ตอนที่ 58 ชอบหาเรื่องใส่ตัว
ลมหายใจของจูเก่อม่านถี่กระชั้นขึ้นมา มือกุมอยู่ที่ลำคอ แผ่นหลังค่อยๆ โค้งงอขึ้น ไม่นานใบหน้าก็ไม่มีสีเลือด ก่อนจะขาวซีดไปในพริบตา ท่าทางดูเจ็บปวดจนเหงื่อไหลซึมออกมา
หลัวคังอันตกตะลึงไปทันที มุมปากของจูเก่อม่านมีเลือดไหลซึมออกมา ก่อนจะค่อยๆ ไหลหยดออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นดวงตาของเธอค่อยๆ เหลือกขึ้น ล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างอ่อนแรง
เธอล้มลงไปกองกับพื้น ค่อยๆ ชักดิ้นชักงอขึ้นมา
“ชิบหายแล้ว!” หลัวคังอันร้องอุทาน โยนซิการ์ที่อยู่ในมือทิ้งไป ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป คุกเข่าพยุงจูเก่อม่านขึ้นมา รีบใช้พลังตรวจดูร่างกาย พบว่าชีพจรปั่นป่วน การตอบสนองภายในร่างกายผิดปกติอย่างรุนแรง จึงมั่นใจทันทีว่าถูกพิษเข้าแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเป็นยาพิษที่รุนแรงด้วย
“แม่งเอ้ย! มาใช้วิธีนี้กับฉัน เธอบ้าไปแล้วหรือไง?” หลัวคังอันมือไม้ปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ถ้าปล่อยให้จูเก่อม่านตายอยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็จะไม่สามารถอธิบายการตายของจูเก่อม่านให้ชัดเจนได้
ถ้าบอกว่าจูเก่อม่านฆ่าตัวตาย อาศัยเพียงคำพูดของเขา คนอื่นๆ จะเชื่ออย่างนั้นหรือ
กฎหมายของดินแดนเซียนไม่ได้มีไว้ให้ดูเฉยๆ อย่าคิดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้วจะสามารถฆ่าคนธรรมดาได้ตามอำเภอใจ
ถ้าอยากจะทำให้ศพหายไปอย่างเงียบๆ เกรงว่าเขาคงต้องคิดหาวิธีออกไปฆ่าคนปิดปากอีก ผู้หญิงคนนี้เรียกให้คนมาเปลี่ยนประตู เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่เธอเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่ เขายังต้องไปตามหาว่าประตูนี้ซื้อที่ไหน มีใครมาเปลี่ยนประตูบ้าง จากนั้นก็ต้องฆ่าปิดปากให้หมด
สรุปแล้วก็คือตอนนี้ไม่สามารถปล่อยให้เธอตายอยู่ที่นี่ได้
เขารีบพยุงเธอขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ประทับฝ่ามือไปบนแผ่นหลังของจูเก่อม่าน ถ่ายพลังเข้าไป
“พรืด!” จูเก่อม่านที่อยู่ในสภาพสลบไสลกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง
หลังช่วยเธอขับเอาพิษส่วนใหญ่ที่กินลงไปในท้องออกมาแล้ว หลัวคังอันก็ตวัดนิ้วทีหนึ่ง ภายในตู้ปลาที่อยู่ภายในห้องมีน้ำพุ่งออกมาสายหนึ่ง กรอกลงไปในปากของจูเก่อม่าน
หลังทำการล้างท้องซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง หลัวคังอันก็หยิบเอายาถอนพิษที่พกติดตัวเอาไว้ออกมาเม็ดหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะป้อนเข้าไปในปากจูเก่อม่าน ช่วยให้เธอกลืนลงไป จากนั้นก็ใช้พลังเร่งให้ยาออกฤทธิ์เร็วขึ้น
ทั้งสองคนเงียบเสียงลง ต่างนั่งอยู่บนพื้น หลัวคังกันประทับฝ่ามืออยู่บนหลังของจูเก่อม่าน ถ่ายพลังเข้าไปในร่างของเธอไม่หยุด
……
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ หลัวคังอันก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นพยุงจูเก่อม่านเอาไว้ ลุกขึ้นแล้วอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่โซฟาแล้วค่อยๆ วางเธอนอนลงไป
เขามองดูจูเก่อม่านที่นอนสลบไสล ถอนใจออกมาเบาๆ ทั้งรู้สึกโล่งใจและรู้สึกโชคดี
ถึงแม้ยาพิษจะเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรง แต่ดูแล้วจูเก่อม่านคงไม่สามารถหายาพิษที่ร้ายแรงจริงๆ มาได้ ยาพิษที่กินลงไปเป็นแค่ยาฆ่าแมลงที่มีฤทธิ์รุนแรงทั่วๆ ไปเท่านั้น
ด้วยประสบการณ์ในการเป็นผู้พิทักษ์เทพมาหลายปีของเขา ทำให้เขายังพอรับมือยาพิษธรรมดาๆ แบบนี้ได้อยู่
บอกได้เพียงว่าเขาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลา เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นยาพิษรุนแรงที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หลัวคังอันจ้องมองดูเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ หาผ้าขนหนูชุบน้ำมาผืนหนึ่ง ก้มตัวเช็ดคราบเลือดที่อยู่ตรงมุมปากจูเก่อม่านจนสะอาด
จากนั้นเขาก็หาผ้าห่มมาผืนหนึ่ง ห่มลงไปบนร่างของจูเก่อม่านอย่างแผ่วเบา
หลังถอยออกมายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาก็อยากจะอยู่เงียบๆ สักครู่ รู้สึกรำคาญแสงไฟที่สว่างจ้าอยู่ภายในบ้าน จึงเหวี่ยงมือออกไป ปิดไฟที่อยู่ภายในโถงรับแขก
เขาเหลียวหน้ากลับไปพบว่าไฟที่อยู่ภายในห้องครัวยังสว่างอยู่ จึงเดินไปที่ห้องครัว ในตอนที่ยื่นมือจะไปปิดไฟ เขาพบว่าบนโต๊ะมีอาหารจัดเรียงเอาไว้ในจานอย่างดี จึงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง มือที่แตะอยู่บนสวิตช์ยกออก เดินไปยังหม้อที่อยู่บนเตา มองดูอาหารที่อยู่ภายในหม้อ
เขาพบว่าทั้งอาหารที่อยู่บนโต๊ะและในหม้อล้วนแต่เป็นอาหารที่เขาชอบกิน
เขาหมุนตัวกลับอย่างเงียบๆ ในตอนที่เดินออกมาก็ยื่นมือไปปิดไฟ ลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งลงข้างโซฟาภายในความมืด สองมือออกแรงถูใบหน้า สุดท้ายเอามือยันขาทั้งสองข้าง นั่งก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย นั่งเฝ้าอยู่ภายในความมืดตลอดทั้งคืน….
………
หออวิ้นเสียที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เผิงซีที่มีผ้าคลุมอยู่บนตัวค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป เดินตามรอยเลือดที่หยดอยู่บนบันไดพลางสำรวจดู
เมื่อมาถึงห้องที่เจ้าหยวนเฉินถูกแขวนคอตาย เขาก็มองดูรอยเลือดที่จับตัวแห้งอยู่บนพื้น แล้วก็ยังมีร่องรอยบางส่วนที่ผู้พิทักษ์เมืองวาดเอาไว้ในตอนที่มาสืบสวน ค่อยๆ กวาดตามองดูห้องที่ยังคงอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงเหมือนอย่างในตอนแรก
สุดท้ายเขาก็เดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่าง แล้วก็ยังหันหน้ามองไปบนหลังคา หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง จมดิ่งอยู่ในความคิด
เขามาถึงตั้งแต่บ่ายแล้ว มาถึงอย่างรวดเร็ว ใช้อุโมงค์เคลื่อนย้ายเดินทางมาถึงเมืองปู๋เชวี่ยในพริบตา
ก่อนหน้านี้คนของผู้พิทักษ์เมืองยังทำการปิดพื้นที่เอาไว้เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เขาจึงเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ทันทีที่ผู้พิทักษ์เมืองเปิดพื้นที่ เขาก็เข้ามา
หลังยืนเงียบๆ อยู่ริมหน้าต่างครู่หนึ่ง เผิงซีก็กล่าวว่า “ฉันจะอยู่ที่นี่ เริ่มตั้งแต่คืนนี้เลย”
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างงุนงง เขากวาดตามองดูสภาพภายในห้อง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จะนอนอยู่ในที่ที่เพิ่งมีคนตายอย่างนั้นเหรอ? ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?
ผู้ช่วยคล้ายอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะห้ามปราม กล่าวว่า “ผมจะรีบให้คนมาเก็บกวาดครับ”
เผิงซีหันหลัง กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ต้อง ห้องนี้มีคุณค่า ฆาตรกรน่าจะเคยเดินเล่นอยู่ในห้องนี้ ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ พรุ่งนี้ตอนกลางวันฉันจะลองดูอีกทีหนึ่ง แค่เปลี่ยนพวกเครื่องนอนก็พอ”
“ครับ” ผู้ติดตามรับคำสั่งแล้วเดินออกไปตามคนมาจัดการ
มือที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมของเผิงซีหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเครื่องหนึ่ง กดโทรไปยังเบอร์เบอร์หนึ่ง วางโทรศัพท์ไว้แนบหู หลังได้ยินเสียงฮัลโหลออกมา ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “คนจากที่บ้านฝากให้ฉันมาทักทายนาย”
ปลายสายเงียบเสียงไป ก่อนจะถามว่า “มีอะไรให้รับใช้ครับ?”
“ฉันต้องการข้อมูลการสืบสวนอย่างละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ผู้พิทักษ์เมืองมีอยู่”
“กำลังทำอยู่ครับ แต่ว่าค่อนข้างลำบาก ขอเวลาผมหน่อย”
“เวลาน่ะมีเยอะ แต่ว่ามันไม่ใช่ของนายกับของฉัน ฉันให้เวลานายสองวัน ไม่เกินไปจากนั้น”
“สองวันจะเป็นไปได้ยังไง?”
“สิ่งที่มีอยู่เยอะที่สุดบนโลกนี้คือวิธีการ ถ้ามีปัญหาตรงไหน นายบอกฉัน ฉันช่วยนาย เราคิดหาวิธีด้วยกัน มีปัญหาก็แก้ไปทีละเรื่องๆ เดี๋ยวมันก็เร็วเอง….”
กระทั่งในตอนที่ผู้ติดตามกลับมา เผิงซีก็วางสายไป เขาเหลียวกลับมาพูดกับผู้ติดตามว่า “ให้คนจับตาดูเอาไว้ ถ้ารังของเฉาลู่ผิงกับผีหงยกเลิกปิดพื้นที่แล้วให้บอกฉันทันที ฉันอยากไปดูหน่อย”
“ครับ!” ผู้ติดตามรับคำสั่ง
………..
ช่วงเวลาเข้างาน ที่สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉินมีคนเดินไปเดินมา ขณะที่หลินยวนที่มัดผมรวบเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ เพิ่งจะจอดมอเตอร์ไซค์ รถคันหนึ่งก็เข้ามาจอดข้างๆ
หลินยวนเหลียวหน้ากลับไปมอง เห็นหลัวคังอันเปิดประตูแล้วเดินลงมา ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ บนรถมีผู้หญิงลงมาคนหนึ่ง หลัวคังอันยังยื่นมือจะไปพยุงเธอด้วย
แต่เธอกลับปัดมือของเขาออก กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้ คุณเองก็ไปทำงานเถอะ”
ผู้หญิงคนนั้นก็คือจูเก่อม่าน หลินยวนค่อนข้างหมดคำพูด ทั้งสองคนนี้เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ? เมื่อวานหลัวคังอันยังบอกเลยว่าเลิกกันเด็ดขาดแล้ว? ทำไมวันนี้ถึงยังอยู่ด้วยกันอีก?
เขาพบว่าคนประหลาดแบบหลัวคังอันนั้นเป็นคนที่ชอบเรื่องให้ตัวเองจริงๆ!
จูเก่อม่านเหลียวหน้ากลับมา ยิ้มเล็กน้อยให้หลินยวนพลางพยักหน้า “คุณหลิน”
ถึงแม้จะเป็นการทักทายเหมือนอย่างปกติ แต่รอยยิ้มนั้นกลับค่อนข้างฝืน
หลินยวนเองก็พยักหน้าทักทายเล็กน้อย เขาพบว่าสีหน้าของผู้หญิงคนนี้มิสู้ดีนัก ท่าทางดูไม่ค่อยสบายเท่าไร
คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่ทยอยเดินทางมาถึงก็สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ความจริงเรื่องราวเมื่อวานตอนเช้าของหลัวคังอันกับจูเก่อม่านได้ถูกพนักงานของหอการค้าตระกูลฉินจำนวนไม่น้อยนำเอาไปพูดต่อๆ กันแล้ว คำพูดแบบไหนก็มีทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเยาะเย้ยจูเก่อม่าน
แต่วันนี้กลับเห็นหลัวคังอันส่งจูเก่อม่านมาทำงานอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นหลัวคังอันยังมีท่าทางเป็นห่วงเป็นใยอย่างเห็นได้ชัด นี่ย่อมต้องทำให้บางคนรู้สึกประหลาดใจ
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวหลินยวนเองก็ประหลาดใจ
จูเก่อม่านเชิดหน้ายืดตัวเดินไป หลัวคังอันเห็นได้ชัดว่ายังไม่วางใจ เดินตามไปอีกสองสามก้าว กล่าวว่า “ไหวไหม? ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวฉันไปขอลาให้เธอเอาไหม”
จูเก่อม่านฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร”
หลัวคังอันมองส่งเธอ จู่ๆ พลันตะโกนขึ้นมาว่า “ถ้ามีอะไรก็บอกนะ เลิกงานเดี๋ยวฉันรอกลับพร้อมเธอนะ”
ปกติล้วนแต่เป็นฝ่ายหญิงที่ต้องกำชับเขาให้มารับเธอหลังเลิกงาน แต่วันนี้กลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอตัว
จูเก่อม่านเหลียวหน้ากลับมาโบกมือเพื่อบอกว่ารู้แล้ว จากนั้นรีบเดินเข้าไปในหอการค้าภายใต้สายตาของคนที่อยู่รอบข้างที่มองมา
หลินยวนเดินเข้าไป ยืนอยู่ข้างหลัวคังอัน ขณะที่มองดูจูเก่อม่านที่เดินไปก็คอยมองดูท่าทีของหลัวคังอันอยู่เป็นระยะ รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างอย่างชัดเจน
เขารอให้หลัวคังอันอธิบาย แต่วันนี้หลัวคังอันที่ปกติมักจะพูดมากคล้ายจะค่อนข้างเงียบขรึม เขาเหลียวหน้ากลับมามองหลินยวน กล่าวว่า “ไป ไปทำงาน” กล่าวจบก็เดินออกไปก่อน
หลินยวนงุนงง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตามไป
………
เดิมคิดเอาไว้ว่าพอเข้างานจะฉวยโอกาสตอนที่ฉินอี๋ยังไม่ยุ่ง เข้าไปคุยกับฉินอี๋ แต่สุดท้ายหลินยวนที่พบเจอเรื่องเหนือความคาดหมายก็กลับไปยังห้องพักผ่อนของตัวเองก่อน
หลินยวนที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องพักผ่อนดูคล้ายกระวนกระวายเล็กน้อย คอยเงี่ยหูฟังและเหลียวหน้ามองดูประตูอยู่เป็นระยะ
หลังนั่งรออยู่บนโซฟาครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกแปลกใจ ตามปกติหลัวคังอันน่าจะมาที่นี่แล้ว แต่วันนี้กลับไม่มา แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกแปลกใจได้อย่างไร
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็วางความคิดที่จะไปหาฉินอี๋เอาไว้ก่อน เพราะอย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังไม่รีบ จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพักผ่อน ตรงไปยังห้องทำงานของหลัวคังอัน
ช่วยไม่ได้ เขาไม่สามารถมองข้ามสถานการณ์ที่มีความผิดปกติอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นรอบกายเขาไปได้ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาจำเป็นต้องกำจัดปัจจัยที่ไม่ปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ภายในห้องมีเสียงเนือยๆ ของหลัวคังอันดังออกมา “เข้ามา”
หลินยวนเปิดประตูเดินเข้าไป ก่อนจะเห็นหลัวคังอันนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ขาทั้งสองข้างวางพาดอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง มือคีบซิการ์ที่จุดไฟเอาไว้แล้วมวนหนึ่งค่อยๆ ยัดเข้าไปในปาก
เมื่อเห็นเขา หลัวคังอันก็ยิ้มขึ้นมา แต่เป็นยิ้มที่ดูฝืนๆ “ไง ปกติรังเกียจฉันมากไม่ใช่เหรอ วันนี้ลมอะไรหอบนายมาที่นี่ได้?”
หลินยวนประหลาดใจอีกครั้ง หลงนึกว่าคนผู้นี้จะไม่รู้ตัวเสียอีก ที่แท้ก็รู้ตัวว่าตัวเองถูกรังเกียจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมปกติถึงยังหน้าด้านหน้าทนได้อีก ดูเหมือนหนังหน้านี้จะไม่ได้หนาธรรมดาๆ ซะแล้ว
“พี่เลิกกับจูเก่อม่านคนนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” หลินยวนเดินไปตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยถาม
หลัวคังอันสูบซิการ์ แค่นหัวเราะเล็กน้อยพลางกล่าว “เรื่องส่วนตัว ไม่อยากพูด”
เมื่อเห็นเขากล่าวเช่นนี้ หลินยวนก็ไม่ถามมากอีก หากแต่เดินไปยังริมโซฟาที่อยู่อีกด้าน ค่อยๆ นั่งลงไป นั่งพิงไปเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ซิการ์ถูกดูดไปเกือบครึ่งแล้ว หลัวคังอันบิดตัวเล็กน้อย จู่ๆ พลันถอนใจพลางกล่าว “เรื่องน่าอายในครอบครัว!”
หลินยวนยังคงไม่พูด เขาไม่เชื่อว่าคนปากมากผู้นี้จะทนได้
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด หลัวคังอันกล่าวพึมพำออกมาอีกประโยค “เมื่อวานเธอกินยาพิษฆ่าตัวตาย”
“ใคร?” หลินยวนตกตะลึง กล่าวถามต่อว่า “จูเก่อม่าน?”
หลัวคังอันพยักหน้า “เกือบตาย เมื่อวานหลังออกมาจากโรงอีหลิว พอกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าล็อกประตูถูกเปลี่ยน ไม่สิ ประตูถูกเปลี่ยนไปทั้งบานเลยต่างหาก ฉันนึกว่าตัวเองเดินไปผิดบ้านเสียอีก…” เขาบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมา
บอกเล่าอย่างละเอียด เรียกได้ว่าละเอียดยิ่งกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเสียอีก
นี่เป็นนิสัยของเขา ไม่มีอะไรพูดก็ยังหาเรื่องออกมาพูดได้ ถ้ามีอะไรให้พูดก็จะบรรยายเสียจนเห็นภาพ เป็นคนที่มีอะไรแล้วมักจะแต่งเติมให้มันดูเกินจริงอยู่เสมอ
…………………………………………………………………