ตอนที่ 71 เบื้องหลังถูกเปิดเผย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินยวนก็นิ่งเงียบไป
จางเลี่ยเฉินเหลือบมองดูท่าทีของเขา ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้าฉันเป็นคนร้ายนะ ฉันจะรีบหยุดมือแล้วหลบไปก่อน”
“หลบ?” หลินยวนมองเขา “ความหมายของลุงคือคนร้ายควรจะออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยเพื่อเอาตัวรอดเหรอ?”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “ถ้าออกไปได้ย่อมปลอดภัยมากกว่า แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนร้ายเป็นใคร เกี่ยวพันอยู่กับอะไรบ้าง ถ้าเป็นคนที่ได้รับความสนใจอยู่ล่ะก็ หากออกไปจากเมืองในเวลานี้เกรงว่าคงจะต้องถูกจับตามองทันทีแน่”
เขาพลันเงยหน้าขึ้นมา “แต่เกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ ทำไมพวกเราต้องไปคิดแทนคนร้ายด้วย? คนร้ายแบบนี้ ยิ่งโดนจับเร็ว เมืองปู๋เชวี่ยของเราก็จะยิ่งเงียบสงบเร็วขึ้น”
มุมปากหลินยวนยกขึ้นมาเล็กน้อย ส่งเสียงอืมออกมา
จางเลี่ยเฉินกล่าวอีกว่า “แต่ฉันได้ข่าวมาว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหอการค้าตระกูลฉิน แกคิดว่าไง?”
หลินยวนกล่าว “ความคิดของคนอย่างฉินอี๋ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะเข้าใจได้ ถึงจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรน่าแปลก”
จางเลี่ยเฉินกวนทัพพี “จะมีอะไรน่าแปลกได้? ก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เหรอ แกอย่าเพิ่งคิดไปก่อนว่าเธอเป็นผู้หญิง ถ้าแกดึงดันจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไป อย่างนั้นมันก็ต้องไม่ปกติอยู่แล้ว ตอนนี้เธออยู่ในตำแหน่งนี้ เรื่องบางเรื่องมันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอต้องเป็นแบบนั้น เพราะเธอเป็นคนกุมหางเสือของหอการค้าที่ใหญ่โตขนาดนี้ ผู้หญิงบอบบางที่ทำตัวเง้างอนจะแบกรับภาระที่หนักอึ้งแบบนี้ได้เหรอ? การที่เธอถูกสภาพแวดล้อมบีบให้มีนิสัยเหมือนผู้ชายมันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมล่ะ แต่ความจริงข้างในเธอยังคงเป็นผู้หญิงอยู่ แกลองคิดในอีกมุมสิ เรื่องที่เธอทำมันก็เป็นเรื่องที่ผู้ชายทำไม่ใช่เหรอ ถ้ายืนมองดูเธอในมุมมองของผู้ชาย สิ่งที่เธอทำมีอะไรไม่ปกติล่ะ?”
หลินยวนครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกยากที่จะมองฉินอี๋ให้เป็นผู้ชายได้ “ดูเหมือนเงินหนึ่งแสนมุกของเธอจะได้ผลดีทีเดียวนะเนี่ย”
จางเลี่ยเฉินเคาะทัพพี “พูดให้มันดีๆ หน่อย”
หลินยวนเหลือบมองดูโจ๊กที่อยู่ในหม้อ รู้สึกไม่สนใจ จึงเดินจากไป “ผมไปบำเพ็ญเพียรก่อนล่ะ”
จางเลี่ยเฉินเหลียวหน้ามากล่าว “ไม่กินอีกแล้วเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “ไม่หิว ช่วยลุงประหยัดเงิน”
จางเลี่ยเฉินบ่นงุบงิบขึ้นมาทันที “ต้มก็ต้มแล้ว ช่วยฉันประหยัดเงินกับผีสิ ไม่กินก็เททิ้ง ทำดีไม่ได้ดี” ขณะเดียวกันก็ยกทัพพีขึ้นมาชิมเล็กน้อย ก่อนจะจุ๊ปาก คล้ายกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมเธอถึงต้องคอยให้เบอร์โทรศัพท์กับฉัน แกยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ คนในไม่รู้เรื่อง คนนอกกลับเห็นชัดเจน…”
….
ในช่วงนี้เมืองปู๋เชวี่ยมีคนแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้นมาไม่น้อย ทำเอาหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปเหิงเทาต้องคอยจับตาดูเป็นพิเศษ
เขาทราบดีว่านี่เป็นฝีมือของหอการค้าตระกูลพาน ทันทีที่ข่าวเงินรางวัลหนึ่งพันล้านมุกแพร่ออกไป คนบางคนก็แห่กันมาเหมือนหมาล่าเหยื่อที่ได้กลิ่นคาวเลือด กระทั่งจอมยุทธ์พเนจรบางคนก็ยังปรากฏตัวขึ้นมาด้วย
ทางเมืองปู๋เชวี่ยไปหาหอการค้าตระกูลพาน ตักเตือนว่าอย่าทำอะไรวุ่นวาย แต่หอตระกูลพานก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องเงินรางวัลออกไป หากแต่ยังถามกลับไปด้วยว่าเมื่อไรจะหาตัวพานหลิงอวิ๋นพบ เมื่อไรถึงจะจับตัวคนร้ายได้?
หอการค้าตระกูลพานจัดการเรื่องราวโดยไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ทางเมืองปู๋เชวี่ยไม่มีหลักฐานอะไร จึงไม่รู้จะทำอย่างไรกับหอการค้าตระกูลพาน
จนถึงตอนนี้ยังหาตัวพานหลิงอวิ๋นไม่พบ ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ทำให้ทางการของเมืองปู๋เชวี่ยเสียหน้า ยากที่จะไปพูดอะไรกับหอการค้าตระกูลพานได้
ภายในเมืองเริ่มมีเรื่องที่คนหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น เหิงเทารู้ว่ามีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเริ่มทำการค้นหาเบาะแสเพื่อเงินแล้ว
เขาจับผู้ต้องสงสัยมาสองคน ทำการตัดสินให้ทุกคนเห็นอย่างเปิดเผย
ตระกูลฉินที่รู้เรื่องก่อนได้เตรียมตัวและทำการป้องกัน ขบวนรถของฉินอี๋ได้เพิ่มกำลังมาอีกสองหน่วย เพิ่มความคุ้มครองให้แก่ฉินอี๋….
…….
ณ สำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลโจว ภายในห้องทำงานของประธาน โจวหม่านเชาหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เลื่อนไปบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม “สืบข้อมูลของหลัวคังอันมาหมดแล้ว”
เผิงซีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามา หยิบเอากระดาษไปอ่านดู
โจวหม่านเชากล่าวว่า “หลัวคังอันคนนี้เป็นแค่สวะคนหนึ่ง ขี้ขลาดลามก ไม่มีความสามารถที่แท้จริงอะไร แต่กลับคุมปากของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องที่บอกว่าเขาช่วยท่านสองตอนที่สู้กับป้าหวังนั่นเหลวไหลทั้งเพ การเข้าร่วมการต่อสู้ของเขาไม่ได้ส่งผลอะไรต่อป้าหวังเลย ที่เขากล้าเข้าไปร่วมในการต่อสู้ เป็นเพราะหัวหน้าหน่วยผู้พิทักษ์เทพที่เขาสังกัดอยู่เห็นเขาเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังด้วยความหวาดกลัว จึงโยนเขาออกไปด้วยความโมโห หลังเสร็จศึกแล้วหลัวคังอันต้องการเกี้ยวพาราสีผู้หญิง จึงปากพล่อย คุยโวโอ้อวดจนเรื่องแพร่ไปถึงหูคนที่เกี่ยวข้อง”
“แต่มีจุดหนึ่งที่เขาพูดถูก นั่นคือเขาทำให้ท่านสองเสียหน้าอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถึงได้ทำให้คนบางคนไม่พอใจจนเตะเขาออกมาจากผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะไอสวะนั่นเที่ยวไปคุยโวโอ้อวดจนท่านสองเสียหน้า ไม่ใช่เป็นเพราะท่านสองต้องให้เขามาช่วยถึงจะเอาชนะป้าหวังได้อย่างที่เขาว่ามา”
“หากไม่เป็นเพราะกลัวว่าถ้าฆ่าปิดปากเจ้าหลัวคังอันคนนี้ไปจะทำให้เรื่องบางเรื่องถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริงได้ เกรงว่าเจ้านี่คงจะถูกคนของท่านสองจัดการไปตั้งนานแล้ว การที่กองกำลังผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงมีคนแบบนี้ออกมาได้ ทำให้ผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงเสียหน้าอย่างมาก เรื่องเน่าเหม็นภายในไม่สะดวกที่จะป่าวประกาศออกไป อีกทั้งคนที่เตะเขาออกมาจากผู้พิทักษ์เมืองก็คือคนของท่านสอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้ามีคนพูดอะไรมากนัก แล้วก็ทำให้ที่ผ่านมายากจะสอบถามถึงความจริงได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ กระทั่งตัวโจวหม่านเชาเองก็รู้สึกขบขันขึ้นมา “คิดว่าหอการค้าตระกูลฉินก็คงจะไม่รู้ความจริงเหมือนกัน ฉินอี๋คนนี้ถือว่าเฉลียวฉลาด แต่กลับถูกไอคนกะล่อนปลิ้นปล้อนนี่หลอกเอาได้ ถือว่าตกม้าตาย ทำเอาพวกเราพลอยตกใจไปด้วย นึกว่าเธอได้ตัวยอดฝีมือมา ทำเอาพวกเราไม่กล้าทำอะไรวู่วาม”
แต่เผิงซีกลับมีสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา ค่อยๆ วางกระดาษที่อยู่ในมือลง “คุณน้าครับ เกรงว่าเรื่องราวมันคงไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คุณน้าว่ามา ผมกลัวว่าไม่ใช่ฉินอี๋ถูกหลอก หากแต่เป็นพวกเราที่ถูกฉินอี๋หลอกครับ”
โจวหม่านเชางุนงง “หมายความว่ายังไง?”
เผิงซีกล่าว “ฉินอี๋ทุ่มสุดตัวเพื่อเข้าร่วมงานประมูลเทพมหาวิญญาณ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอจะรับเอาหลัวคังอันมาโดยไม่สืบประวัติให้ดีได้เหรอครับ?”
โจวหม่านเชากล่าว “พวกเราเองก็ลำบากไม่น้อยกว่าจะสืบหาความจริงนี้มาได้ อย่างนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ฉินอี๋จะถูกหลอกไม่ใช่เหรอ?”
เผิงซีถามกลับ “อย่างนั้นหลินยวนล่ะครับ?”
“หลินยวน?” โจวหม่านเชาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงหันหน้าไปมองเมิ่งซู่ที่เป็นผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายเองก็มีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ
เผิงซีกล่าว “ไม่รู้ว่าหลัวคังอันหลอกหรือเปล่าก็ว่าไปอย่าง แต่การที่เธอเอาคนอย่างหลินยวนมาทำงานให้หอการค้าตระกูลฉิน ให้เขาไปเป็นผู้ช่วยหลัวคังอันมันหมายความว่ายังไง? คนไร้ค่าสองคนเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงการอยู่รอดของหอการค้าตระกูลฉิน เกรงว่าจะไม่ใช่ฉินอี๋ที่ถูกหลอก หากแต่เป็นเพราะว่าฉินอี๋ไม่ได้คาดหวังว่าทั้งสองคนจะทำหน้าที่ที่สำคัญอะไรได้อยู่แล้ว”
โจวหม่านเชาตกใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงเข้มว่า “ความหมายของแกคือนี่อาจจะเป็นแผนตบตาของฉินอี๋เหรอ?”
เผิงซีกล่าว “ไม่ใช่อาจจะ แต่ว่าแน่นอนครับ! หลัวคังอันกับหลินยวนไม่ใช่คนที่จะเข้าร่วมการประมูล นี่เป็นฉากที่ฉินอี๋ใช้บังหน้าคนที่จะเข้าร่วมการประมูลตัวจริงเอาไว้”
สองมือของโจวหม่านเชากดไปบนโต๊ะ แค่นหัวเราะออกมา “อ้อมไปอ้อมมาขนาดนี้ ถ่อไปถึงเมืองหลวงเพื่อหาตัวหลัวคังอันคนนี้มา คิดไม่ถึงว่าจะเอามาเพื่อหลอกคนอื่น ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ เกือบจะปั่นหัวหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานได้แล้ว โชคดีที่แกบอกว่าต้องทำทุกวิธีทางเพื่อสืบหาความจริงมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรถึงจะได้รู้ความจริง”
เขาพยักเพยิดหน้าไปทางเผิงซี “หาตัวคนที่จะเข้าร่วมประมูลตัวจริงออกมาได้ไหม?”
เผิงซีกล่าว “นี่เป็นความลับที่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของหอการค้าตระกูลฉิน ถ้าไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินที่เข้าร่วมการประมูลได้ เช่นนั้นก็ยากที่จะสืบออกมาได้ ฉินอี๋จะต้องมีวิธีการรักษาความลับที่รัดกุมอย่างแน่นอนครับ”
ปัง! โจวหม่านเชาตบโต๊ะ “อย่างนั้นก็จัดการหลัวคังอันคนนี้ซะ! ในเมื่อไม่ใช่ยอดฝีมือที่น่ากลัวอะไร เรื่องมันก็กลับจะจัดการได้ง่าย จัดการหลัวคังอันไป บีบให้คนที่จะเข้าร่วมการประมูลที่แท้จริงออกมา ถ้าแกจัดการฉันวางใจ เรื่องนี้แกเป็นคนไปจัดการเอง!”
เผิงซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “คุณน้าครับ ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ครับ”
เมิ่งซู่ที่อยู่ด้านข้างมองดูปฏิกิริยาของโจวหม่านเชา
โจวหม่านเชาขมวดคิ้วขึ้นมา “แกมีแผนอะไร?”
เผิงซีกล่าว “ถ้าฆ่าหลัวคังอัน ต่อให้บีบคนที่จะเข้าร่วมการประมูลตัวจริงออกมาได้ แต่หอการค้าตระกูลฉินจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องคนที่จะเข้าร่วมประมูลเอาไว้แน่ หากจะทำอะไรคนที่จะเข้าร่วมการประมูลอีกเกรงว่าคงยากจะสำเร็จได้ ในเมื่อเรารู้เรื่องแผนการของเธอแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ เราน่าจะเล่นตามน้ำไปดีกว่าครับ!”
โจวหม่านเชาตามความคิดของหลานคนนี้ไม่ค่อยทัน แต่เขาก็เคยชินแล้ว รู้ว่าหลานคนนี้หัวดีเหมือนพ่อของเขา จึงกล่าวถามว่า “เล่นตามน้ำยังไง?”
เผิงซีกล่าวว่า “ขอเพียงพวกเราไม่ทำอะไรหลัวคังอัน ฉินอี๋ก็ไม่รู้ว่าพวกเรารู้เรื่องนี้แล้ว ในเมื่อฉินอี๋ชอบให้หลัวคังอันเสนอหน้า อย่างนั้นก็ปล่อยให้เธอทำไป พวกเราอย่าไปแหวกหญ้าให้งูตื่น แค่แอบดัดหลังเธอเงียบๆ ก็พอ เดี๋ยวเราติดต่อหอการค้าตระกูลพาน จากนั้นพวกเราสองตระกูลแอบไปคุยกับคนของเราในแคว้นเซียนคุนกว่าง ในช่วงเวลาสุดท้ายให้ยกเอามติที่ทำการตกลงเอาไว้ออกมา ทำให้ฉินอี๋ไม่สามารถเปลี่ยนตัวได้ก็พอครับ!”
สายตาของโจวหม่านเชาเป็นประกาย เขาพยักหน้า ในเวลานี้เข้าใจแล้ว นี่คือการช่วยฉินอี๋ทำให้เรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริง เมื่อถึงตอนนั้นถ้าหลัวคังอันควบคุมเทพมหาวิญญาณ การจะจัดการเขามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เผิงซีกล่าวต่อว่า “ส่วนแผนการเรื่องเสวี่ยหลานก็ให้ทางหอการค้าตระกูลพานดำเนินต่อไป แผนการสองแผนแอบดำเนินไปพร้อมกัน แบบนี้ต่อให้ฉินอี๋รู้เรื่องเสวี่ยหลานแล้ว แต่มันก็จะช่วยปิดบังแผนการอีกแผนหนึ่งของเราเอาไว้ได้ ทำให้ฉินอี๋คิดว่าแผนของพวกเรามีเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเธอไม่รู้เรื่องเสวี่ยหลาน อย่างนั้นแผนการสองแผนก็จะดำเนินไปพร้อมกัน แบบนั้นหอการค้าตระกูลฉินจะต้องแพ้ในการประมูลอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวหม่านเชาพลันดวงตาเปล่งประกาย กล่าวชื่นชมเสียงดังว่า “เยี่ยม! เดี๋ยวฉันจะรีบไปคุยกับพานชิ่งที่เมืองเทียนกู่เดี๋ยวนี้แหละ”
……
ลั่วเทียนเหอยืนอยู่ตรงหน้าฉากแสงแถบหนึ่ง บนฉากแสงมีคลื่นแสงวูบไหวแล้วสงบลง คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในฉากแสง
บนบัลลังก์เวทย์ตัวหนึ่ง ชายที่แต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวสีเขียวแบบโบราณคนหนึ่งนั่งตัวตรง ดูคล้ายอายุยังน้อยอยู่มาก ท่าทางภูมิฐานสง่างาม เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน บนศีรษะสวมหมวกบัณฑิตเอาไว้ด้วย ดูคล้ายบัณฑิตที่ดูอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง
แต่ลั่วเทียนเหอกลับค้อมกายคารวะให้เขา “ท่านเจ้าแคว้น”
ชายในฉากแสงก็คือเจ้าแคว้นหนานหรูแห่งแคว้นเซียนคุนกว่าง คนที่ไม่เคยเห็นคงรู้สึกยากจะเชื่อได้
หนานหรูลุกขึ้นยืน เดินลงมาจากบัลลังก์ ยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ที่นี่ไม่มีใครอื่น ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอกครับ”
ลั่วเทียนเหอยืนตัวตรง ลูบเคราพลางกล่าว “เรียกฉันมาคุย มีเรื่องอะไรจะชี้แนะหรือ?”
หนานหรูกล่าว “อยู่ต่อหน้าอาจารย์จะมีอะไรชี้แนะได้ครับ ผมได้ยินมาว่าเมืองปู๋เชวี่ยเกิดคดีใหญ่ต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่มีผู้พิทักษ์เมืองล้อมจับ ทั้งยังมีท่านอาจารย์ลงมือด้วยตัวเองอีก แต่คนร้ายก็ยังหนีรอดไปได้โดยไม่เผยใบหน้าออกมาแม้แต่นิดเดียว?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “เธอจะมาถามหาความรับผิดชอบหรือ?”
หนานหรูโบกมือ “ไม่ครับ ยังไม่รีบถามหาความรับผิดชอบในตอนนี้ ผมก็ต้องให้เวลาทางเมืองปู๋เชวี่ยได้สืบสวนหน่อยใช่ไหมล่ะครับ? วันนี้ที่มาคุยกับท่านอาจารย์ เพราะอยากจะบอกท่านอาจารย์ว่าทางสภาเซียนได้จับตาดูเรื่องนี้แล้ว”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “พวกเขาจะจับตาดู แล้วฉันจะไปปิดตาพวกเขาได้เหรอ? พวกเขาอยากดูก็ดูไปสิ”
หนานหรูกล่าว “ผมได้รับแจ้งมาจากทางเจ้ากลุ่มดาวว่าหยางเจินได้ถามถึงเรื่องนี้แล้ว หยางเจินได้ส่งผู้ติดตามคนสนิทมา เกรงว่าจะเดินทางไปที่เมืองปู๋เชวี่ย ท่านเจ้ากลุ่มดาวอยากจะให้ต้อนรับแล้วก็ให้ความร่วมมือกับเขาน่ะครับ”
……………………………………………………