ตอนที่ 55 ญาติผู้น้อง
ณ เมืองฝูปอ หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงดูสูงศักดิ์งามสง่าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตู คอยชะเง้อคอมองดูอยู่เป็นระยะ
ท่ามกลางหมอกยามเช้ามีรถสองสามคันแล่นเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าประตู ในรถคันหนึ่งที่อยู่ตรงกลางมีชายหนุ่มที่สวมผ้าคลุมคนหนึ่งลงมาจากรถ ตรงโคนผมที่แสกกลางเป็นสีขาว ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา แต่สีหน้ากลับดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูรีบเดินลงบันไดไปต้อนรับ ชายหนุ่มโค้งกายเล็กน้อย “คุณแม่ครับ”
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อว่าเผิงซี เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหยวนเฉิน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็คือโจวหม่านอวี้ เธอคือแม่ของเผิงซี แล้วก็เป็นน้องสาวของโจวหม่านเชาที่เป็นประธานของหอการค้าตระกูลโจว
โจวหม่านอวี้กวาดตามองดูลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “รีบกลับมาแบบนี้ เรื่องที่น้าชายมอบหมายให้ลูกไปจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
เผิงซีพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วครับ ทุกอย่างราบรื่นดีครับ” ขณะกล่าวก็ผายมือเล็กน้อย เพื่อบอกผู้เป็นแม่ว่ามีอะไรให้เข้าไปคุยกันด้านใน
สองแม่ลูกรีบเดินเข้าไปในบ้าน คนอื่นๆ ที่ลงมาจากรถก็แยกย้ายกันไป
ทันทีที่เข้ามาในโถงรับแขกภายในบ้าน โจวหม่านอวี้ก็รีบกล่าวเสียงเบาๆ ทันที “พี่หยวนเฉินของลูกถูกคนฆ่าตายที่เมืองปู๋เชวี่ย”
เผิงซีพยักหน้า “ทราบแล้วครับ ผมถึงได้รีบกลับมา” ขณะกล่าวก็ยกมือปลดเชือกผ้าคลุมที่อยู่ตรงหน้าอก
คนใช้เข้ามารับเอาผ้าคลุมไป โจวหม่านอวี้โบกมือให้คนใช้ถอยออกไป ก่อนจะรินชาให้ลูกชายด้วยตัวเอง จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่ กล่าวกับลูกชายของตนด้วยท่าทางคล้ายรู้สึกลอบยินดี “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีใครมาแข่งกับลูกอีก”
พี่ชายของเธอ หรือก็คือประธานของหอการค้าตระกูลโจวไม่มีลูกชายและลูกสาว มิใช่ว่าเขาให้กำเนิดลูกไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะระหว่างที่กำลังก่อร่างสร้างหอการค้าตระกูลโจวให้ยิ่งใหญ่ เขาต้องพบเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องแลกมาด้วยเลือด มีอยู่ครั้งหนึ่งถูกลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ภรรยาและลูกๆ ของเขาไม่สามารถรอดชีวิตมาได้
ตามกฎหมายของดินแดนเซียน นี่เท่ากับว่าโจวหม่านเชาได้เสียสิทธิ์ในการให้กำเนิดลูกไปแล้ว
แต่โจวหม่านเชากลับมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งและน้องสาวอีกคนหนึ่ง พี่สาวชื่อโจวหม่านฟาง หรือก็คือแม่ของเจ้าหยวนเฉิน ส่วนน้องสาวก็คือโจวหม่านอวี้
ในการขยายกิจการของหอการค้าตระกูลโจวนั้นจำเป็นต้องมีคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้มาคอยช่วยเหลือ หากมีคนในครอบครัวให้ใช้กลับไม่นำมาใช้ นั่นมินับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหรอกหรือ ขณะเดียวกันจะไม่ให้สนใจครอบครัวเดียวกันก็คงไม่ได้ด้วย พี่เขยและน้องเขยจึงเข้ามาทำงานอยู่ในหอการค้าตระกูลโจว แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของคนทั้งสองจะต้องกลายเป็นค่าตอบแทนที่หอการค้าตระกูลโจวต้องจ่ายในการทำให้หอการค้าก้าวเดินมาถึงจุดนี้เช่นเดียวกัน ทำให้พี่สาวและน้องสาวต้องกลายเป็นม่าย
หลังจากนั้น เจ้าหยวนเฉินและเผิงซีที่เติบโตขึ้นมาก็เข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลโจว ถวายชีวิตให้แก่หอการค้าตระกูลโจวเหมือนอย่างพ่อของพวกเขา
นี่จึงทำให้ญาติผู้พี่และญาติผู้น้องคู่นี้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าใครต่างก็มองออกว่าหลังจากที่โจวหม่านเชาจากไปแล้ว หอการค้าตระกูลโจวที่ใหญ่โตจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด และสุดท้ายผู้สืบทอดของหอการค้าตระกูลโจวจะต้องเป็นเจ้าหยวนเฉินหรือไม่ก็เผิงซีอย่างแน่นอน
อย่างน้อยสองพี่น้องโจวหม่านฟางและโจวหม่านอวี้ก็คิดเช่นนี้ หอการค้าตระกูลโจวถ้าไม่ให้ลูกชายของพวกเธอสืบทอดแล้วจะให้ใครสืบทอด?
สามีของพวกเธอทั้งสองคนล้วนเสียสละชีวิตเพื่อหอการค้าตระกูลโจวไปแล้ว สำหรับพวกเธอสองพี่น้อง การที่ลูกชายของพวกเธอจะรับสืบทอดหอการค้าตระกูลโจวนั้นถือเป็นเรื่องที่สมควร
ไม่ว่าจะเป็นเพราะแรงกระตุ้นจากภายนอก หรือว่าเป็นเพราะแรงกดดันจากภายในตระกูล ก็ล้วนแต่เป็นไปได้ยากที่ลูกพี่ลูกน้องสองคนนี้จะไม่แก่งแย่งชิงดีกัน และเมื่อเกิดการแก่งแย่งกันก็ย่อมต้องเกิดความร้าวฉานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนทำให้แม่ของทั้งสองคนเกิดความแค้นต่อกัน หากมิเป็นเพราะมีโจวหม่านเชาคอยคุมเอาไว้อยู่ หากมิเป็นเพราะต้องเห็นแก่หน้าโจวหม่านเชา เกรงว่าแม่ของทั้งสองคงจะแตกหักกันอย่างเปิดเผยไปแล้ว
ตอนนี้เจ้าหยวนเฉินได้เสียชีวิตตามพ่อของเขาไปแล้ว เมื่อลูกชายไม่มีคู่ต่อสู้มาแย่งตำแหน่งอีก มีหรือที่โจวหม่านอวี้จะไม่ดีใจ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่เธอคอยชะเง้อคอรอคอยลูกชายอยู่ตรงประตู ภายในใจทั้งรู้สึกตื่นเต้นและยินดี
เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่กล่าวเช่นนี้ เผิงซีก็รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย เขารีบเดินทางกลับมา ความจริงก็เป็นเพราะกังวลว่าแม่ของตนจะเป็นเช่นนี้ กลัวว่าจะหลุดปากพูดอะไรออกไป เมื่อเห็นแม่ของตนกำลังแอบรู้สึกยินดี เขาจึงถอนใจเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แม่ครับ คำพูดแบบนี้ทีหลังเก็บไว้ในใจ ไม่ต้องพูดออกมาอีกนะครับ ถ้าคุณน้าได้ยินเข้าจะรู้สึกยังไง? ครั้งนี้ถ้าไม่เป็นเพราะผมต้องออกไปทำธุระข้างนอก คนที่ต้องไปเมืองปู๋เชวี่ยอาจจะเป็นผมก็ได้ ไม่แน่คนที่ต้องตายอาจจะเป็นผมก็ได้นะครับ”
โจวหม่านอวี้แค่นเสียงเหอะพลางกล่าว “นั่นน่ะสิ ถ้าลูกอยู่ มีหรือที่น้าชายจะให้หยวนเฉินไปจัดการเรื่องใหญ่แบบนี้ สติปัญญาและความสามารถของคนไม่เหมือนกัน ถ้าลูกไปก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น นี่บอกได้แค่ว่าเป็นเพราะตัวเขาไม่ระวังจนหาเรื่องใส่ตัวเอง”
“แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิครับ” เผิงซีพยุงมารดามานั่งลงอีกด้านหนึ่ง “หลังได้ยินข่าว ผมก็รีบทำการตรวจสอบสถานการณ์ของทางเมืองปู๋เชวี่ยอย่างคร่าวๆ ทันที เกิดการฆาตกรรมขึ้นสามที่ภายในคืนเดียวในเมืองปู๋เชวี่ย มีคนตายไปร้อยกว่าคน แล้วยังมีผู้พิทักษ์เมืองตายไปอีกสองคน คนที่ตายไปเหล่านี้ไม่ถือว่าแปลกประหลาดอะไร แต่ปัญหาคือเรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองปู๋เชวี่ย มีคนถูกฆ่าตายไปมากมายขนาดนี้ แต่ด้านนอกกลับไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอะไรเลย นี่มันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าฆาตรกรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เกรงว่าถ้าผมไปก็คงยากจะรอดได้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวหม่านอวี้ก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา “ยังดี ยังดีที่ลูกไม่ได้ไป นี่เรียกว่าสวรรค์ลิขิตจริงๆ”
เผิงซีเปลี่ยนประเด็น กล่าวถามว่า “พี่หยวนเฉินตายไป น้าหญิงจะต้องเสียใจอย่างมากแน่ แม่ได้ไปเยี่ยมน้าหญิงหรือยังครับ?”
โจวหม่านอวี้แค่นหัวเราะ “ปกติเธอทำยังไงกับแม่ เคยเห็นว่าแม่เป็นน้องหรือเปล่า? จะให้แม่ไปปลอบเธอเหรอ? กลัวว่าจะทำคุณบูชาโทษ หาเรื่องให้ตัวเองขายหน้าแทนน่ะสิ เผลอๆ อาจจะถูกมองว่าสะใจที่เห็นลูกของเธอตาย เสแสร้งทำเป็นเห็นใจ”
เผิงซีถอนหายใจ “แม่ครับ ไปเถอะครับ ในเวลานี้ต่อให้ทำแบบขอไปที ต่อให้โดนด่าหน่อยก็ต้องอดทน จากที่ผมรู้มา การตายของพี่หยวนเฉินครั้งนี้แปลกประหลาดอย่างมาก ไม่คล้ายว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลฉิน อย่างนั้นใครจะเป็นคนทำล่ะครับ?”
โจวหม่านอวี้กล่าว “ลูกมองแม่อย่างนั้นทำไม แม่จะไปรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนทำ?”
เธอไม่เข้าใจเงื่อนงำที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้เลยว่ามันหมายความว่าอย่างไร เธอไม่เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้ เชื่อเพียงแต่ว่าสิ่งที่ลูกชายพูดมาคือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเธอสามารถวิเคราะห์เรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ล่ะก็ เธอไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ ในบ้านแบบนี้แน่ เกรงว่าโจวหม่านเชาคงจะดึงตัวเธอเข้าไปเป็นผู้ช่วยในหอการค้าตระกูลโจวแล้ว
เผิงซีกล่าวว่า “ปัญหามันอยู่ตรงนี้นี่แหละครับ ปกติแล้วจะมีหลักคิดง่ายๆ อยู่อย่างหนึ่งที่ใช้อนุมานว่าใครเป็นคนทำ นั่นคือใครเป็นคนที่ได้ประโยชน์ที่สุด คนนั้นก็มีโอกาสจะเป็นฆาตกร แม่ครับ ไหนแม่ลองบอกผมสิครับว่าพอพี่หยวนเฉินตายไปแล้ว ใครเป็นคนที่ได้ประโยชน์ที่สุด ใครจะดีใจที่สุด?”
“….” โจวหม่านอวี้ตกตะลึงไป สายตาค่อยๆ ทึมทื่อขึ้นมา ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กล่าวอย่างตกใจว่า “ลูกซี ลูกจะบอกว่าน้าชายของลูกอาจจะสงสัยว่าลูกเป็นคนทำอย่างนั้นเหรอ?”
เผิงซีกล่าว “จะสงสัยหรือไม่นั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้อมูลที่ผมรู้ในตอนนี้ยังมีอยู่น้อยมาก แต่ขอเพียงยังหาเจตนาของฆาตกรไม่ได้ เกรงว่าน้าเขาก็คงต้องคิดถึงความเป็นไปได้ด้านนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างน้อยในสายตาคนนอก ผมก็มีแรงจูงใจตรงนี้อยู่ แล้วในเวลาแบบนี้ ถ้าเรายังทำตัวไม่มีความเห็นอกเห็นใจ แม่จะให้คนนอกคิดยังไง จะให้คนในหอการค้าตระกูลโจวคิดยังไงครับ? แม่ครับ ไปเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนแม่”
เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างรอบคอบ รีบเดินทางกลับมา ยังไม่ทันได้พักเหนื่อยก็จะรีบเดินทางไปปลอบใจน้าหญิงแล้ว
“ได้” โจวหม่านอวี้รีบตอบรับลูกชาย สั่งให้คนเก็บของทันที สองแม่ลูกเตรียมจะออกเดินทาง
แต่ในเวลานี้เอง โจวหม่านเชาก็โทรศัพท์มาหา เขารู้ว่าหลานกลับมาแล้ว จึงให้เผิงซีรีบเดินทางไปหา
เผิงซีไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่ต้องให้มารดาเดินทางไปคนเดียว ส่วนตัวเองไปหาน้าชาย ก่อนที่จะแยกกันเผิงซียังสั่งกำชับมารดาว่าไม่ว่าน้าหญิงจะพูดอะไรหรือว่าด่าอะไร ไม่ว่าจะด่าแรงแค่ไหนก็ให้อดทนเอาไว้….
……
ต้นไม้ที่สูงใหญ่เสียดฟ้าต้นหนึ่ง สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลโจว เผิงซีรีบเดินทางมา
ภายในห้องของประธานหอการค้า ทันทีที่พบหน้า โจวหม่านเชาที่สีหน้าเศร้าสร้อยก็ถามทันทีว่า “เรื่องของหยวนเฉิน แกรู้แล้วใช่ไหม?”
เผิงซีกล่าว “รู้แล้วครับ แต่เรื่องรายละเอียดยังไม่ทราบครับ”
โจวหม่านเชากล่าวว่า “เรื่องรายละเอียดอย่าว่าแต่แกเลย กระทั่งฉันก็ยังไม่รู้เลย คนที่รู้ก็น่าจะถูกฆ่าตายหมดแล้ว ตอนนี้พี่ใหญ่เสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ได้ยินว่าพี่ใหญ่ร้องไห้จนเป็นลมไปสองรอบแล้ว เฮ้อ นี่เป็นความผิดฉันเอง ฉันไม่น่าให้เขาไปเมืองปู๋เชวี่ยเลย ตอนนี้ฉันไม่กล้าไปหาพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ”
เผิงซีนิ่งเงียบไป
โจวหม่านเชาลุกขึ้นมาจากโต๊ะ ก้าวเดินพลางกล่าวว่า “มีคนบอกว่าเป็นฝีมือของหอการค้าตระกูลฉิน แกคิดว่ายังไง?”
เผิงซีกล่าว “ไม่ใช่ฝีมือหอการค้าตระกูลฉินแน่นอนครับ”
โจวหม่านเชากล่าว “แน่นอน? มั่นใจขนาดนี้เลยเหรอ?”
เผิงซีกล่าว “สำหรับหอการค้าตระกูลฉินแล้ว การฆ่าพี่หยวนเฉินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ เลย ทันทีที่ถูกคนพบเข้า นั่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตัวเอง เมื่อดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับพานหลิงอวิ๋นแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่ชื่อฉินอี๋คนนั้นไม่ธรรมดา การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เธอไม่มีทางยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองแน่นอน ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนี้ขึ้นในเมืองของตัวเองในเวลาแบบนี้ครับ”
โจวหม่านเชาพยักหน้า “ฉันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อย่างนั้นแกคิดว่าใครเป็นคนทำ?”
เผิงซีกล่าวว่า “สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ผมยังวิเคราะห์ไม่ได้ครับ”
โจวหม่านเชากล่าว “แกจะต้องเคยคิดถึงเรื่องนี้แน่ แกหัวดีเหมือนพ่อของแก ฉันอยากจะฟังความคิดของแกหน่อย คิดอะไรก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องกลัวอะไร”
เผิงซีลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ลองกล่าวออกมาว่า “ได้ยินว่าพานหลิงอวิ๋นออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยในวันเดียวกับที่เกิดเรื่อง แล้วก็ยังได้ยินมาว่าคนที่ตายทั้งหมดล้วนแต่ถูกทำลายศพจนหมด เหลือไว้เพียงศพของพี่หยวนเฉินเพียงคนเดียว” เขาเงียบไปเมื่อพูดถึงตรงนี้
โจวหม่านเชาที่หันหน้าหาหน้าต่างค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แกสงสัยว่าเป็นฝีมือของฉันกับตระกูลพานอย่างนั้นเหรอ? แกคิดว่าฉันกับตระกูลพานใช้วิธีนี้เพื่อใส่ร้ายตระกูลฉินอย่างนั้นเหรอ?”
ภายในใจเผิงซีนั้นมีความสงสัยเช่นนี้อยู่จริง แต่ปากกลับรีบบอกว่า “คุณน้าครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับ ผมแค่คิดว่าสองเรื่องนี้มันน่าสงสัยครับ”
โจวหม่านเชาหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขา “ไม่ต้องปิดบังหรอก อย่าว่าแต่แกเลย คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน ลั่วเทียนเหอที่เป็นเจ้าเมืองปู๋เชวี่ยก็น่าจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน ที่ฉันเรียกแกกลับมาก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ พานชิ่งกำลังรีบเดินทางมาที่นี่ อีกไม่นานก็น่าจะมาถึงแล้ว เขาจะมาคุยเรื่องนี้กับฉัน ฉันจะให้แกรับช่วงต่องานของหยวนเฉิน เดี๋ยวแกอยู่ฟังด้วยกันนี่แหละ”
เผิงซีรับคำ “ครับ”
โจวหม่านเชากล่าวว่า “ฉันจำเป็นต้องอธิบายให้แกฟังหน่อย ที่พานหลิงอวิ๋นเดินทางออกจากเมืองปู๋เชวี่ยนั้นมีเหตุผลอยู่ เธอกำลังดำเนินการตามแผนลับที่พวกเราวางเอาไว้ แผนลับนี้กระทั่งตัวหยวนเฉินก็ไม่รู้…” เพื่อที่จะคลายความสงสัยในใจของเผิงซี เขาจึงเล่าเรื่องแผนการที่ปิดบังเจ้าหยวนเฉินออกมา
นี่ก็เพื่อทำให้หลานคนนี้รู้ว่าตัวเองไม่ได้โหดเหี้ยมถึงขนาดสังเวยชีวิตหลานอีกคนหนึ่ง แล้วก็เพื่อทำให้หลานคนนี้รู้ว่าฉันเชื่อใจแกมากกว่า เอาแผนการที่ไม่ยอมบอกเจ้าหยวนเฉินมาบอกแก
เผิงซีได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย “แผนการของพานหลิงอวิ๋นถือว่าฉลาดมากครับ ดูเหมือนเธอจะพยายามไม่น้อยเพื่อล้างอายฉินอี๋คนนั้น”
โจวหม่านเชาถอนใจพลางกล่าว “ฉินอี๋คนนั้น พวกเราประมาทเธอเกินไป หลังจากเธอรับช่วงต่อหอการค้าตระกูลฉินมาแล้ว เธอก็เอาแต่ทำการค้าอยู่ในเขตของตัวเอง ฉันเองก็ไม่ได้มองเธออยู่ในสายตา นึกว่าเป็นแค่เด็กที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เล็กคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เธอจะสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องเทพมหาวิญญาณ เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แสดงว่าเธอแอบเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว แอบซ่อนเขี้ยวเล็บของตัวเองเอาไว้ รอคอยโอกาสที่เหมาะสมถึงจะลงมือ พอลงมือก็คิดจะตัดสินแพ้ชนะกับตระกูลโจวกับตระกูลพาน พวกเราล้วนแต่ถูกเธอตบตา ฉินเต้าเปียนมีลูกสาวที่ดี!”
เผิงซีพยักหน้า “การตบหน้าพานหลิงอวิ๋ทำให้พวกเราได้สติขึ้นมา การตบหน้าครั้งนี้ถือเป็นการประกาศสงครามกับพวกเราอย่างเป็นทางการ กะอีแค่หอการค้าตระกูลฉิน กลับกล้ามาประกาศสงครามกับหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว ผู้หญิงคนนี้ใจเด็ดไม่แพ้ผู้ชายเลย คุณน้าครับ ผมอยากเจอกับผู้หญิงคนนี้หน่อยครับ!”
………………………………………………………………