ตอนที่ 53 จูลี่ออกหน้า
ลั่วเทียนเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “นายสงสัยว่านี่จะเป็นฝีมือหอการค้าตระกูลพานอย่างนั้นหรือ?”
เหิงเทากล่าวว่า “ใครๆ ต่างก็มองออกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการประมูลเทพมหาวิญญาณ พานหลิงอวิ๋นออกไปจากเมืองวันไหนไม่ออก ดันมาออกไปจากเมืองช่วงก่อนจะเกิดเหตุในคืนเดียวกัน หรือว่ามันไม่น่าสงสัยล่ะครับ? ผมไม่เพียงแต่จะสงสัยตระกูลพาน แต่ยังสงสัยตระกูลโจวด้วย เพราะการตายของเจ้าหยวนเฉินมันค่อนข้างแปลก คนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกทำลายศพจนไม่เหลือซาก แต่กลับมีเพียงเจ้าหยวนเฉินที่ถูกแขวนคอเอาไว้ ทำไมถึงต้องเหลือศพของเจ้าหยวนเฉินเอาไว้ด้วย?”
“ท่านเจ้าเมืองครับ หรือว่านี่จะเป็นแผนทำร้ายตัวเองที่ตระกูลพานกับตระกูลโจวร่วมมือกันจัดฉากขึ้นมาครับ? เป็นไปได้ไหมว่าสองตระกูลนี้จะจงใจใช้แผนนี้มาใส่ร้ายตระกูลฉิน? ดูแล้วมีความเป็นไปได้ทีเดียวนะครับ เพื่อการประมูลเทพมหาวิญญาณแล้ว เวลานี้พวกเขาไม่เลือกวิธีแล้ว เจ้าหยวนเฉินตายไปคนหนึ่ง ตระกูลโจวจะสนใจหรือครับ?”
“มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะใช้วิธีนี้ในการยืมมือท่านเจ้าเมืองมาจัดการตระกูลฉิน หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ แผนการของพวกเขาก็คล้ายจะเริ่มเห็นผลแล้วนะครับ”
“ส่วนทางตระกูลฉิน ท่านเจ้าเมืองครับ ตระกูลฉินเหมือนจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนี้เลย จะมากจะน้อยฉินเต้าเปียนก็รู้จักท่านเจ้าเมือง การไล่สังหารคนอย่างเหิมเกริมในเมืองปู๋เชวี่ยเช่นนี้มันก็มิได้ต่างอะไรกับการจงใจยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองเลย ความเป็นไปได้เช่นนี้เหมือนจะมีไม่มากนัก ทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองด้วยล่ะครับ?”
ลั่วเทียนเหอยกมือลูบเคราของตัวเอง สายตาวูบไหวไปมาไม่นิ่ง แค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “พวกเศษสวะที่น่ารังเกียจ!”
ไม่อาจปฏิเสธได้เลย คำพูดของเหิงเทานั้นมีเหตุผลอย่างมากทีเดียว และเป็นเพราะเหตุนี้ ภายในใจเขาจึงมีเพลิงโทสะคุกรุ่นขึ้นมา มีความเป็นไปได้ที่ตระกูลพานกับตระกูลโจวกำลังหลอกใช้เขาอยู่จริงๆ
สาเหตุที่เขารู้สึกโกรธเป็นเพราะว่าไม่มีหลักฐาน ถูกคนมาปั่นหัวถึงตรงหน้าแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรตระกูลพานกับตระกูลโจวได้ เขาไม่สามารถไปจับคนโดยไม่มีสาเหตุได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องไปจับคนถึงเมืองของคนอื่นด้วย กฎหมายของดินแดนเซียนไม่ได้มีเอาไว้ให้ดูเฉยๆ มิเช่นนั้นทั่วทั้งดินแดนเซียนคงวุ่นวายเป็นอย่างมาก…
……
ฟ้าสว่างแล้ว เมืองปู๋เชวี่ยที่ตกอยู่ในความวุ่นวายก็สงบลงแล้วเช่นกัน คนที่ตื่นแต่เช้าพากันจับกลุ่มพูดคุยกัน ต่างสอบถามกันและกันว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ณ สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน เหล่าพนักงานที่มาทำงานก็พากันกระซิบกระซาบพูดคุยกัน มีพนักงานบางส่วนรู้เรื่องที่พนักงานระดับสูงของหอการค้าถูกจับตัวไป กระทั่งท่านประธานตอนนี้ก็ยังไม่มาทำงาน
รายละเอียดเป็นอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ทราบอะไรมากนัก มีหลายคนที่กังวลว่าหอการค้าตระกูลฉินจะล่มสลาย แล้วจะส่งผลมาถึงอนาคตของตัวเอง
จูลี่ที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของปู๋เชวี่ยวีดีโอรีบพาคนเดินทางมาที่หอการค้าตระกูลฉินเพื่อหารือกับทางฉินอี๋ บอกว่าทำการนัดหมายเอาไว้แล้ว แต่ว่าฉินอี๋ไม่อยู่….
…….
ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ หญิงสาวจำนวนหนึ่งกำลังเก็บน้ำค้าง ลั่วเทียนเหอที่อยู่ในศาลาชื่นชมทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็มองดูทิวทัศน์ของเมืองปู๋เชวี่ย
มีคนเข้ามารายงาน “ท่านเจ้าเมืองครับ คุณจูลี่จากปู๋เชวี่ยวีดีโอมาครับ บอกว่าต้องการขอพบท่านเจ้าเมืองครับ”
ลั่วเทียนเหอร้องอ้อ “พาเธอเข้ามา”
“ครับ!” คนที่มารายงานรับคำแล้วเดินออกไป
ไม่นานนักก็มีคนพาจูลี่เดินเข้ามา ลั่วเทียนเหอเหลือบมองดูกางเกงยีนส์ที่เธอมักจะสวมใส่อยู่เป็นประจำ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนเยาว์และความมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
ความจริงคนจำนวนไม่น้อยต่างรู้ว่าเขาเป็นคนหัวโบราณ ปกติเวลาคนมาพบเขามักจะแต่งตัวแบบสมัยโบราณ ด้วยกลัวว่าจะขัดหูขัดตาเขา มีเพียงจูลี่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเธอไม่ทราบเรื่องนี้หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้กันแน่ ทุกครั้งที่มาพบเขาจึงมักจะแต่งตัวเช่นนี้
“ท่านเจ้าเมืองคะ” จูลี่เดินเข้ามาทำความเคารพ
ลั่วเทียนเหอฉีกยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรที่เหิงเทาจัดการไม่ได้จนต้องมาหาฉันล่ะเนี่ย”
จูลี่เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “วันนี้ฉันมีนัดกับทางท่านประธานฉินค่ะ เมื่อครู่ฉันไปที่หอการค้าตระกูลฉินมา แต่ท่านประธานฉินไม่อยู่…ฉันได้ยินมาว่ามีปัญหาเล็กน้อย ได้ยินว่าท่านประธานฉินถูกจับตัวมา ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร ทุกคนต่างกลัวที่จะพูดออกมา…” ทั้งสายตา ทั้งคำพูด เห็นได้ชัดว่ากำลังถามเขาว่า ‘ท่านประธานฉินถูกจับมาจริงๆ หรือคะ?’
ลั่วเทียนเหอไม่ได้ตอบอะไร หากแต่ถามกลับไปว่า “นัดคุยอะไรกับฉินอี๋เหรอ?”
จูลี่กล่าว “คุยเรื่องความร่วมมือเต็มรูปแบบระหว่างปู๋เชวี่ยวีดีโอกับทางหอการค้าตระกูลฉินค่ะ”
ลั่วเทียนเหอไม่เข้าใจ “ความร่วมมือเต็มรูปแบบอะไร? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
จูลี่กล่าว “ตอนนี้ยังเป็นเพียงความคิดของฉันเพียงคนเดียวค่ะ ฉันถึงได้ต้องการไปคุยกับทางท่านประธานฉินค่ะ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ร่วมมือเต็มรูปแบบกันยังไง?”
จูลี่กล่าว “ปู๋เชวี่ยวีดีโอเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมา ถึงแม้จะได้รับการสนับสนุนจากทางท่านเจ้าเมือง แล้วก็ยังมีการสนับสนุนจากบริษัทในเครือของหอการค้าตระกูลฉินเหล่านั้น แต่มันก็ช่วยแก้ไขปัญหาในด้านเงินทุนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญที่แท้จริงของสถานีออกอากาศนั้นอยู่ที่เนื้อหาของวีดีโอ ตอนนี้เนื้อหาที่ทำการออกอากาศของทางปู๋เชวี่ยวีดีโอมีแค่เพียงรายการที่เอาไว้โฆษณาให้แก่ลูกค้าเท่านั้น นี่ไม่ใช่แผนการในระยะยาว มันไม่สามารถดึงดูดผู้ชมให้มาดูช่องของเรามากขึ้น หากคนดูดูจนเบื่อแล้ว ต่อไปยังจะมีใครมาสนใจปู๋เชวี่ยวีดีโออีกล่ะคะ?”
“ท่านเจ้าเมืองให้ฉันดูแลปู๋เชวี่ยวีดีโอ จะให้ฉันหวังแต่จะให้ท่านเจ้าเมืองออกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากลูกค้าเหล่านั้นก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ นานวันเข้า นี่มันจะไปต่างอะไรกับการรีดไถล่ะคะ?”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไป ต้องยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล
จูลี่กล่าวต่อว่า “ดังนั้นรายการที่ทางปู๋เชวี่ยวีดีโอจะเอาไปออกอากาศจำเป็นต้องมีความดึงดูด และรายการจะมีความดึงดูดได้ก็จำเป็นต้องมีเนื้อหา จะเอาแต่ฉายรายการโฆษณาเหล่านั้นไม่ได้ และเมื่อมีเนื้อหา มันก็จะค่อยๆ ทำให้ปู๋เชวี่ยวีดีโอเติบโตขึ้น เมื่อเติบโตขึ้นแล้ว ปู๋เชวี่ยวีดีโอถึงจะมีอิทธิพล เมื่อมีอิทธิพลแล้วจึงจะทำให้การโฆษณามีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง ถึงจะทำให้มีคนดูเป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนดูเป็นจำนวนมาก พวกลูกค้าเหล่านั้นก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเราเอง นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องค่ะ”
ลั่วเทียนเหอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “การร่วมมือกับทางหอการค้าตระกูลฉินจะทำให้เกิดผลอย่างที่ว่าได้เหรอ?”
จูลี่กล่าว “อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ การจะทำเรื่องเหล่านี้ได้จำเป็นต้องมีคนจำนวนมากคอยช่วยเหลือ ตัวปู๋เชวี่ยวีดีโอในเวลานี้ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่หอการค้าตระกูลฉินไม่เหมือนกัน ถึงแม้ศูนย์กลางธุรกิจของหอการค้าตระกูลฉินจะอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย แต่อิทธิพลที่แผ่กระจายออกไปกลับมิได้อยู่แค่ในเมืองปู๋เชวี่ยเท่านั้น กระทั่งในเมืองหลวงก็ยังมีคนของหอการค้าตระกูลฉินทำงานอยู่”
“แนวคิดเบื้องต้นของฉันคือเราจะใช้ประโยชน์จากพนักงานที่มีอยู่ทั่วทุกที่ของหอการค้าตระกูลฉิน สร้างช่องทางในการส่งข่าวสารกลับมา เมื่อพนักงานที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ หอการค้าตระกูลฉินพบเจอเรื่องราวหรือข่าวสารอะไรที่น่าสนใจ พวกเขาก็สามารถส่งข่าวสารกลับมาและทำให้สถานีออกอากาศของพวกเราทราบข่าวได้ในทันที พวกเราก็จะสามารถส่งคนออกไปทำรายการและสามารถนำมาออกอากาศได้ค่ะ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “เธอจะบอกว่าเมืองปู๋เชวี่ยให้การสนับสนุนเธอไม่พอหรือ?”
จูลี่รีบโบกมือ “ท่านเจ้าเมืองคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นค่ะ วิธีการสนับสนุนแบบนี้ บางทีท่านเองก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่การแอบสืบข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ จะให้ท่านเจ้าเมืองเที่ยวออกหน้าไปถามกับหน่วยงานในที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลาก็คงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ? ในหลายๆ ที่เขาก็มีสถานีออกอากาศเป็นของตัวเอง ความหมายของฉันท่านน่าจะเข้าใจ”
“แต่การร่วมมือกับทางหอการค้าตระกูลฉันนั้นยังมีข้อดีอีกอย่างนั้น นั่นคือพนักงานของหอการค้าตระกูลฉินที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ล้วนแต่พร้อมที่จะเริ่มงานได้เลย หากมีความต้องการอะไรเร่งด่วน ก็สามารถขอให้พนักงานของทางหอการค้าตระกูลฉินช่วยเหลือได้ทันที ส่วนพวกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เดี๋ยวเราค่อยมาทำการตกลงกับทางหอการค้าตระกูลฉินได้ ความร่วมมือเหล่านี้ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว หากแต่ต้องมีการวางแผนในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องให้ทางประธานฉินเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นฉันจึงอยากไปเจรจากับประธานฉิน โดยหวังว่าเธอจะให้การสนับสนุนน่ะค่ะ”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบ
จูลี่สังเกตดูอากัปกิริยาของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงดูว่า “ฉันได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องนองเลือดขึ้นภายในเมือง หรือว่าที่ท่านประธานฉินถูกจับมาจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยคะ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นไม่เป็นไรค่ะ ฉันค่อยหาวิธีอื่นเอาก็ได้”
ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเนิบช้าขึ้นมา “คิดมากแล้ว แค่ให้พวกเขามาช่วยเรื่องสืบสวนเท่านั้น อีกเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว ไม่รบกวนเรื่องของพวกเธอหรอก ถ้าเธอไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ”
จูลี่พยักหน้า “ค่ะ อย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ”
ลั่วเทียนเหอยิ้มพลางกล่าว “รายการที่พวกเธอออกอากาศฉันได้ดูแล้วนะ ไม่เลว ฉันพอใจมาก พยายามต่อไปล่ะ”
“ค่ะ แล้วเจอกันนะคะท่านเจ้าเมือง” จูลี่โบกมือแล้ววิ่งออกไป
แล้วเจอกันนะคะท่านเจ้าเมือง? ใบหน้าของลั่วเทียนเหอกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวพึมพำว่า “เละเทะกันไปหมดแล้ว…”
หลังจากนั้นไม่นาน เหิงเทาก็เข้ามารับคำสั่ง
ลั่วเทียนเหอที่ยืนมือไพล่หลังอยู่บนบันไดด้านนอกศาลากล่าวว่า “ปล่อยคนของหอการค้าตระกูลฉินไปซะ”
เหิงเทางุนงงเล็กน้อย “ปล่อยเหรอครับ? ไม่สืบแล้วเหรอครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ขังพวกเขาเอาไว้แล้วจะสืบได้เหรอ? ควรจะสืบยังไงก็ไปสืบ ถ้าต้องการสอบถามอะไรค่อยไปหาพวกเขาก็ได้ ถ้าพวกฉินอี๋ไม่กลับไป ภายในหอการค้าตระกูลฉินจะวุ่นวายเอาได้”
เหิงเทาพยักหน้า “ทราบแล้วครับ”
“เฮ้อ!” ลั่วเทียนเหอถอนใจออกมา หากว่ากันตามความคิดของเขาแล้ว เขาอยากจะสั่งหยุดการประมูลเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินจริงๆ เลย
แต่ตระกูลฉินได้ลงชื่อเข้าร่วมการประมูลไปแล้ว หากจู่ๆ ถอนตัวออกมา เช่นนั้นก็ไม่มีทางปิดบังสาเหตุกับทางแคว้นเซียนคุนกว่างไปได้แน่ ตามกฎแล้ว การไปฝืนหยุดการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
แล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่เหิงเทาเคยว่ามา หอการค้าตระกูลฉินใกล้จะถูกฉินอี๋เอาทรัพย์สมบัติออกมาใช้จนหมดแล้ว ทรัพยากรส่วนใหญ่ล้วนแต่ถูกใช้ไปกับเรื่องการประมูลเทพมหาวิญญาณ อีกอย่างเหมืองหินวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินก็ใกล้จะถูกขุดจนหมดแล้ว หากเขาฝืนยื่นมือเข้าไปทำให้หอการค้าตระกูลฉินล้มลง นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้คนจำนวนมากต้องสูญเสียอาชีพไป เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าทั้งนอกทั้งในเมืองปู๋เชวี่ยคงมีคนจำนวนมากมาต่อว่าด่าทอเขาอย่างแน่นอน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองปู๋เชวี่ยแห่งนี้ จู่ๆ เขาพลันเกิดความรู้สึกขยับแข้งขยับขาไม่ค่อยสะดวกขึ้นมา
“ทำไมท่านเจ้าเมืองถึงถอนใจล่ะครับ” เหิงเทาลองถาม
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ยังไม่ทันเริ่มเลย ก็เริ่มเล่นงานกันโดยไม่เลือกวิธีการกันแล้ว ปัญหากำลังมาเยือน ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่ฉันกังวล”
เหิงเทาเข้าใจ ท่านเจ้าเมืองคนนี้ค่อนข้างหัวโบราณ รักสงบมาโดยตลอด ภายในใจรู้สึกกังวลมาโดยตลอดว่าเรื่องการประมูลเทพมหาวิญญาณจะส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของเมืองปู๋เชวี่ย
มีหรือที่ฉินอี๋จะไม่รู้ถึงความพยายามในการปกป้องรักษาเมืองของท่านเจ้าเมือง ในเวลานี้เขากำลังสงสัยว่าก่อนหน้านี้ฉินอี๋ดูคล้ายจะมุทะลุเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเทพมหาวิญญาณโดยไม่คิดให้ดี ทว่าความจริงฉินอี๋ได้วางแผนเอาไว้นานแล้ว ทำเอาท่านเจ้าเมืองผู้นี้ตัดสินใจได้ลำบาก จะกำจัดทิ้งไปก็ไม่สะดวกที่จะลงมือ
แต่อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เขามองออก ก็เหมือนดั่งคำโบราณที่ว่าเขียวครามเกิดแต่น้ำเงิน ทว่างดงามกว่าสีน้ำเงิน ในแง่หนึ่งแล้วฉินอี๋ที่เป็นลูกสาวคนนี้เหนือกว่าฉินเต้าเปียนผู้เป็นพ่อของเธอ
……
ณ ที่ทำการผู้พิทักษ์เมือง ครอบครัวของฉินอี๋ถูกปล่อยตัวออกมาก่อน
“หนูจะไปหอการค้าก่อนค่ะ” ฉินอี๋ไม่ได้พูดกับฉินเต้าเปียน แต่กลับไปกล่าวกับหลิ่วจวินจวิน
หลิ่วจวินจวินเป็นห่วงเล็กน้อย “หนูไม่ได้นอนมาทั้งคืน กลับไปพักผ่อนก่อนดีไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉินอี๋ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นหันไปตะโกนเรียกไป๋หลิงหลงแล้วเดินออกไปก่อน
เธอจำเป็นต้องรีบกลับไปสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เหล่าพนักงานก่อน เธอรู้ว่าตอนนี้เหล่าพนักงานภายในหอการค้าอาจจะกำลังวิตกกังวลกันอยู่ ขอเพียงเธอซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหอการค้ากลับไป เหล่าพนักงานก็จะใจเย็นลงได้
คนอื่นๆ ในครอบครัวตระกูลฉินทยอยเดินทางออกไป
จากนั้นคนอื่นๆ ก็ทยอยถูกปล่อยตัวออกมา
เมื่อเห็นหลัวคังอัน หลินยวนก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย กลับเป็นเรื่องที่บ้านของกวนเสี่ยวไป๋ก็ถูกจับมาด้วยที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
กวนเสี่ยวไป๋เองก็มองเห็นเขาแล้ว หลินยวนท่าทางคล้ายไม่สนใจ เดินไปหลบอยู่ที่ด้านหลังเสาต้นหนึ่ง ไม่อยากให้เถาฮวามองเห็นเขาแล้วมาแสดงความสนิทชิดเชื้อกับเขาต่อหน้าคนอื่น
บ้านตระกูลกวนกลับไปแล้ว กระทั่งจางเลี่ยเฉินออกมา หลินยวนถึงจะเดินออกไปพร้อมกับเขา
ผลปรากฏว่าเขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนทะเลาะกันอยู่ตรงหน้าประตู จูเก่อม่านกำลังดึงทึ้งเสื้อผ้าของหลัวคังอันอยู่ หลินยวนเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“พูดมา อู่เวยคนนั้นมันหมายความว่ายังไง?” จูเก่อม่านดึงหลัวคังอันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ท่าทางโมโหเป็นอย่างมาก
“หมายความว่ายังไงอะไร คนอื่นดูอยู่นะ เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?” หลัวคังอันเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนกัน บอกให้เธอปล่อยมือ มีคนตั้งเยอะตั้งแยะคอยมองดูอยู่นะ
หลินยวนฟังอยู่ครู่หนึ่ง เขาเข้าใจแล้ว น่าจะเป็นเพราะถูกสอบถามเรื่องอู่เวย จูเก่อม่านถึงได้รู้ว่าด้านหนึ่งหลัวคังอันก็นอนอยู่กับเธอ อีกด้านหนึ่งก็ไปเที่ยวจีบอู่เวย ในเวลานี้จูเก่อม่านเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
…………………………………………………………………