ตอนที่ 65 ไม่กล้าเข้าใกล้
สายตาของหลินยวนวูบไหวไปมา “แล้วเขายังพูดอะไรอีก?”
จางเลี่ยเฉินกวนทัพพีในกระทะ “ไม่มีแล้ว มีแค่นี้”
หลินยวนไม่พูดอะไรอีก ยืนมองดูอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับไปที่ห้องโดยไม่พูดอะไร
เขาปิดประตู เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง พอจะคาดเดาได้แล้วว่าคนที่ซื้อเบอร์โทรศัพท์เป็นใคร น่าจะเป็นเผิงซีคนนั้น อีกฝ่ายอยู่ที่หออวิ้นเสียอย่างนั้นหรือ?
หออวิ้นเสียถูกเขากวาดล้างไปแล้ว ผู้คุ้มกันที่กระจายตัวอยู่รอบๆ หออวิ้นเสียเหล่านั้นถูกเขาฆ่าตายไปจนหมด เรียกได้ว่าเพิ่งจะมีคนตายไปได้ไม่นาน ตามปกติแล้วใครจะไปอยู่ในที่แบบนี้? ที่อีกฝ่ายเข้าอยู่ในหออวิ้นเสีย เป็นไปได้มากว่าจะเข้าไปทำการสืบสวนสถานที่เกิดเหตุ
ผู้พิทักษ์เมืองได้ทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุไปแล้ว แล้วเผิงซีคนนั้นยังจะเข้าไปตรวจสอบอีก นี่มันหมายความว่ายังไง เขายังจะสืบอะไรได้?
แน่นอนว่าการกระทำที่ผิดปกติของเผิงซีได้กระตุ้นความหวาดระแวงของเขาขึ้นมาแล้ว ความระแวดระวังตรงนี้เขายังคงมีอยู่
สถานที่เกิดเหตุ? หลินยวนที่นั่งลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาพบว่าตัวเองเลินเล่อไปชั่วขณะ นกบินผ่านย่อมมีเสียง คนเดินผ่านย่อมทิ้งร่องรอย ยากจะมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกพบเบาะแสอะไร
สำหรับเขาแล้ว ความตายของตัวเองนั้นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือคนที่เขาเกี่ยวพันด้วยเหล่านั้น ไม่ใช่แค่คนบางส่วนในเมืองปู๋เชวี่ยเท่านั้น
ทันทีที่ตัวตนที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้ของเขาเปิดเผยออกไป คนบางคนที่ไปมาหาสู่กับตัวตนที่เป็นฉากหน้าของเขาอย่างเปิดเผยจะต้องถูกจับตามอง แล้วก็มีโอกาสที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกไป ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นร้ายแรงจนไม่อยากจะคิด
เขานั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวเป็นเวลานาน กระทั่งจางเลี่ยเฉินตะโกนเสียงดังเขาถึงจะได้สติกลับมา จึงออกมานั่งเป็นเพื่อนจางเลี่ยเฉินในสวน ดื่มด่ำกับอาหารและสุราที่จัดวางอยู่เต็มโต๊ะ
ระหว่างที่กินข้าว จางเลี่ยเฉินยังคงตื่นเต้นอยู่กับเรื่องเงินหนึ่งแสนมุกนั่น แต่หลินยวนกลับดูเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด
จางเลี่ยเฉินที่ถูกท่าทีน่าเบื่อของหลินยวนทำให้หมดสนุกยังคงไม่ลืมที่จะเตือนเรื่องค่ากินค่าอยู่หนึ่งพันมุก บอกหลินยวนว่าอย่ากลืนน้ำลายตัวเอง
หลังกินอาหารเสร็จ หลินยวนบอกว่าจะกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ห้อง จากนั้นก็ขังตัวเองเอาไว้ในห้อง
กระทั่งช่วงเวลากลางดึก ในตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน หลินยวนก็เปิดประตูห้องออกมาเบาๆ จากนั้นปิดประตูอย่างแผ่วเบา กระโดดข้ามกำแพงสวนออกมา หายตัวไปในความมืดมิด
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมา
จางเลี่ยเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงไปอีกครั้ง…
……
ณ หออวิ้นเสีย แสงไฟสว่างไสว
เสียงกระดิ่งลมดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นมาเป็นครั้งคราว ไพเราะเสนาะหู
จู่ๆ พานหลิงอวิ๋นที่ยืนมองอาคารฝั่งตรงข้ามอยู่ใต้ชายคาก็เอ่ยออกมา “พวกเผิงซียังไม่กลับมาเหรอ?”
โกวซิงกล่าว “ยังไม่กลับมาครับ”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “หาเจอไหมว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน?”
โกวซิงกล่าว “ไม่ทราบว่าไปไหนครับ พวกเขาบอกเพียงแต่ว่าออกไปทำธุระ”
พานหลิงอวิ๋นขมวดคิ้วขึ้นมา ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหาเผิงซี กล่าวถามว่า “นายอยู่ไหน?”
เสียงของเผิงซีดังขึ้นมา “มีธุระนิดหน่อย ยังไม่สะดวกคุย”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “คนของพวกนายเหมือนจะออกไปจากหออวิ้นเสียจนหมดเลย”
เผิงซีกล่าว “ใช่ เดี๋ยวกลับไปเจอเธอดึกหน่อย”
หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย พานหลิงอวิ๋นก็หันมองซ้ายมองขวาพลางกล่าว “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเผิงซีคนนี้มันแปลกๆ”
โกวซิงกล่าวว่า “ตอนนี้เปิดใช้งาน ‘ข่ายพลังสัตว์เทวะจตุรทิศ’ แล้ว คนนอกยากจะเข้าใกล้ที่พักของเราได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ล่ะก็ นอกเสียจากคนที่บุกเข้ามาจะมีสภาวะอยู่ในขั้นเซียนเทพ ไม่อย่างนั้นข่ายพลังก็สามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้พักหนึ่ง เพียงพอให้ผู้พิทักษ์เมืองมาช่วยเหลือครับ”
ด้านข้างมีผู้ชายสองคน คนหนึ่งชื่อว่านเฉาจื่อ อีกคนหนึ่งชื่อเหลียนเซี่ยว เมื่อทั้งคู่ได้ยินเช่นนี้ก็สบตากัน
เหลียนเซี่ยวยิ้มพลางกล่าวว่า “หอการค้าตระกูลพานนี่ร่ำรวยอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะพกเอาข่ายพลัง ‘สัตว์เทวะจตุรทิศ’ ติดตัวมาด้วย แต่มีพวกเราสองคนมาด้วย คุณหนูพานไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
ทั้งสองคนคือคนที่ทางเมืองเทียนกู่ส่งให้เดินทางมาเป็นเพื่อนพานหลิงอวิ๋นในครั้งนี้ ลำดับขั้นในเมืองเทียนกู่เป็นรองเพียงหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองเทียนกู่ เป็นเจ้าหน้าที่เซียนระดับหก เหิงเทาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยเองก็อยู่แค่ระดับห้าเท่านั้น
การที่สามารถไหว้วานให้สองคนนี้เดินทางมาเป็นเพื่อนได้ ทางพานชิ่งผู้เป็นประธานหอการค้าตระกูลพานเองก็พยายามอย่างมากในการไปขอร้องทางเจ้าเมืองมู่ชิงโหรว ด้วยกลัวว่าถ้าส่งเจ้าหน้าที่ระดับต่ำเกินไปมาจะไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของบุตรสาวได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทางการของเมืองปู๋เชวี่ย
และการที่ให้บุตรสาวนำเอา ‘ข่ายพลังสัตว์เทวะจตุรทิศ’ มาด้วย ก็ย่อมเป็นเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของบุตรสาว การตายของเจ้าหยวนเฉินทำให้พานชิ่งต้องระมัดระวัง ในตอนที่ยังไม่รู้ว่าใครคือคนร้าย เขาย่อมต้องเพิ่มการป้องกันให้มากกว่าเดิม
ข่ายพลังสัตว์เทวะจตุรทิศถือเป็นข่ายพลังป้องกันในระดับสูงแล้ว มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ราคาเองก็สูงอย่างมากด้วยเช่นกัน ส่วนหินวิญญาณพลังงานที่ต้องใช้ในการเปิดใช้งานข่ายพลังเองก็มิใช่จำนวนน้อยๆ นี่มิใช่ข่ายพลังที่คนธรรมดาจะใช้ได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงถูกเหลียนเซี่ยวชมว่ารวยจริงๆ
พานหลิงอวิ๋นปรายตาไปทางโกวซิงเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวไปหาสองคนนั้น ค้อมกายเล็กน้อยพลางกล่าว “ท่านเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสองท่านเข้าใจเจตนาฉันผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัย เพียงแต่รู้สึกว่าการกระทำของเผิงซีคล้ายจะแปลกๆ” คำพูดนี้ก็เป็นการพูดกับโกวซิงด้วยเช่นกัน
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีลมพัดหวีดหวิวและเมฆลอยเอื่อย นกเผิงปีกทองที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งกำลังโบยบินไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งดาวตกที่พุ่งผ่านไปบนท้องฟ้า
บนแผ่นหลังของนกเผิงปีกทอง ในพื้นที่ขนาดเล็กมีคนยืนอยู่สิบกว่าคน ความจริงแล้วต่อให้ยืนเป็นร้อยคนก็ไม่มีปัญหา
เผิงซีวางโทรศัพท์ในมือที่เพิ่งจะคุยเสร็จลง “ยังโทรมาหาฉันได้ ดูเหมือนตอนนี้พานหลิงอวิ๋นจะยังปลอดภัยอยู่”
ชิงจั๋วรู้สึกเหมือนท่านผู้นี้จะคิดมากไปหน่อย ต่อให้มีฆาตกรที่ร้ายกาจเช่นนั้นอยู่จริงๆ อีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะกล้าปรากฏตัว แต่ปากเขากลับมิได้กล่าวเช่นนี้ “คุณชายครับ อีกไม่นานเราก็จะถึงแล้ว ทันทีที่กลับไปถึงเมืองฝูปอ เกรงว่าเรื่องที่พวกเราออกมาจากเมืองปู๋เชวี่ยคงจะปิดเอาไว้ไม่ได้อีก พานหลิงอวิ๋นจะต้องรู้ตัวแน่ว่ามีปัญหา หลังจากนี้ไม่แน่ว่าจะอยู่ที่หออวิ้นเสียต่อไปนะครับ”
เผิงซีกล่าว “พวกเราออกมาแล้ว เธออยู่ต่อ ตอนนี้เธอก็กลายเป็นเหยื่อไปแล้ว จะออกมาจากหออวิ้นเสียหรือไม่นั้นไม่สำคัญอีก ทำไมถึงต้องเข้าไปอยู่ในหออวิ้นเสียจะกลายเป็นคำถามสำหรับฆาตกร หากฆาตกรอยากจะปิดบังอะไร เขาก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าพานหลิงอวิ๋นเข้าไปที่นั่นทำไม หรือว่านายไม่เคยได้ยินว่าคนทำผิดมักจะกระวนกระวายว่าจะถูกคนอื่นรู้เข้า? ขอเพียงเธอยังอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย มันก็มีโอกาสที่ฆาตกรจะไปหาเธอ”
ชิงจั๋วกล่าว “ถ้าผมเป็นฆาตกร เกรงว่าผมคงจะหนีออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยทันทีที่ก่อเรื่อง”
เผิงซีกล่าว “มันก็มีความเป็นไปได้นี้อยู่ แต่ความเป็นไปได้ตรงนี้ก็ให้พานหลิงอวิ๋นเป็นคนไปทดสอบเองก็แล้วกัน พวกเราหลบไปก่อนดีกว่า”
ตัวเขานั้นอยากให้ฆาตกรปรากฏตัว หอการค้าตระกูลโจวเสียคนไปคนหนึ่ง กลายเป็นตัวตลกในสายตาหอการค้าตระกูลพาน เขาจึงอยากจะเอาคืน
ในเวลานี้เอง บนผืนดินที่ดำมืดและขมุกขมัวตรงเบื้องหน้าพลันมีเงาร่างสีดำขนาดใหญ่ยักษ์เงาหนึ่งตั้งตระหง่านขึ้นมา บนพื้นมีฝุ่นควันคละคลุ้ง เงาร่างสีดำหักยอดเขาลูกหนึ่งออกมา ก่อนจะออกแรงขว้างขึ้นมาบนอากาศอย่างรุนแรง พุ่งตรงเข้ามาหานกเผิงปีกทองที่กำลังโบยบินไปข้างหน้า ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ภูเขาลูกหนึ่งพุ่งเข้ามา นกเผิงปีกทองตกใจจนบินสะเปะสะปะ ยากจะหลบหนีภูเขาที่พุ่งเข้ามาได้
คนที่ยืนอยู่บนหลังนกเผิงที่กำลังบินฉวัดเฉวียนพากันตกใจ สายตาต่างมองไปยังเชอมั่ว
เชอมั่วยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา แสงสีเขียวสายหนึ่งรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเงากระบี่เลือนรางที่มีความยาวหลายจ้างขึ้นมาเล่มหนึ่ง
เชอมั่วเหวี่ยงมืออกไป เงากระบี่เลือนลางสาดลำแสงออกไป ทะลวงเข้าไปในภูเขาที่พุ่งเข้ามา
เพียงพริบตาร่างของเชอมั่วก็ย้ายตำแหน่ง ไปยืนอยู่ตรงหัวของนกเผิง อาภรณ์พลิ้วไหว แขนทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง ผมยาวปลิวไสว
ขณะที่ภูเขาลูกใหญ่กำลังเข้ามาปะทะ เขาพลันสะบัดแขนออกไป ภายในภูเขาลูกใหญ่ที่พุ่งเข้ามามีแสงสีเขียวนับร้อยนับพันสายสาดกระจายออกมา
ตู้ม! เสียงดังกัมปนาท ฉีกกระชากภูเขาทั้งลูกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที
ร่างของเชอมั่วที่ยืนอยู่บนหัวนกเผิงมีลมปราณคอยคุ้มครองอยู่เบื้องหน้า ลมปราณที่ปล่อยออกมาคอยปกป้องเศษภูเขาที่ระเบิดออกให้แก่นกเผิงปีกทอง
เพียงพริบตา นกเผิงปีกทองก็บินออกมาจากความวุ่นวาย รีบกระพือปีกโบยบินออกไปคล้ายยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่
แสงสีเขียวนับร้อยนับพันสายค่อยๆ เลือนหายไป ค่อยๆ สลายหายไปในความว่างเปล่า
หลังรอดพ้นออกมาจากอันตราย เผิงซีที่สงบเยือกเย็นมองดูแผ่นหลังที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “สมแล้วที่เป็นเซียนยกระบี่เชอมั่ว”
“อ๊ากกก….” ไม่รู้ว่าเงาสีดำขนาดมหึมาที่อยู่เบื้องล่างคือสิ่งใด เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวทำเอาเหล่าสัตว์ป่าต่างตกใจจนวิ่งหนีไป หมุนตัวมองดูเหยื่อที่หลุดมือหนีออกไปไกล
ไม่ว่าดินแดนเซียนจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไร แต่โดยพื้นฐานแล้วมันยังคงเป็นดินแดนโบราณที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่ สำหรับคนจำนวนมากแล้ว เมืองที่อยู่อาศัยที่มีข่ายพลังคอยป้องกันนั้นมีความปลอดภัย แต่ขอเพียงออกมาจากเมืองที่เป็นเขตชุมชนอยู่อาศัย โลกภายนอกนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอันตรายต่างๆ นาๆ สัตว์ร้ายต่างๆ เดินเพ่นพ่าน…
……
ภายในภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ หออวิ้นเสีย ภายในรูแห่งหนึ่ง เหิงเทายืนมือไพล่หลังอยู่ด้านใน จ้องมองหออวิ้นเสียที่มีแสงไฟสว่างไสวผ่านทางรูรูนั้น
ด้านหลังเขามีงูยักษ์ที่มีขนาดลำตัวใหญ่เหมือนโต๊ะกลมตัวหนึ่งนอนขดอยู่ ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเหลืองน้ำตาล ลิ้นสีดำแลบแผล่บๆ ออกมาเป็นระยะ มีดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง บนศีรษะมีเขาเขาหนึ่งงอกยาวออกมา ขนาดความยาวเกรงว่าจะยาวถึงร้อยจ้าง มีชื่อว่ามังกรดิน
ขนาดลำตัวอันมหึมาของมังกรดินที่นอนขดอยู่ทำเอาเหิงเทาที่ยืนไพล่หลังอยู่ดูเล็กจ้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด ด้านซ้ายขวาของเหิงเทามีผู้พิทักษ์เมืองที่สวมเกราะรบอยู่ร้อยกว่าคน
ผู้พิทักษ์เมืองนายหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากในความมืด ประสานมือกล่าวรายงาน “ภายในหออวิ้นเสียดูเหมือนปกติ ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นครับ”
เหิงเทากล่าว “คนเข้าประจำที่กันหมดหรือยัง?”
ผู้พิทักษ์เมืองกล่าวตอบ “เข้าประจำที่หมดแล้วครับ ติดอาวุธพร้อม มังกรดินสิบสองตัวเองก็ประจำตำแหน่งทั้งหมดแล้วเช่นเดียวกัน เทพมหาวิญญาณที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพพร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อครับ ขอเพียงฆาตกรกล้าออกมา ก็อย่าได้คิดที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ง่ายๆ ครับ”
เหิงเทาพยักหน้าเล็กน้อย “ให้ทุกคนรอก่อน”
“ครับ” ผู้พิทักษ์เมืองรับคำแล้วเดินจากไป
ความจริงเหิงเทาที่จ้องมองดูโลกภายนอกก็ไม่รู้เช่นกันว่าฆาตกรจะปรากฏตัวหรือเปล่า จดหมายที่ไม่ระบุชื่อฉบับนั้นก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ เขายอมเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้มากกว่าที่จะเชื่อว่ามันไม่มี และนี่ก็เป็นความคิดของลั่วเทียนเหอหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้
…..
ตรงริมยอดไม้ของไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป หลินยวนที่สวมผ้าคลุมสีดำเอามือเท้ากิ่งไม้ แหวกใบไม้ที่บังสายตาตรงเบื้องหน้าออก จ้องมองดูหออวิ้นเสียที่อยู่ไกลออกไป
ในลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ใต้เท้าเขามีแสงไฟส่องสว่างออกมาไม่น้อย เสียงคนดังแว่วออกมาเป็นระยะ มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ถึงแม้ต้นไม้ต้นนี้จะไม่ได้ใหญ่เหมือนอย่างต้นไม้ของหอการค้าตระกูลฉิน แต่ด้านในก็เพียงพอที่จะบรรจุคนจำนวนไม่น้อย
หลินยวนไม่สนใจเสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาจากด้านล่าง เนตรทิพย์คู่หนึ่งจ้องมองดูหออวิ้นเสียที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบๆ สำรวจดูอยู่เป็นเวลานาน
จะเข้าไปหรือไม่เข้าไป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายในหออวิ้นเสีย มีโอกาสสูงมากที่ผู้พิทักษ์เมืองจะคอยจับตาดูอยู่หลังเกิดเรื่องครั้งที่แล้ว
เจ้าหยวนเฉินตายไป เผิงซีเข้าไปอยู่ที่นั่นอีก แล้วเขาจะไม่เตรียมตัวได้หรือ?
‘หยุดฝัน’ นั้นเหมาะแค่สำหรับการลอบโจมตี สภาวะของเขาในตอนนี้ลดลงจากเดิมอย่างมาก ไม่รู้ว่าในนั้นมีใครอยู่บ้าง จึงไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองตอนนี้มีคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่ ลั่วเทียนเหอ!
เมื่อไม่กล้าเข้าไปใกล้หออวิ้นเสีย เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ติดต่อกวนเสี่ยวไป๋ “ฉันเอง”
กวนเสี่ยวไป๋ “มีอะไร?”
หลินยวนกล่าว “ช่วยฉันเตรียมของบางอย่างหน่อย…”
หลังวางสายก็หมุนตัวไป พุ่งตัวเข้าไปในพุ่มไม้ กระโดดลงไปในพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ด้านล่าง ล่าถอยออกไปภายใต้ความมืดโดยมีพุ่มไม้คอยอำพรางกาย…
ภายในร้านรับซื้อของเก่า รถคันหนึ่งแล่นออกไป วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ ก็หักเลี้ยวเข้าไปในที่รกร้างภายในเมืองที่อยู่ระหว่างทาง รถจอดอยู่ด้านนอกหลุมแห่งหนึ่ง กวนเสี่ยวไป๋เปิดประตูลงมาจากรถ หิ้วกระเป๋าออกมาด้วยใบหนึ่ง สายตากวาดมองไปรอบด้าน
จู่ๆ เขาพลันได้ยินเสียงเท้า จึงหมุนตัวหันไปมอง ก่อนจะเห็นหลินยวนค่อยๆ เดินออกมาจากในหลุมภายใต้แสงดาว
ที่นี่คือสถานที่ที่หลินยวนจัดการกับซินกว่างเฉิงที่เป็นผู้จัดการแผนกธุรการของหอการค้าตระกูลฉินครั้งที่แล้ว
………………………………………………………………