ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 68 รู้สึกโง่จนอยากจะร้องไห้แล้วใช่หรือเปล่า

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 68 รู้สึกโง่จนอยากจะร้องไห้แล้วใช่หรือเปล่า?

ผู้พิทักษ์เมืองนายนั้นไม่สามารถหลบหนีไปได้ จึงได้แต่ต้องเดินออกมาท่ามกลางสายตาของคนจำนวนมากที่จับจ้องอยู่ เดินมาตรงหน้าเหิงเทา ก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทางเชื่อฟัง

ทุกคนต่างทราบดี ในเวลานี้หัวหน้าเหิงจะต้องโมโหอย่างมากแน่นอน

เหิงเทาจ้องมองเขา “เห็นก็บอกว่าเห็น ไม่เห็นก็บอกไม่เห็น อะไรคือเหมือนจะ? เรื่องแบบนี้ใช้การคาดเดาได้ด้วยเหรอ?”

ผู้พิทักษ์เมืองนายนั้นกล่าวอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย “ผมเห็นแค่ว่ามีผู้พิทักษ์เมืองสองนายได้รับบาดเจ็บแล้วล่าถอยออกไป ผมรีบจะเข้าไปช่วยทำการล้อมจับ เลยไม่ได้คอยจับตาดูพวกเขาเอาไว้ครับ”

เขากล่าวมาเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้

“แต่ว่า…” ผู้พิทักษ์เมืองคนนั้นกล่าวอย่างลังเลอีกประโยคหนึ่ง

เหิงเทาตะคอกทันที “อย่ามัวอ้ำๆ อึ้งๆ แต่ว่าอะไร?”

ผู้พิทักษ์เมืองนายนั้นหันกลับไปมองทุกคน ก่อนจะหันกลับมาตอบว่า “ผมเห็นผู้พิทักษ์เมืองที่ได้รับบาดเจ็บสองคนนั้น ทั้งคู่ใบหน้าอาบเลือด แล้วก็ยังมีคนหนึ่งที่มีหนวดเคราเฟิ้มรุงรัง ตอนที่ท่านหัวหน้าบอกให้ทุกคนตรวจสอบดูกลุ่มของตัวเองเมื่อครู่นี้ ผมก็รู้สึกสงสัยนิดหน่อย จึงคอยสังเกตดูกลุ่มผู้พิทักษ์เมืองของพวกเรา แต่ในกลุ่มผู้พิทักษ์เมืองของพวกเราเหมือนจะไม่มีทั้งสองคนนั้นครับ”

นี่ถือเป็นคำยืนยัน เหิงเทายกมือตบไหล่เขา เดินผ่านตัวเขาไป หันหน้าไปหาทุกคน กล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “ตาบอดกันหมดหรือไง? ฉันไม่เชื่อว่าจะมีเขาคนเดียวที่เห็น คนที่เห็นรีบก้าวออกมายืนยันให้ชัดเจน ถ้าปิดบังไม่ยอมรายงาน ทันทีที่ตรวจสอบพบจะถือว่ามีความผิดเสมือนการช่วยเหลือคนร้าย ไม่มีการผ่อนปรนเด็ดขาด!”

เขาจำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ท่านเจ้าเมืองคอยจับตาดูอยู่ข้างบน ถ้าตรวจสอบไม่ชัดเจนล่ะก็ เขาก็ไม่สามารถไปอธิบายกับทางท่านเจ้าเมืองได้

ภายใต้การข่มขู่ของเขา ก็มีคนทยอยก้าวออกมา บอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น

สถานการณ์ที่แต่ละคนเล่าออกมาก็เป็นเหมือนอย่างที่ผู้พิทักษ์เมืองคนแรกว่ามา มีคนอื่นบอกว่ามองเห็นผู้พิทักษ์เมืองสองคนบาดเจ็บและล่าถอยไป แล้วตอนนั้นใครจะไปขวางเอาไว้ล่ะ? เหตุผลแรกคือทุกคนรีบไปทำการล้อมจับคนร้าย เหตุผลต่อมาคือเป็นผู้พิทักษ์เมืองด้วยกัน ล่าถอยออกไปเพราะได้รับบาดเจ็บแล้วแปลกตรงไหนล่ะ? ผู้พิทักษ์เมืองมีเจ้าหน้าที่ตั้งเยอะแยะมากมายขนาดนี้ การที่มีคนไม่รู้จักก็นับเป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นจึงไม่มีใครสนใจพวกเขาสองคน

สีหน้าของเหิงเทาดูแย่อย่างมาก ข้อสรุปที่ได้มาจากปากคำของทุกคนทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้เดาผิด ฆาตกรสังหารผู้พิทักษ์เมืองสองคนก่อน ขโมยเอาชุดเกราะของผู้พิทักษ์เมืองทั้งสองคนมา จากนั้นวิ่งมาที่นี่แล้วใช้ระเบิดสร้างความวุ่นวาย ปะปนกับกลุ่มผู้พิทักษ์เมืองเข้ามาที่นี่ ฉวยโอกาสตอนที่ทำการตรวจค้นหลบเข้าไปอยู่ในที่พักของพานหลิงอวิ๋น

หลังฆาตกรลงมือสำเร็จ เขาก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ใช้ความวุ่นวายล่อให้ผู้พิทักษ์เมืองกลับมา จากนั้นฉวยโอกาสจากความวุ่นวายหลบหนีออกมาอีกครั้ง

ทั้งๆ ที่มีเขาคอยจับตาดูอยู่ ทั้งๆ ที่มีผู้พิทักษ์เมืองจำนวนมากคอยปิดล้อม แต่ฆาตกรก็ยังเข้าๆ ออกๆ ที่นี่อย่างไม่เกรงกลัว ไม่ได้เห็นกองกำลังที่เหิงเทาวางเอาไว้อยู่ในสายตา เข้าออกที่นี่อย่างสบายใจ นี่มันหมายความว่ายังไง? ทั้งอวดดี ทั้งเหิมเกริม เป็นเรื่องที่เหิงเทาไม่อาจยอมรับได้!

เหิงเทาที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งกำหมัดแน่น กรามขบกันแน่นจนเผยให้เห็นฟัน ฆาตกรกำลังหยามตัวเขาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยชัดๆ!

สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอเรื่องแบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างมาก!

ภายในใจลอบนึกแค้น ฆาตกรคนนั้นอย่าได้ตกอยู่ในมือเขาจะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นเขาจะต้องทำให้ฆาตกรคนนั้นนึกอยากตายเสียดีกว่าอยู่ เสียใจไปตลอดชีวิต!

เหิงเทาหลับตาพลางแหงนหน้ามองฟ้า ถ้าส่งคนออกไปค้นหาอีกครั้งจะจับตัวคนร้ายได้หรือเปล่า? ถ้าจับได้ก็แปลกแล้ว เกรงว่าคนร้ายคงจะหนีไปไหนแล้วไม่รู้

เหิงเทาลืมตา หมุนตัวมองไปบนกำแพงน้ำแข็ง พยายามสงบสติอารมณ์ เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว จะปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองรอต่อไปไม่ได้

ร่างกายวูบไหว เขาบินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ประสานมือคารวะ “ท่านเจ้าเมือง”

ลั่วเทียนเหอยืนมองอยู่ด้านบนครู่ใหญ่ ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เกิดอะไรขึ้น? เหิงเทายากจะเอ่ยปากออกไปได้จริงๆ เขาทำได้เพียงต้องรายงานไปตามความจริง “พานหลิงอวิ๋นน่าจะถูกคนจับตัวไปแล้วครับ…” เขาเล่าสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบออกมาอย่างละเอียด ยิ่งเล่ายิ่งรู้สึกหวาดกลัว เพราะเขามองออกว่าสีหน้าของท่านเจ้าเมืองดูแปลกไปแล้ว

ลั่วเทียนเหอที่ฟังรายงานจนจบแค่นหัวเราะออกมาไม่หยุด เรียกได้ว่าโมโหจนหัวเราะออกมา “ฉันเห็นพวกนายบินขึ้นบินลงที่นี่ ยังนึกว่าพวกนายล้อมจับคนร้ายได้แล้ว วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้กลับกำลังเล่นละครให้ฉันดู คนร้ายไม่รู้หนีไปไหนแล้ว พวกนายยังมาเล่นสนุกอยู่ที่นี่ พวกนายเล่นอะไรกันเหรอ? แสดงกันดีจริงๆ ทำเอาฉันต้องมาแสดงละครเป็นเพื่อนพวกนายอยู่ตั้งนาน!”

ดูเหมือนเป็นคำพูดติดตลก แต่ความจริงมันได้แสดงถึงความรู้สึกโกรธเกรี้ยวภายในใจเขา

ไม่ให้โกรธก็คงจะยากแล้ว ครั้งนี้เท่ากับตัวเขาที่เป็นเจ้าเมืองปู๋เชวี่ยลงมือด้วยตัวเอง แต่กลับปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้ ตัวเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เหิงเทาค้อมกายด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด “เป็นผู้น้อยที่ไร้ความสามารถ”

ลั่วเทียนเหอกล่าว “ไร้ความสามารถเหรอ? อย่างน้อยคนที่ไร้ความสามารถมันก็ไม่ได้ตาบอด อย่างน้อยก็ยังมองออกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วพวกนายล่ะ? มีแต่พวกโง่! คนร้ายวิ่งไปวิ่งมาอยู่ตรงหน้าพวกนาย คนร้ายอยากจะเล่นยังไงก็เล่น เล่นเบื่อแล้วก็ไม่อยู่เล่นต่อเป็นเพื่อนพวกนายแล้ว แต่พวกนายกลับยังเล่นอยู่กับพวกมังกรดิน รู้สึกว่าตัวเองโง่จนอยากจะร้องไห้แล้วใช่หรือเปล่า?”

คงไม่ถึงขนาดโง่จนร้องไห้ แต่เหิงเทาถูกเขาด่าจนใกล้จะร้องไห้แล้ว อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ค้อมกายอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้อีกฝ่ายด่าทอต่อว่า

“ก่อนหน้านี้ถูกฆ่าตายไปสามที่ พพวกนายรู้เรื่องทีหลังก็ว่าไปอย่าง แต่ครั้งนี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนร้ายจะมา แต่พวกนายกลับตาบอดมองไม่เห็น! เหิงเทา คนร้ายมันไม่ได้หนีออกไปแค่คนเดียวนะ มันยังอุ้มคนทั้งคนออกไปต่อหน้านายด้วย นี่มันหมายความว่ายังไง? นี่มันน่าโมโห โอหังอวดดียิ่งกว่าการสังหารก่อนหน้านี้อีก นี่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เห็นพวกนายอยู่ในสายตาเลย! นายทำงานประสาอะไร ขายหน้าหรือเปล่า?”

เหิงเทาเหงื่อตก โค้งกายต่ำลงกว่าเดิม

ผิดก็ผิดไปแล้ว ผิดจนไม่มีแรงจะอธิบาย ถูกคนร้ายจับคนไปต่อหน้า ตัวเองกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย นึกอยากจะตบปากตัวเองสักหลายที แล้วยังจะมีหน้าไปอธิบายอะไรได้? เกรงว่าอธิบายไปแล้วจะยิ่งทำให้เจ้าเมืองโมโหหนักกว่าเดิม

กลุ่มคนที่เงยหน้ามองอยู่ในกำแพงน้ำแข็งต่างมองออกว่าหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปกำลังถูกท่านเจ้าเมืองสั่งสอนอยู่

หลังต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาระบายอารมณ์โกรธเสร็จแล้ว ลั่วเทียนเหอก็ยกสองมือไพล่หลังพลางแค่นหัวเราะ “กล้าใช้ลูกไม้นี้ต่อหน้าผู้พิทักษ์เมือง ความกล้าและสภาพจิตใจไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังลงมืออย่างเด็ดขาดหมดจด คนร้ายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องเป็นคนที่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่ๆ คิดไม่ถึงว่าในเมืองปู๋เชวี่ยของฉันจะมีคนแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ด้วย!”

“ดูเหมือนเมืองปู๋เชวี่ยจะเงียบสงบมานานเกินไปแล้วจริงๆ แค่วิธีกระจอกๆ แบบนี้ก็ยังปั่นหัวนายได้ เหิงนาย นายทำให้ฉันผิดหวังมากนะ ควรจะลืมตาให้กว้าง คิดให้มาก ตั้งสติให้ดี ถ้าไร้ความสามารถจริงๆ อย่างนั้นก็ให้คนอื่นมาทำแทนซะ!”

เหิงเทาบ่นอุบอิบอยู่ในใจ ใครมันจะไปคิดได้กันล่ะ ใครมันจะไปรู้ว่าฆาตกรจะใจกล้าถึงขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำตัวเหิมเกริมท่ามกลางกลุ่มผู้พิทักษ์เมือง ถ้าเปลี่ยนเป็นท่านก็ไม่แน่ว่าจะรู้ตัวเหมือนกันนั่นแหละ

บ่นในใจส่วนบ่นในใจ แต่ภายนอกก็ยังตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ครับ”

“เหอะ!” ลั่วเทียนเหอสะบัดแขนเสื้อ ซัดพลังออกไป

ครืน! กำแพงน้ำแข็งขนาดมหึมาพังถล่ม แตกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน เศษน้ำแข็งกระเด็นกระดอนปลิวว่อนลงมาเหมือนภูเขาพังถล่มอย่างไรอย่างนั้น แทบจะปกคลุมคนที่อยู่ข้างล่างเอาไว้ทั้งหมด คนที่อยู่เบื้องล่างพากันใช้พลังป้องกันเอาไว้

ลั่วเทียนเหอพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

เหิงเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศประสานมือน้อมส่ง จากนั้นถอนใจเบาๆ แล้วถึงจะค่อยๆ ลอยลงมายังเศษน้ำแข็งที่กองสูงเบื้องล่าง

เทพมหาวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ลอยตามลงมาด้วยเช่นกัน

หออวิ้นเสียได้ถูกเศษน้ำแข็งกลบเอาไว้ แต่คนที่อยู่ในนั้นกลับพากันมุดออกมา

“ทิ้งคนเอาไว้ส่วนหนึ่งทำการค้นหาต่อ ต้องหาให้ละเอียด! พาทุกคนที่อยู่ที่นี่กลับไปสอบปากคำให้หมด!” เหิงเทาสั่งการเสียงเข้ม ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งทันที

คนจากหอการค้าตระกูลพานถูกผู้พิทักษ์เมืองพาตัวไปทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว รวมถึงว่านเฉาจื่อและเหลียนเซี่ยวจากเมืองเทียนกู่ด้วย

เหิงเทาย่อมต้องคุมตัวพวกเขาไป เหตุใดฆาตกรถึงเข้าใกล้พานหลิงอวิ๋นได้ง่ายๆ เหตุใดข้างกายพานหลิงอวิ๋นถึงไม่มีใครเห็นเลย เป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้หรือเปล่า เหตุใดจู่ๆ พานหลิงอวิ๋นถึงต้องเข้ามาพักในหออวิ้นเสีย? ข้อสงสัยทั้งหมดจะต้องได้รับการตรวจสอบ จะต้องทำให้กระจ่าง ไม่อาจปล่อยคนเหล่านี้กลับไปได้

……

ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นบ้านของใคร ภายในบ้านไม่มีใครอยู่ ไม่รู้ว่ามีธุระออกไปที่ไหน ดังนั้นถึงได้มีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามา

ประตูปิดลง หลินยวนที่พาคนเข้ามาคลายผนึกบนร่างให้พานหลิงอวิ๋น จากนั้นถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

ในตอนที่พานหลิงอวิ๋นที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำลุกขึ้นยืน เธอก็กระชับผ้าคลุมสีดำที่อยู่บนร่างกายเอาไว้แน่น ดูคล้ายไม่ยอมให้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของตนเผยออกไปให้ใครเห็น

เกราะบนร่างของทั้งสองคนสะดุดตาเกินไป จึงถูกถอดทิ้งระหว่างทาง แต่ตอนที่พานหลิงอวิ๋นถูกจับมา บนร่างของเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าอะไรเอาไว้

รอยเลือดบนใบหน้าของทั้งสองคนถูกหลินยวนใช้พลังทำความสะอาดออกไปแล้ว แต่รอยแผลบนหน้าผากพานหลิงอวิ๋นเกรงว่าคงไม่อาจหายได้ในระยะเวลาสั้นๆ

เห็นได้ชัดว่าบนใบหน้าของหลินยวนที่ไม่มีหมวกชุดเกราะปกปิดเอาไว้ก็สวมใส่หน้ากากเอาไว้เช่นกัน

ระหว่างที่เดินทางมาถึงที่นี่ พานหลิงอวิ๋นที่แตกตื่นลนลานเองก็ใจเย็นลงแล้วเช่นกัน เธอจ้องมองดูชายที่มีหนวดเคราที่อยู่ตรงหน้าอยู่ครู่ สบตากับอีกฝ่ายพลางเดินไปสองสามก้าว เดินเท้าเปล่าไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วนั่งลงไป ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวชื่นชมว่า “ใช้ระเบิดล่อผู้พิทักษ์เมืองที่ซุ่มโจมตีอยู่ออกมา ปลอมตัวปะปนเข้าไปในกลุ่มผู้พิทักษ์เมือง ฉวยโอกาสบุกเข้าไปในที่พักของฉัน จากนั้นสร้างสถานการณ์แล้วลักพาตัวฉันออกมาจากกลุ่มผู้พิทักษ์เมือง แต่ถึงแม้จะทำเรื่องที่ซับซ้อนและเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ก็ยังไม่เห็นว่าคุณจะมีความตื่นตระหนกลนลานอันใด หากแต่ลงมืออย่างง่ายดายและเยือกเย็น ไม่เห็นกองทัพผู้พิทักษ์เมืองอยู่ในสายตา ทั้งความกล้าและฝีมือของคุณ หลิงอวิ๋นเพิ่งจะเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต หลิงอวิ๋นรู้สึกนับถือเป็นยิ่งนัก!”

ถึงแม้ในคำพูดจะแฝงเอาไว้ด้วยความประจบประแจง แต่ภายในใจเธอนั้นรู้สึกนับถือจริงๆ กองกำลังผู้พิทักษ์เมืองเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ส่วนตัวเองก็เตรียมข่ายพลังสัตว์เทวะจตุรทิศเอาไว้ แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นของไร้ค่าทั้งหมด อีกฝ่ายสามารถเข้าไปจับตัวเธอมาได้อย่างง่ายดาย

อาศัยเพียงความกล้าและความสามารถตรงนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากแล้ว เสียดายที่ตัวเองไม่มีคนแบบนี้อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นคงเป็นเหมือนเสือติดปีก อะไรหลายๆ อย่างคงจัดการได้ง่ายดายและสะดวกสบาย

แม้นจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่ภายในใจเธอก็ยังเกิดความคิดที่จะชักชวนอีกฝ่ายมาทำงานด้วย

หลินยวนไม่ได้ตอบอะไร

พานหลิงอวิ๋นลองถามไปอีกครั้ง “คุณเป็นใคร?”

หลินยวนไม่มีการตอบสนองใดๆ เพียงแค่จ้องมองเธอ

ภายในใจพานหลิงอวิ๋นยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ “คุณวางใจได้ ชีวิตของฉันอยู่ในมือคุณ ฉันไม่มีทางรนหาที่ตายแน่นอน คุณมีอะไรให้ฉันทำก็ว่ามาได้เลย”

หลินยวนอ้าปากแล้ว กล่าวเสียงแหบแห้งว่า “เผิงซีไปไหน?”

ก่อนที่จะลงมือครั้งนี้เขาก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จะได้ไปนั่งพูดคุยดีๆ เหมือนอย่างที่ไปพูดคุยกับเจ้าหยวนเฉินเมื่อครั้งที่แล้วแน่นอน แล้วก็ไม่มีทางเข้าไปสังหารคนได้ด้วย

เดิมทีในการลงมือครั้งนี้เขาก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะกำจัดทุกๆ ความเสี่ยงที่ไม่แน่ใจออกไป จะต้องจับเผิงซีมาสอบถามให้ชัดเจน แต่ใครจะไปรู้ว่าพอบุกเข้าไปในหออวิ้นเสียกลับไม่เจอเผิงซี เจอเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่มีผู้หญิงคนนี้เป็นผู้นำ อีกทั้งในเวลานั้นเขาก็ไม่สามารถไปเที่ยวเดินหาตามที่ต่างๆ ได้ จึงได้แต่ต้องจับตาดูผู้หญิงคนนี้ จากนั้นจับตัวเธอมา

………………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท