ตอนที่ 54 นายเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ
เป็นเพราะล่วงรู้เรื่องราวอะไรบางอย่าง ในเวลานี้จูเก่อม่านจึงอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ร่ำไห้อย่างทุกข์ทรมาน ฉุดกระชากเสื้อผ้าของหลัวคังอันพลางส่งเสียงตะโกน “หอการค้าให้คุณอยู่ได้แค่คนเดียวอะไรนั่นเป็นแค่ข้ออ้างทั้งเพ คุณหลอกฉัน!”
หลัวคังอันออกแรงสะบัดเธอ ด้วยความสามารถของเขา หากไม่ต้องการให้จูเก่อม่านรั้งตัวไว้ จูเก่อม่านจะไปรั้งตัวเขาเอาไว้ได้อย่างไร เธอโซซัดโซเซถอยไปด้านหลัง เกือบจะล้มลงไปกับพื้น
เมื่อถูกพนักงานระดับสูงที่ถูกปล่อยตัวออกมาจ้องมองดู หลัวคังอันเองก็กล่าวคำหวานปลอบใจอะไรไม่ออกแล้ว เขาจึงไม่สนใจอะไรอีก ตบหน้าอกตัวเองพลางกล่าว “ใช่ แล้วจะทำไม? ฉันไม่เคยไปรับปากสัญญาอะไรกับเธอสักหน่อย เธอเต็มใจเอง ฉันเองก็ไม่ได้เอาเปรียบเธอเหมือนกัน ดูแลเธออย่างเต็มที่ ถ้าเธอไม่พอใจ อย่างนั้นพวกเราก็จบกัน!” กล่าวจบก็เหลียวหน้าเดินจากไป
เขารู้สึกโมโห ผู้หญิงไม่ไร้เท่าใบพุทรา สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงมีเงิน ยังจะกลัวไม่มีผู้หญิงเหรอ?
หลินยวนเห็นเขาเดินเข้ามาจึงคิดที่จะหลบหน้า เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองอยู่กับผู้ชายที่เล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าหลัวคังอันจะโบกมือมาทางเขา พลางกล่าว “ไป น้องหลิน ไปทำงาน”
สายตาทุกคนมองไปทางหลินยวนทันที หลินยวนหมดคำพูด จึงหันหน้ากลับไปพูดกับจางเลี่ยเฉินว่าเอาไว้เจอกันหลังเลิกงาน จากนั้นตัวเขาที่เป็นผู้ช่วยก็ตามหลัวคังอันจากไปอย่างเงียบๆ
“หลัวคังอัน ไอสารเลว!” จูเก่อม่านร่ำไห้พลางกระทืบเท้า สุดท้ายก็ลงไปนั่งยองๆ ก้มหน้าร้องไห้กับพื้น
จางเลี่ยเฉินทอดตามองดูอยู่ครู่ สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป หลังเดินออกมาจากกลุ่มคนก็กล่าวพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ก็ว่าแล้วเชียว ทำไมจู่ๆ ถึงมาถามว่ายอมออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยหรือเปล่า…”
คนอื่นๆ เองก็ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปพูดคุยกับจูเก่อม่าน ต่างคนต่างทยอยเดินออกไป
จูเก่อม่านที่นั่งก้มหน้าร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่งพลันลุกขึ้นมา ก้าวอาดๆ เดินจากไป เดินไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง ปากเองก็ไม่รู้กล่าวพึมพำอะไร ท่าทางดูคล้ายจะเสียสติไปแล้ว….
…..
“อู่เวยคนนั้น คนที่ฉันเคยเล่าให้นายฟัง ฉันยังไม่ได้ตัวเธอเลย เนื้อก็ไม่ได้กิน แถมยังต้องเอากระดูกมาแขวนคอ ซวยชะมัด!”
หลัวคังอันที่อยู่ในรถแท็กซี่บ่นให้หลินยวนฟังด้วยความโมโห ถูกจูเก่อม่านยั่วโมโหต่อหน้าคนจำนวนมาก ทำให้เขารู้สึกขายหน้าอย่างมาก
หลินยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่หาเรื่องเอง ต่อไปก็เพลาๆ หน่อยสิ”
……..
ภายในรถที่กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉิน หลิ่วจวินจวินพลันกล่าวถามคนข้างๆ “ไม่ไปอธิบายกับลั่วเทียนเหอหน่อยหรือคะ?”
ฉินเต้าเปียนส่ายศีรษะเล็กน้อย “วันหลังแล้วกัน รอให้เรื่องมันซาๆ ลงก่อน ตอนนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รอดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้สิ่งที่ฉันกำลังสงสัยก็คือถ้าไม่ใช่พวกเราทำ แล้วใครเป็นคนทำกันแน่?”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “ตระกูลพานกับตระกูลโจวน่าสงสัย”
ฉินเต้าเปียนถอนใจพลางกล่าว “หากสองตระกูลนั้นเป็นคนทำมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพียงแต่เรื่องแบบนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าทำแบบนี้ เกรงว่าลั่วเทียนเหอก็คงหาหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้”
หลิ่วจวินจวินส่งเสียงอืม ก่อนจะกล่าวว่า “ทันทีที่เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ก็เท่ากับว่าเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลก็จะถูกเปิดเผยออกไปด้วย เกรงว่าทุกคนภายในเมืองปู๋เชวี่ยคงจะรู้กันหมด ผลกระทบไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี การที่หอการค้าตระกูลฉินเสี่ยงเดิมพันทุกอย่างไปกับการประมูลครั้งนี้ เกรงว่าพนักงานภายในหอการค้าคงจะรู้สึกกังวลกันแน่”
ฉินเต้าเปียนกล่าว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ลูกอี๋จัดการได้สบาย ไม่มีอะไรน่าห่วง”
ก็เหมือนอย่างที่พวกเขาว่ามา นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนภายในเมืองปู๋เชวี่ยต่างรู้เรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณแล้ว….
……
ฉินอี๋ที่กลับมายังหอการค้าตระกูลฉินรีบตรงไปยังห้องรับแขกทันที ไปพบจูลี่ที่กำลังรออยู่
ระหว่างทางทั้งสองคนได้พูดคุยติดต่อกันมาแล้ว เธอรู้ว่าจูลี่ได้ไปพบลั่วเทียนเหอมาแล้ว ทันทีที่เจอหน้ากัน ฉินอี๋ก็รีบแสดงความขอบคุณทันที ขอบคุณที่เธอช่วยพูดให้
ความจริงต่อให้จูลี่ไม่ช่วยพูดให้ ฉินอี๋ก็ไม่กลัวอะไรเช่นกัน ก็เหมือนกับที่เธอพูดกับฉินเต้าเปียน ในเมื่อไม่ใช่พวกเขาทำ เช่นนั้นพวกเขาก็ย่อมอธิบายได้อย่างชัดเจน
การที่สามารถกล่าวเช่นนั้นออกมาได้ แสดงให้เห็นว่าเธอมีความมั่นใจอยู่
ที่เธอให้จูลี่ออกหน้า เพราะเธอกังวลว่าลั่วเทียนเหอจะหุนหันพลันแล่น ทำการตัดสินใจอะไรผิดๆ ออกมาในขณะที่กำลังขาดสติอยู่ เรียกได้ว่าเป็นแผนที่เตรียมเผื่อไว้เท่านั้น
จูลี่ย่อมต้องตอบไปว่านี่เป็นเรื่องที่เธอสมควรทำอยู่แล้ว และการที่เธอมาที่นี่ด้วยตัวเอง นั่นก็ย่อมต้องมีเหตุผลเช่นเดียวกัน เธอจึงได้บอกเล่าเรื่องเหตุผลที่เธอไปกล่าวกับลั่วเทียนเหอให้ฉินอี๋ฟัง
ฉินอี๋จ้องมองเธอหลังฟังจบ “แผนความร่วมมือนี้ไม่เลวเลย” เธอจึงหันไปบอกไป๋หลิงหลงทันทีว่า “เดี๋ยวเธอจัดคนไปคุยกับทางปู๋เชวี่ยวีดีโอทีนะ ให้พวกเขาวางแผนออกมาที”
ไป๋หลิงหลงเหลือบมองจูลี่ ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ได้ค่ะ”
สิ่งที่จูลี่ต้องการก็คือสิ่งนี้ จึงกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้นทันที “ค่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปแล้วจะรีบส่งคนให้มาคุยกับทางหอการค้าตระกูลฉินทันทีค่ะ”
เธอมีความปรารถนาของเธอ แล้วก็มีเป้าหมายของเธออยู่
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ติดต่อฉันมาได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
จูลี่ตอบรับ ‘ได้ค่ะ’ ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงฉินอี๋อีกว่า “ได้ยินว่าการประมูลเทพมหาวิญญาณในแคว้นเซียนคุนกว่างครั้งนี้ หอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมด้วยเหรอคะ?”
ฉินอี๋นิ่งเงียบไปเล็กน้อย รู้ว่าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปแล้ว จึงมิได้มีท่าทีปิดบังอีกต่อไป กล่าวยอมรับว่า “ใช่ค่ะ”
จูลี่ตาเป็นประกายขึ้นมา “ไม่ทราบว่าจะให้ทางปู๋เชวี่ยวีดีโอติดตามทำบทสัมภาษณ์พิเศษได้ไหมคะ?”
ฉินอี๋เริ่มลังเลเล็กน้อย “สัมภาษณ์พิเศษน่ะได้ค่ะ แต่เรื่องที่จะติดตาม…อันนี้จำเป็นด้วยหรือคะ?”
จูลี่กล่าว “ประธานฉินคะ ฉันขออนุญาตเรียกคุณว่าพี่ฉินนะคะ”
ฉินอี๋ยิ้มเล็กน้อย “ได้ค่ะ”
จูลี่รีบกล่าว “พี่ฉินคะ ฉันเองก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน บอกตามตรงนะคะ รายการบางรายการของทางปู๋เชวี่ยวีดีโอในเวลานี้ไม่มีความน่าดึงดูดอะไรเลยค่ะ พวกคุณเพียงแค่ทำเพราะไว้หน้าท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ทันทีที่เรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณกระจายออกไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลฉินอีก คนทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยจะต้องให้ความสนใจอย่างมากแน่นอน พวกเขาจะต้องสนใจว่าหอการค้าตระกูลฉินจะชนะการประมูลหรือไม่ สำหรับปู๋เชวี่ยวีดีโอแล้ว โอกาสนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากค่ะ”
“พี่ฉินคะ วางใจได้ค่ะ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับทางธุรกิจ ฉันไม่มีทางเข้าไปยุ่งด้วยแน่นอน เนื้อหาที่จะทำการออกอากาศจะต้องให้พวกพี่ตรวจสอบก่อนค่อยถ่ายทอดออกไปอย่างแน่นอนค่ะ แล้วก็เรื่องค่ายผู้พิทักษ์เทพพี่ก็ไม่ต้องกังวลเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปขออนุญาตจากทางท่านเจ้าเมืองค่ะ” จูลี่กล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจ
ฉินอี๋และไป๋หลิงหลงสบตากัน ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะรู้แล้วว่าเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินอยู่ที่ไหน
ก็ดูสิว่าจูลี่ทำอาชีพอะไร ทันทีที่ได้ยินข่าวว่าหอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณ เธอก็รู้ทันทีนี่เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก ไหนเลยจะยอมพลาดได้ รีบไปสอบถามกับทางเหิงเทาโดยตรงทันที
ฉินอี๋รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย จึงหาข้ออ้างให้เธอกลับไปก่อน จากนั้นก็รีบเรียกประชุมเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจเหล่าพนักงาน
…..
หลินยวนที่เข้ามาในห้องพักผ่อนก็รู้สึกกลุ้มใจเหมือนกัน เขาพบว่าหลัวคังอันตามเขามาอีกแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงไปบนโซฟาเหมือนร่างกายไม่มีกระดูก จากนั้นจุดซิการ์ ปากก็พร่ำบ่นออกมาไม่หยุด
หลินยวนรู้สึกรำคาญปากที่พูดไม่หยุดของเขา ไม่รู้ไปเอาคำพูดไร้สาระพวกนั้นมาจากไหนมากมาย จึงกล่าวเตือนไปว่า “พี่ไม่ไปปลอบจูเก่อม่านคนนั้นเหรอ มานั่งอยู่ที่นี่ทำไม?”
“จะไปสนใจเธอทำไม” ปากหลัวคังอันคาบซิการ์เอาไว้ ผายมือทั้งสองข้างพลางกล่าวว่า “เลิกกันแล้ว จบแล้ว ยังจะไปปลอบอะไร ไม่มีเรื่องวุ่นวายสบายดีออก”
หลินยวนกล่าวไล่ตรงๆ “พี่ไม่มีเรื่อง แต่ผมยังมีเรื่อง”
“นายยังจะมีเรื่องอะไรอีก? ไม่ต้องใช้จูลี่อะไรนั่นมาหลอกฉันเลยนะ เรื่องที่ทำรถฉันชนฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลยนะ” หลัวคังอันบิดร่างกายเล็กน้อย นอนลงไปบนโซฟาอย่างสบายพลางกล่าว “ถ้าอยากจะหลอกฉันก็ไปหาข้ออ้างมาใหม่ซะ”
ถูกเรื่องจูเก่อม่านทำให้ปวดหัว เขาเองก็รู้สึกกลุ้มใจ อยากจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อระบายอารมณ์เสียหน่อย
หลินยวนไม่หาข้ออ้างมาหลอกเขาอีก “ผมจะบำเพ็ญเพียร”
“นายยังมีใจมานั่งบำเพ็ญเพียรอีกเหรอ?” หลัวคังอันลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะเดินมาตรงหน้าเขา กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “หรือคนที่สอบปากคำไม่ได้บอกนายเรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณ? แม่งเอ้ย ตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณนะ อย่าบอกนะว่านายไม่รู้?”
หลินยวนคล้ายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ กล่าวว่า “รู้แล้วยังไง?”
“รู้แล้วยังไง? นายโง่หรือเปล่า นาย ฉัน” หลัวคังอันชี้ไปที่เขา แล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง “น้องชาย พวกเรามีปัญญาแล้ว ธุรกิจอาวุธวิเศษของดินแดนเซียนเนี่ย ผลประโยชน์มันมากมายมหาศาลขนาดไหนรู้หรือเปล่า แค่ได้งานจากหน่วยงานสักหน่วยงานหนึ่งก็ทำเงินได้มหาศาลแล้ว ผลประโยชน์ที่มหาศาลขนาดนี้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่อยากได้ ตอนนี้พวกนั้นเริ่มเล่นงานกันโดยไม่เลือกวิธีแล้ว เริ่มฆ่าคนในเมืองปู๋เชวี่ยแล้ว กระทั่งผู้พิทักษ์เมืองก็ยังโดนฆ่าเลย แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่คนพวกนั้นทำไม่ได้อีก?”
หลัวคังอันกล่าวจบก็ถอยกลับไปนั่งลงที่โซฟา นอนลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนใจพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าอู่เวยจะเป็นกับดัก น่ากลัวจริงๆ ถ้าเรื่องการประมูลยังไม่จบ ฉันก็ไม่กล้าไปที่ไนต์คลับนั่นแล้ว ต้องอยู่เงียบๆ หน่อย ตอนนี้ฉันเพิ่งจะเข้าใจ ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงต้องจ่ายเงินเดือนสูงๆ ให้ฉันมาทำการทดสอบเทพมหาวิญญาณอะไรนี่ด้วย ที่แท้ก็ให้ฉันมาเสี่ยงชีวิตนี่เอง”
มือที่คีบซิการ์อยู่ชี้มาที่หลินยวน “น้องชาย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ ที่นี่มันไม่น่าอยู่แล้ว งานผู้ช่วยของฉันมันไม่น่าทำแล้ว นายรีบหาทางออกไปจากที่นี่เถอะ”
หลินยวนรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่พึ่งพาไม่ได้คนนี้จะยังมีจิตใจที่ดีนึกเป็นห่วงเขาอยู่ แต่ต่อให้หลัวคังอันไม่บอก เขาก็เตรียมที่จะออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความหวังดี เขาจึงกล่าวถามไปอีกประโยคว่า “แล้วพี่ล่ะ พี่ไม่ออกไปจากที่นี่เหรอ?”
“ฉัน?” หลัวคังอันทำหน้าเหมือนยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ตอนนี้ฉันเสียรู้หอการค้าตระกูลฉินแล้ว แม่งเอ้ย ในสัญญาที่เซ็นไปก่อนหน้านี้ ลองคิดดูสิ การเข้าร่วมประมูลก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของฉันเหมือนกัน ฉันจะไปทำอะไรได้? จะไปกลับคำได้เหรอ? จะกลับคำมันก็ได้ แต่ค่าชดเชยมันสูงเกินไป ฉันชดใช้ไม่ไหว นอกเสียจากต้องหนีไป แต่ราคาของการหนีไปฉันก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ตอนนี้ฉันถูกลบชื่อออกจากบัญชีรายชื่อเซียนแล้ว แล้วยังจะให้ฉันไปเป็นคนร้ายของดินแดนเซียนอีกเหรอ? จะเลือกทางไหนมันก็ยากเหมือนกัน ฉันก็ได้แต่ต้องสู้ต่อไป”
จากนั้นเขาโบกมือ “แต่ว่านายไม่เหมือนกัน นายเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ นายนึกเสียใจตอนนี้น่าจะยังทัน รีบถอนตัวไปซะ”
ตอนนี้ภายในใจเขานึกเสียใจอย่างมาก นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักสองที นึกเสียใจว่าไม่ควรไปเที่ยวคุยโวเลยว่าตัวเองทำให้ป้าหวังบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกหอการค้าตระกูลฉินหมายตาแล้วชักชวนมาทำงาน
แต่เขาเองก็เป็นคนรักหน้าตาเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถพูดความจริงในใจกับหลินยวนได้
ซึ่งความจริงเขาก็ไม่กล้าพูดเช่นเดียวกัน เพราะเขาหลอกตระกูลฉิน หากตระกูลฉินมาไล่ทวงค่าเสียหายจากเขา เขาเองก็แบกรับไม่ไหวเช่นเดียวกัน…
…….
ลั่วเทียนเหอที่อยู่ในสำนักงานเจ้าเมืองรู้สึกเหนื่อยใจ เขาพบว่าผู้หญิงคือความยุ่งยาก
จูลี่มาหาเขาอีกครั้ง เธอจะมาขอติดตามทำบทสัมภาษณ์พิเศษเรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณอะไรนั่น มาขอให้เขาอนุญาตให้เธอเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพ
หลังฟังเหตุผลที่เธอมาหาเขาจบ ลั่วเทียนเหอก็ถามเสียงขรึมไปกว่า “เธอเองก็อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณเหรอ?”
จูลี่รีบโบกมือ “พวกเราเพียงแค่ไปสัมภาษณ์เพื่อทำรายการพิเศษค่ะ ไม่ได้จะเข้าไปยุ่งเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์ ท่านเจ้าเมืองคะ อีกไม่นานทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยก็จะรู้เรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณแล้วนะคะ ผู้คนจะมีความสนใจต่อเรื่องนี้มากแค่ไหนท่านเจ้าเมืองก็น่าจะนึกภาพออก หากมีการติดตามทำบทสัมภาษณ์พิเศษแล้วออกอากาศออกไป นั่นจะต้องดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้แน่นอนค่ะ”
“เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่เมืองปู๋เชวี่ยเท่านั้น แต่เกรงว่าทุกๆ ที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมูลจะต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอนค่ะ ทันทีที่รายการของเราออกอากาศออกไป เผลอๆ อาจจะดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งดินแดนเซียนมาได้ก็เป็นได้ค่ะ ท่านเจ้าเมืองคะ ระดับความสนใจที่มากขนาดนี้เป็นโอกาสที่ดีอย่างมากที่ปู๋เชวี่ยวีดีโอจะได้ขยายอิทธิพลออกไปนะคะ และเมื่อที่ต่างๆ ให้ความสนใจปู๋เชวี่ยวีดีโอของเรา รายการแทรกที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆ ภายในเมืองปู๋เชวี่ยก็จะสามารถออกอากาศไปตามที่ต่างๆ อย่างที่ท่านเจ้าเมืองต้องการได้ค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ท่าทีของเธอเรียกได้ว่ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก มือเท้าโบกไปมาไม่หยุด บนใบหน้าคล้ายกำลังเปล่งแสงออกมา
สมแล้วที่เป็นนักข่าว วาทศิลป์เป็นเลิศ สายตาของลั่วเทียนเหอวูบไหวไปมาไม่หยุด ถูกเธอกล่อมจนรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
………………………………………………………………….