชิญหน้ากับหลินยวนแล้วพูดออกมาว่าพวกเราจบกันถึงจะเรียกว่าจบกันเหรอ?
เรื่องราวมันเข้าใจกันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? เหิงเทารู้สึกจนปัญญากับเธอ นึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นโรคจิตหรือเปล่า
แต่เมื่อมาคิดดูอีกที จากวิธีการบริหารหอการค้าตระกูลฉินของผู้หญิงคนนี้่ในช่วงหลายปีมานี้ สิ่งที่เธอทำอยู่นี้หากไม่เอามาใช้ในเรื่องของความรักแต่นำมาใช้ในด้านการบริหารธุรกิจ มันก็เหมือนจะสอดคล้องกับวิธีการบริหารจัดการในเวลาปกติของผู้หญิงคนนี้ทีเดียว อย่างเรื่องที่เธอจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณให้ได้ เธอก็ทำเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
แถมยังแค่เพิ่งเริ่มต้น? เหิงเทาลอบถอนใจ ไม่รู้ว่าถ้าฉินเต้าเปียนรู้เรื่องนี้แล้วจะโกรธจนกระอักเลือดหรือเปล่า
ท้ายที่สุดพ่อเป็นอย่างไรลูกสาวก็เป็นอย่างนั้น สุุดท้ายฉินอี๋เองก็ขอร้องเขาว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อของเธอกับหลินยวน
เหิงเทาวิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งคืน หลังเดินออกมาจากห้องสอบสวน มองเห็นขอบฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมาเล็กน้อย เขาก็ถอนใจออกมา คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับคดี แต่กลับสืบได้เรื่องไร้สาระออกมาแทน
แถมยังแค่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น? เหิงเทานึกสงสัยจริงๆ ว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันจะทำให้ผู้ชายกี่คนต้องเศร้าเสียใจ
เขาส่ายศีรษะ ไม่คิดอะไรมากอีก เวลานี้เขาต้องมอบคำอธิบายเบื้องต้นให้แก่เจ้าเมืองแล้ว จึงนำเอาผลการสอบสวนเบื้องต้นไปหาลั่วเทียนเหอ
หลังรายงานผลการสอบสวนในเบื้องต้นไปแล้ว เพื่อที่จะคลายความโกรธเกรี้ยวภายในใจลั่วเทียนเหอลง เขาจึงเล่าเรื่องไร้สาระที่เพิ่งสืบมาได้ให้ลั่วเทียนเหอฟังด้วย
ลั่วเทียนเหอรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก หลังงุนงงไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวออกมาว่า “ดึงหลินยวนเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินเพื่อเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?”
เหิงเทากล่าว “หลินยวนเรียนอยู่ที่หลิงซานหลายร้อยปีก็ยังไม่จบ อีกทั้งวิชาหลักยังเป็นเทพมหาวิญญาณด้วย เธอจึงอยากจะช่วยหลินยวน คิดจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในมือช่วยเสริมในส่วนที่หลินยวนขาดหายไป เพื่อที่เขาจะได้เรียนจบ ไม่ถูกหลิงซานไล่ออก เธอถึงได้ดึงดันที่จะให้หลินยวนมาทำงานในส่วนของเทพมหาวิญญาณครับ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “นังหนูนี่คิดจะทำอะไร? การจะทำเพื่อเขาแบบนี้ ตัวผู้ชายเองก็ต้องมีความสามารถ แล้วก็ต้องรับมือไหวด้วย จะมาทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่กลัวเขาตายเหรอ?”
เหิงเทากล่าว “ใช่ครับ น่ากลัวมาก การช่วยของเธอแบบนี้ คนปกติทั่วไปไม่มีใครแบกรับไหวแน่ คิดว่าตัวเธอเองก็คงกลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัวจนหนีไป ถึงได้ไม่ยอมบอกหลินยวน ผม…ผมไม่รู้จะพูดกับเธอยังไงดีแล้วครับ แล้วก็ไม่เข้าใจเธอด้วย ความคิดของผู้หญิงแบบนี้ ยากจะเข้าใจได้จริงๆ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันได้ด้วยเหรอ?”
แต่ฉินอี๋ใช้คำพูดสวยหรูบอกว่าเป็นการฝึกฝน บอกว่าการจะเป็นผู้ชายที่ดีได้จะต้องมีสิ่งที่ทำให้เขาเติบโต บอกว่าสิ่งที่หลินยวนขาดแคลนมาโดยตลอดก็คือแรงกดดันแบบนี้ อย่างเช่นพอเผชิญกับความยากลำบากเขาก็สอบเขาหลิงซานได้ เธอบอกว่าการให้เขาเผชิญกับปัญหาบ้างไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
สีหน้าของลั่วเทียนเหอกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันเองก็เห็นนังหนูนี่มาตั้งแต่เล็ก ก่อนหน้านี้ยังแอบนึกว่าเธอไม่สนใจผู้ชาย สงสัยว่าเธอจะมีอะไรกับไป๋หลิงหลงคนนั้น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ได้ ด้วยนิสัยของนังหนูนี่…ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าสาเหตุที่นังหนูนี่เข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่หลินยวนเป็นนักเรียนของหลิงซานเลย?”
เหิงเทากล่าว “นั่นน่ะสิครับ ท่านพูดแบบนี้ ผมเองก็เหมือนจะรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน”
ลั่วเทียนเหอหัวเราะหึหึออกมา “หากเธอเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณเพื่อผู้ชายคนเดียวจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นเมืองปู๋เชวี่ยของฉันก็เท่ากับถูกหลอกเข้าแล้ว นังหนูนี่บ้าระห่ำเกินไป หลังเธอเข้ามาดูแลหอการค้าตระกูลฉิน ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจะควบคุมเธอไม่ค่อยได้แล้วนะ?”
ลั่วเทียนเหอชะงักไปเล็กน้อย ทันใดนั้นค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมาถาม “หรือว่าหอการค้าตระกูลฉินควรจะเปลี่ยนคนดูแล?”
เหิงเทาตกใจ “ท่านคิดจะเขี่ยตระกูลฉินทิ้งหรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “เกิดปัญหาขึ้นแล้ว หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันกลัวว่าเมืองปู๋เชวี่ยจะวุ่นวายเอาได้! เรื่องของพานหลิงอวิ๋นนั่น คิดไม่ถึงว่านังหนูนี่จะกล้าใช้ประโยชน์จากฉัน เธอรู้ว่าฉันกำลังอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดู ก็เลยฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้มาช่วยให้เธอข่มขวัญคู่แข่งได้ นังหนูนี่ใจกล้าไม่เบา!”
ครั้งที่แล้วหลังจับตัวพานหลิงอวิ๋นมาสอบสวน ทางฝั่งนี้ถึงได้รู้ว่าพานหลิงอวิ๋นได้ถูกฉินอี๋หลอกเข้าแล้ว แต่ลั่วเทียนเหอก็ไม่ได้ปล่อยไปง่ายๆ สุดท้ายก็ยังลงโทษพานหลิงอวิ๋น
แต่เหิงเทากลับไม่มีความเห็นอะไรต่อเรื่องนั้น หอการค้าตระกูลฉินให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานเจ้าเมืองด้วยความเคารพนอบน้อมมาเป็นเวลานานหลายปี พวกเขาก็ต้องได้อะไรกลับไปบ้าง หากมีแต่ให้ไม่มีรับ ใครมันจะมาฟังคุณล่ะ? สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้คือเรื่องที่ลั่วเทียนเหอเพิ่งจะเอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่นี้ จึงลองหยั่งเชิงด้วยความตกใจและสงสัยว่า “เปลี่ยนคนมาดูแลหรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอแล้ว “นี่เป็นเรื่องที่นายต้องไปจัดการ ไม่อย่างนั้นจะถามนายทำไม?”
เหิงเทายิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองครับ หากท่านจะเปลี่ยนคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผมดูแลเรื่องจิปาถะยิบย่อยในด้านต่างๆ ของเมืองปู๋เชวี่ยมา ผมทราบถึงสถานการณ์ภายในเมืองดีครับ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะหาคนที่มีความสามารถเหมาะสมมาดูแลหอการค้าที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ได้หรือไม่ เอาแค่พนักงานในหอการค้าตระกูลฉินก็มีนับหลายหมื่นคนแล้ว นั่นมันเป็นชามข้าวของคนจำนวนเท่าไรล่ะครับนั่น? ท่านเจ้าเมือง สถานการณ์ของหอการค้าตระกูลฉินในเวลานี้ท่านเองก็พอทราบอยู่ เวลานี้หอการค้าตระกูลฉินฝืนเข้าไปร่วมวงธุรกิจเทพมหาวิญญาณ ทรัพย์สินภายในตระกูลแทบจะเอาออกมาใช้จนหมดแล้ว ใครรับช่วงต่อไปก็ล้วนแต่ยากจะจัดการได้”
“แล้วก็ยังมีธุรกิจหลักของหอการค้าตระกูลฉิน เหมืองหินวิญญาณใกล้จะถูกขุดจนหมดแล้ว ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถขนาดไหนมาบริหารก็ยากจะประคองเอาไว้ได้ หากหอการค้าตระกูลฉินจะล้มลงด้วยมือของตระกูลฉินเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างมากก็เป็นแค่ปัญหาเรื่องการบริหารดูแลของตระกูลฉินเท่านั้น แต่ถ้าหอการค้าล้มลงหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเปลี่ยนคนเข้าไปบริหาร อย่างนั้นมันจะส่งผลเสียต่อท่านเจ้าเมืองอย่างมากนะครับ”
“แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หากเราฝืนทำเช่นนี้ล่ะก็ อย่างนั้นมันจะเป็นการทำผิดกฎหรือเปล่าครับ? ทันทีที่เรื่องนี้หลุดออกไป มันจะทำให้คนบางกลุ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวได้ เกรงว่าตระกูลใหญ่ๆ ที่มีรากฐานหยั่งลึกทั่วทั้งดินแดนเซียนคงจะพากันออกมาต่อว่าท่านอย่างแน่นอน ท่านเจ้าเมืองครับ โปรดไตร่ตรองด้วยครับ!”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
หลังสังเกตดูท่าทีและสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เหิงเทาก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ท่านเจ้าเมือง ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เกรงว่าต้องให้ท่านออกหน้าจัดการเองครับ”
ลั่วเทียนเหอได้สติกลับมาถามว่า “เรื่องอะไร?”
เหิงเทากล่าวออกมาประโยคหนึ่ง แฝงเอาไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งว่า “เมื่อวานพานหลิงอวิ๋นคนนั้นออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยแล้วครับ”
…………………………………………………………