บทที่ 1126 : หลิงหู (6)
”สัตว์อสูรจากแดนอสูรพวกนี้ช่างกล้าหาญนักกล้ามาสร้างปัญหา
ที่อาณาจักรสวรรค์ของเรา! เหตุใดพวกผู้ใหญ่ของอาณาจักรสวรรค์เราถึงยังไม่เคลื่อนไหวเลยล่ะ ?”
“พวกมันกล้าบุกมาถึงที่นี่แล้วผู้ใหญ่พวกนั้นปล่อยให้สัตว์อสูรเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร ? หากแต่ข้าเริ่มรู้สึกว่าสงครามเมื่อพันปีก่อนมีเค้าว่าจะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว … ”
ในเมืองไป๋เสี่ยวเฉินหยุดชะงักเล็กน้อยเขาเงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้คนโดยรอบ ก่อนที่จะรีบคว้าตัวคนที่เดินผ่านไปมา พลางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าสีชมพูของเขา
”พี่สาวคนสวย…ข้าขอถามหน่อยเถิดว่าเมืองสัตว์อสูรอยู่ที่ไหนกัน?”
สตรีผู้ที่ไป๋เสี่ยวเฉินคว้าตัวไว้ตกตะลึงนางหันไปมองเด็กชายร่างเล็กที่อยู่ข้าง ๆ
เพียงแว่บเดียวนางก็รู้สึกเอ็นดูซาลาเปาน้อยน่ารักคนนี้ทันที
นางไม่เคยเห็นเด็กน้อยที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลยโดยเฉพาะดวงตาที่ดูเหมือนจะสามารถพูดได้ ช่างพร่างพราวราวกับดวงดารา
“เด็กน้อยเมืองสัตว์อสูรนั่นถูกพวกสัตว์อสูรยึดครองไปแล้ว อย่าไปที่นั่นเลย สัตว์อสูรพวกนั้นสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา หากเจ้าไปต้องได้รับอันตรายจากคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำในสายตาของผู้คนในอาณาจักรสวรค์เห็นสัตว์อสูรเป็นอะไรกัน ?
“พี่สาวคนสวยข้าเพียงอยากรู้ว่าสัตว์อสูรหน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้น ? ก็เลยอยากไปดู บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าจะไปได้อย่างไร ?” ไป๋เสี่ยวเฉินดึงแขนเสื้อของหญิงผู้นั้นอย่างน่าสงสาร นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแวววาว
เมื่อต้องเจอเด็กชายตัวเล็กๆ น่ารักแบบนี้คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธคำขอของเขาได้
”หลังจากที่เจ้าออกจากเมืองนี้แล้วก็ให้เดินตรงไปอีกประมาณ 2 ลี้ (1 กิโลเมตร) จะมีเมืองที่ถูกสัตว์อสูรยึดครอง และนั่นแหละคือเมืองสัตว์อสูร”
”ขอบคุณมากพี่สาวคนสวย”
ไป๋เสี่ยวเฉินขอบคุณหญิงผู้นั้นจากนั้นเขาก็หันไปจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ นัยน์ตากลมโตของเขาพลันเคร่งครึมลง พร้อมกันนั้นแสงเย็นวาบก็ส่องประกายผ่านดวงตาของเขา
“เสด็จพี่… ” เสี่ยวหลงเอ๋อมองไป๋เสี่ยวเฉิน พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาด ๆ
”หม่ามี้ของข้าไม่สังหารคนบริสุทธิ์ในเมื่อหม่ามี้อยู่เคียงข้างป๊ะป๋า ป๊ะป๋าย่อมจะไม่ลงมือกับชาวบ้านธรรมดา ๆ เป็นแน่” ไป๋เสี่ยวเฉินหรี่ตาลง “ยิ่งไปกว่านั้นจากปากคำของพี่สาวคนนั้น ทำให้ข้ารู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสัตว์อสูรในแดนสวรรค์นี้ มีชื่อเสียงย่ำแย่มาก”
เสี่ยวหลงเอ๋อยืนเงียบๆ ข้างกายไป๋เสี่ยวเฉิน นางรู้สึกว่าไป๋เสี่ยวเฉินบีบมือของนางแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
”แต่ข้าเชื่อว่าคนของข้าจะไม่โจมตีผู้คนอย่างไร้เหตุผล เช่นนั้นต้องมีใครบางคนหวังทำลายชื่อเสียงของสัตว์อสูรอย่างแน่นอน”
บนแผ่นดินใหญ่ก็มีสัตว์อสูร
สัตว์อสูรเหล่านั้นมักจะอยู่ในป่าสัตว์อสูรไม่เคยก้าวออกมาสู่แดนมนุษย์
และ… ตราบใดที่มนุษย์ไม่ไปสร้างปัญหาที่ป่าสัตว์อสูร พวกมันก็จะไม่โจมตีผู้คนอย่างไร้เหตุผล
แต่หากเข้าไปด้วยหมายคว้าอาหารจากปากเสือก็ไม่อาจตำหนิที่พวกเขาโจมตีผู้คนได้
แต่ช่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดบนแผ่นดินใหญ่นั้น สัตว์อสูรก็มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งทีเดียว …
“หลงเอ๋อ…เราไปหาหม่ามี้กันก่อนเถอะ”
ไป๋เสี่ยวเฉิน…ไม่คิดมากอีกต่อไปเขาดึงเสี่ยวหลงเอ๋อ พลางวางแผนที่จะเดินไปข้างหน้า ทว่าจู่ ๆ เขาก็ชนเข้ากับคนตรงหน้า จนถึงกับต้องเซถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว
”ช่างกล้านักนะเจ้ามองไม่เห็นนายหญิงของข้าหรือไง ? เจ้าต้องขอโทษนายหญิงของข้าเดี๋ยวนี้ !”
ชั่วขณะนั้นเองเสียงตะโกนอันกราดเกรี้ยวก็ดังมาจากด้านหน้า
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขา
ที่เดินอยู่แถวหน้าคือสตรีในอาภรณ์สีขาวใบหน้าของนางงดงามราวเทพธิดา ยามนี้นางกำลังขมวดคิ้ว ราวกับเมื่อครู่นี้นางกำลังคิดอะไรบางอย่าง เช่นนั้นนางจึงไม่ทันเห็นไป๋เสี่ยวเฉิน
สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังหญิงผู้นั้นค่อนข้างหยิ่งผยองนางยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางตวาดใส่ไป๋เสี่ยวเฉินด้วยความโกรธเคือง
“เห็นได้ชัดว่านางชนพี่ชายของข้าแล้วเหตุใดพี่ชายของข้าต้องขอโทษนางด้วยล่ะ” เสี่ยวหลงเอ๋อทำปากยื่น พลางจ้องสาวใช้อย่างโกรธ ๆ
บทที่ 1127 : หลิงหู (7)
สาวใช้โกรธมากนางกำลังจะพ่นคำผรุสวาทออกมา ทว่าสตรีตรงหน้ากลับยกมือขึ้นปิดกั้นถ้อยคำของนาง
”ช่างเถิดนี่หาใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใดไม่ ไยต้องทำให้เด็กอับอายด้วยเล่า” ใบหน้าที่งดงามของหยุนรั่วซียกยิ้มอ่อนโยน นางยื่นมือไปหาไป๋เสี่ยวเฉินที่อยู่เบื้องหน้า “เด็กน้อย…เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจ เช่นนั้นเรามาคืนดีกันจะดีหรือไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองมือของหยุนรั่วซีที่ยื่นออกมาเบื้องหน้าครั้นเขาเห็นผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ นัยน์ตากลมโตของเขาก็กลอกไปมาสองสามครั้ง พลันศีรษะของเขาก็ลดลงอย่างรู้สึกผิด
“หม่ามี้ของข้าบอกว่าข้าควรขอโทษเมื่อข้าทำผิด ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่เมื่อครู่นี้ข้าไม่มองหนทางจนชนท่าน… ข้าคิดว่า ข้าเดินช้า ๆ แล้วไม่น่าที่จะชนใครล้มได้ หากแต่ข้าไม่คาดคิดว่าข้าจะ..”
ความหมายก็คือข้าเองก็เดินช้ามากแล้วปกติทั่วไป หากอีกฝ่ายรู้จักดูตาม้าตาเรือ ก็คงไม่ชนกันแน่
ตอนนี้ในเมื่อเราต่างก็ชนกัน ก็นับว่าเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย
ใบหน้าของหยุนรั่วซีเริ่มแข็งกระด้างนางหันไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างปราม ๆ ก่อนจะหันกลับมาจ้องไป๋เสี่ยวเฉิน พลางเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “สาวใช้ของข้าไม่สุภาพจริง ๆ พูดจาไม่เกรงใจเจ้า”
”นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของท่านงั้นหรือ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองสาวใช้พลางเอ่ยถาม
หยุนรั่วซีไม่เข้าใจว่าไป๋เสี่ยวเฉินหมายถึงอะไรหากแต่ก็พยักหน้ารับ “ใช่…นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก”
”โอ้”ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้าทันที “หม่ามี้ของข้าบอกว่ากฎของสาวใช้คือเป็นตัวแทนของเจ้านาย หากสาวใช้หยิ่งยโสมากก็ต้องมีเจ้านายคอยให้ท้าย ยิ่งไปกว่านั้นนางมักจะช่วยพูดในสิ่งที่เจ้านายพูดไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นมองจ้องหยุนรั่วซีด้วยนัยน์ตาที่ไร้เดียงสาและสดใส
“สาวใช้ข้างกายหม่ามี้ข้าไม่มีผู้ใดที่น่ารังเกียจถึงเพียงนี้ ท่านไม่เข้าใจหลักการเหล่านี้หรอกหรือ ?”
ใบหน้าของหยุนรั่วซีเปลี่ยนสีจากดำเป็นขาวจากขาวเป็นดำ
สาวใช้นั่นทำในสิ่งที่นางคิดจริงๆ และสิ่งที่นางไม่สามารถพูดได้ก็จะถูกสาวใช้พูดแทนทุกครั้งไป
ทว่าเมื่อถึงคราที่ถูกหนูน้อยผู้นี้เปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนมันก็ทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูไม่ดีเลย
แน่นอนว่าฝูงชนเริ่มกระซิบกระซาบแก่กันโดยเฉพาะคนที่ทำแบบเดียวกับหยุนรั่วซีหากแต่พวกนางไม่รู้ตัว ต่างก็หันมามองหยุนรั่วซีอย่างดูถูก
”เมื่อครู่ข้าเห็นหญิงผู้นี้อ่อนโยนและสุภาพนางต้องเป็นคนที่มีนิสัยดีมาก ๆ หากแต่ถ้านิสัยของนางดีจริง ๆ จะมีสาวใช้ที่หยิ่งผยองเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?”
”ข้าคิดว่าการอบรมสั่งสอนของเด็กคนนี้เยี่ยมมากสิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผลและมีแบบแผน ข้าไม่รู้ว่าคนแบบไหนที่สามารถมีบุตรชายเช่นนี้ได้ …
ถ้อยคำของคนเหล่านั้นทำให้หยุนรั่วซีกำหมัดแน่น
โชคดีที่ไม่มีผู้ใดในสถานที่แห่งนี้รู้จักนางหาไม่ภาพลักษณ์ที่นางเพียรรักษามานานหลายปีคงจะพังทลายลงเพราะเด็กน้อยคนนี้
“คุณหนูดูเด็กนั่นพูดสิ … ”
”เพี้ยะ!”
หยุนรั่วซีตบหน้าสาวใช้พร้อมกับตวาดว่า “หุบปาก ! ข้าสั่งสอนเจ้าหลายครั้งแต่เจ้าก็ไม่เคยฟัง ครั้งนี้กลับกลายเป็นปัญหาแล้วเห็นหรือไม่ ? หากมิใช่เพราะเจ้าดีต่อข้ามาก ข้าคงจะไม่ตามใจเจ้ามากมายถึงเพียงนี้”
ความหมายก็คือเหตุที่นางเอาอกเอาใจสาวใช้เพียงเพราะสาวใช้ดีกับนางไม่ใช่เพราะที่ไป๋เสี่ยวเฉินพูด
”นังบ้าในที่สุดข้าก็หานางพบ !”
ขณะที่หยุนรั่วซีกำลังสั่งสอนสาวใช้อยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีคนพุ่งมาจากด้านข้าง พร้อมกับปล่อยหมัดกระแทกเข้าใส่ศีรษะของนาง
ชายชราวิปลาสมองหยุนรั่วซีผู้ซึ่งยามนี้กำลังเห็นดาวเขาดึงทึ้งผมของนางอย่างดุเดือด กระทั่งเกือบจะดึงหนังศีรษะของนางติดมือออกมา
บทที่ 1128 : หลิงหู (8)
”เจ้า…”
น้ำตาจากความเจ็บปวดของหยุนรั่วซีเกือบจะหลั่งออกมาในขณะที่นางกำลังจะเริ่มลงมือนั้น นางก็เห็นโฉมหน้าของชายชราคนนี้ ใบหน้าของนางซีดเซียวโดยฉับพลัน ทั้งริมฝีปากของนางไร้สีสันโดยสิ้นเชิง
จะเป็นเขาได้อย่างไร?
เหตุใดชายชราคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
”นังคนเลวข้าต้องฆ่าเจ้า นังคนเลว เจ้าฆ่าหลานสาวที่แสนดีของข้า ข้าต้องฆ่าเจ้า นังบ้า!” ดวงตาของชายชราผู้วิปลาสนั้นดุร้าย ทั้งหมัดของเขาก็ซัดเข้าไปที่ใบหน้าหยุนรั่วซีอย่างไร้ความปรานี
หยุนรั่วซีตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
นับแต่วันนั้นนางรู้ดีว่าชายชราเกลียดนางอย่างสุดใจ นางจึงไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก
แม้ว่าตอนนี้เขาจะวิปลาสทั้งพลังถดถอย ทว่านางก็ยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อยู่ดี
ไม่คาดคิดว่าหลังออกจากเทวาคารคราวนี้นางจะได้พบกับชายชราวิปลาสผู้นี้อีก …
ไป๋เสี่ยวเฉินตกตะลึงเขามองชายชราที่กำลังบ้าคลั่งด้วยความประหลาดใจ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยสงสัย
ท่านตาคนนี้… เป็นศัตรูกับนางงั้นรึ ?
“พี่ชาย… ” เสี่ยวหลงเอ๋อจับมือไป๋เสี่ยวเฉิน “เกิดอะไรขึ้นกับท่านตา ?”
”เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านตาพูดหรือ? หลานสาวของท่านตาเสียชีวิตเพราะ ถูกนางฆ่า”
นี่…คือความแค้นที่ยิ่งใหญ่
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋เสี่ยวเฉินสายตาที่น่ากลัวของเขาก็จับจ้องมองร่างของหยุนรั่วซี
“เสด็จพี่ท่านก็เกลียดหญิงผู้นี้ด้วยกระนั้นหรือ ?” เสี่ยวหลงเอ๋อเอ่ยถามอย่างอยากรู้ พร้อมกันนั้นนางก็กระพริบขนตาราวพัดสะบัด
ตามความเข้าใจของนางปกติแล้วไป๋เสี่ยวเฉินจะไม่เสียเวลากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ที่เขาทำให้หญิงผู้นี้ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลนั่นก็เป็นเพราะเขาเกลียดนาง
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จพี่ของนางมาเยือนอาณาจักรสวรรค์เหตุใดเขาถึงเกลียดหญิงผู้นี้ได้ล่ะ ?
เสี่ยวหลงเอ๋อไม่เข้าใจเช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามตรงๆ
”ข้าเกลียดนางนับแต่แรกเห็นเลยทีเดียวข้าเกลียดนางอย่างที่อธิบายไม่ได้” ไป๋เสี่ยวเฉินย่นใบหน้าที่น่ารักของตน “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของนาง ข้าก็ยิ่งเกลียดนางมากขึ้นไปอีก”
เสี่ยวหลงเอ๋อพยักหน้าอย่างจริงจัง”ข้าก็เกลียดคนที่เสด็จพี่เกลียด… ”
”ท่านตา”ไป๋เสี่ยวเฉินพูด เมื่อเห็นว่าท่านตาเกือบจะลงมือทุบตีหยุนรั่วซีแล้ว เขาก็โบกมือ “ไปกันเถอะ ไปตามหาไป๋ไป๋ของท่านกันดีกว่า”
ประโยคนี้ทำให้ชายชราที่กำลังบ้าคลั่งชะงักเขายิ้มพลางเอ่ยกล่าวว่า “ตกลง ไปหาเสี่ยวไป๋ไป๋กัน”
ในที่สุดชายชราสติแตกก็เตะหยุนรั่วซีก่อนจะเดินตามหลังไป๋เสี่ยวเฉินไปพร้อมรอยยิ้มโง่งม ใบหน้าของเขาสกปรก ท่าทางของเขาบ่งบอกชัดว่ามีสติไม่สมประกอบเช่นคนทั่วไป
หยุนรั่วซีเช็ดเลือดออกจากมุมปากของตนนางต้องการจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนางให้เป็นระเบียบ ทว่าชายชราบ้านั่นก็มีพละกำลังมาก เมื่อครู่นี้เขาแทบจะถลกหนังศีรษะของนางออกมา นางรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสศีรษะตน
”พวกเจ้ามองอะไร? ไปไกล ๆ เลยนะ !”
ครั้นสาวใช้แลเห็นฝูงชนกำลังมุงดูเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่นางก็โกรธมาก นางยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางตวาดออกมาด้วยความโกรธ
ผู้สังเกตการณ์หัวเราะก่อนจะแยกย้ายกันจากไป
”คุณหนูท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?” สาวใช้ย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบพยุงตัวหยุนรั่วซีขึ้นจากพื้น พลางกล่าวอย่างโกรธ ๆ “ชายชราน่ารังเกียจคนนั้นทำเกินไปจริง ๆ ”
เพี้ยะ!
หยุนรั่วซีตบหน้าสาวใช้อีกครั้งใบหน้าของนางซีดเผือด นางกัดฟันกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ? เหตุใดไม่มาช่วยข้า ?”
“ข้า… ” สาวใช้ตัวสั่น นางจะกล้าพูดได้อย่างไรว่านางไม่กล้าเข้าไปช่วย ?
”คุณหนู…ชายชราและเด็กคนนั้นรนหาที่ตายชัด ๆ พวกเราจะตามไปฆ่าพวกเขา … ” แววตาของสาวใช้เป็นประกายเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ราวกับอยากจะกุดหัวคน
บทที่ 1129 : หลิงหู (9)
หยุนรั่วซีเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา”ตาแก่นั่นหากเจ้าฆ่าได้ก็จงฆ่าซะ แต่หากเราฆ่าตาแก่บ้านั่นไม่ได้ อย่างไรเสียเด็กคนนั้นก็ต้องตาย !”
ด้วยเหตุใดไม่รู้นับแต่เห็นเด็กนั่นครั้งแรก นางก็รู้สึกเกลียดเด็กคนนี้อย่างไร้เหตุผล
กอรปกับการที่เด็กน้อยกล้าทำกับนางเช่นนั้นนางจะไม่มีวันปล่อยเขาไป
”เจ้าไปหาข้อมูลมาสิว่าเด็กนรกนั่นกำลังมุ่งหน้าไปทางใด? หากข้าดูไม่ผิดเด็กหญิงตัวน้อยข้างกายเขาคือสัตว์อสูร … ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
สาวใช้กลัวว่าหยุนรั่วซีจะมาระบายความโกรธลงบนศีรษะของนางอีกนางจึงรีบผละไปทำตามคำสั่งทันที
ไม่นานนางก็กลับมาหาหยุนรั่วซี
”คุณหนูข้าไปพบสาวใช้คนหนึ่ง นางเล่าว่าเด็กคนนั้นดูเหมือนจะสอบถามเกี่ยวกับเมืองสัตว์อสูร เขาน่าที่จะมุ่งไปยังเมืองสัตว์อสูร
”เมืองสัตว์อสูรงั้นรึ?” หยุนรั่วซีหัวเราะเยาะ “ไม่นานมานี้ ผู้คนในอาณาจักรอสูรมีการเคลื่อนไหวอย่างมาก สัตว์อสูรทั้งหมดในอาณาจักรสวรรค์ต่างถูกเรียกให้ไปรวมตัวกันที่นั่น บางทีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการลี้ภัย เสี่ยวชิงเจ้าไป ดูสิว่าบรรดาเจ้าเมืองมากันได้หรือไม่ ?”
เจ้าเมืองต้องมีความแข็งแกร่งในระดับเทพขั้นสูงเหนือกว่าเทพทั่วไปในดินแดนนี้เมื่อได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองแล้ว จะสามารถเป็นเจ้าของที่ดินในแดนสวรรค์ และกลายเป็นผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ตนครอบครองนั้นเองได้
”หากพวกเขามาได้… ” นัยน์ตาของ หยุนรั่วซี เป็นประกาย “ให้พวกเขาไปพบข้าที่โรงเตี๊ยม จะได้ปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับแดนอสูรอย่างไร”
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น จะต้องดึงตัวตาแก่บ้านั่นออกจากสัตว์อสูรน้อยทั้งสองก่อน เพราะขืนปล่อยให้ตาแก่บ้านั่นไปเข้าร่วมกับสัตว์อสูรล่ะก็ นางอาจไม่สามารถจัดการกับสัตว์อสูรที่ประจำอยู่ในเมืองสัตว์อสูรได้ง่ายดายนัก…
…
เหนือประตูเมืองโบราณมีแผ่นป้ายคำว่า “เมืองสัตว์อสูร” สีทองแวววาวน่าประทับใจ อีกทั้งดึงดูดใจ
ชั่วขณะนี้…ภายนอกประตูเมืองสัตว์อสูรจำนวนมากกำลังยืนต่อแถวเรียงกันเพื่อเข้าเมือง ดูราวกับยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อพันปีก่อนหวนกลับมา
ทว่า…
ไป๋หยานยังไม่ไว้ใจสัตว์อสูรเหล่านี้มากนักเช่นนั้นนางจึงขอให้คนจากแดนอสูรจัดพวกเขาแยกไว้ต่างหาก เพื่อจะได้สังเกตง่าย
เช่นนั้นพวกที่ลี้ภัยมาจากแดนสวรรค์จึงไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเท่าใดนัก
ถึงกระนั้นก็ยังมีสัตว์อสูรจำนวนมากมายแห่แหนกันมาที่นี่นั่นเป็นเพราะภายนอกไม่ปลอดภัยนัก หากสัตว์อสูรต้องการที่จะอยู่รอด สถานที่เดียวที่ต้องไปก็คือเมืองสัตว์อสูรแห่งนี้ …
บนประตูเมือง
ไป๋หยานยืนอย่างสงบสายลมพัดเส้นผมดำขลับของนางปลิวสยายเบา ๆ
มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังมือนั้นสวมผ้าคลุมให้นาง ครั้นนางหันกลับไปมอง นางก็เห็นบุรุษที่งดงามยากจะหาผู้ใดเทียบได้ยืนอยู่ด้านหลัง
”หยานเอ๋อหลังจากที่เฝ้าจับสังเกตมาเนิ่นนาน เจ้าคิดเช่นไรกับสัตว์อสูรพวกนี้ ?”
ไป๋หยานยิ้มอย่างเฉยชา”ยามนี้ข้ายังไม่พบผู้ใดมีพิรุธ ทว่าเนื่องจากสัตว์อสูรเหล่านี้แยกตัวออกจากแดนอสูรมาเนิ่นนานหลายปี ย่อมเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะมีบางคนเข้าร่วมกับอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นเราจำต้องระวังให้ดี”
นางต้องการให้สัตว์อสูรทั้งหมดกลับแดนอสูรหากแต่นางไม่ต้องการให้มีใครอาศัยโอกาสนี้ฉกฉวยประโยชน์
”เอ๊ะ…?”
จู่ๆ ไป๋หยานก็จับจ้องสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนนิ่ง นัยน์ตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย มีแสงเย็นวาบฉายออกมา
“หญิงผู้นั้นมีพิรุธ”
ตี้คังกวาดตามองคนที่อยู่ด้านล่างพลันริมฝีปากสีแดงของเขาก็ยกยิ้ม “หยานเอ๋อ ข้าก็เห็นแล้วเช่นกัน ?”
”ไปกันเถอะ”
นางกระโดดลงจากกำแพง
หญิงตั้งครรภ์ท้องโตโดดลงมาจากท้องฟ้าทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกใจ
บทที่ 1130 : หลิงหู (10)
อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาเห็นใบหน้าของหญิงผู้นี้พวกเขาก็รู้สึกตื่นตะลึงเสียดายก็แต่เพียงนางเป็นหญิงตั้งครรภ์ …
ตี้คังก็โดดลงมาเขายกมือขึ้นรั้งไป๋หยานเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยานเอ๋อ ระวังด้วย ทำเช่นนี้เจ้าอาจบาดเจ็บได้นะ … ”
ไป๋หยานหันกลับไปมองตี้คัง
“ย้อนกลับไป…เมื่อครั้งที่ข้าตั้งครรภ์เฉินเอ๋อข้าท่องไปทั่วยุทธภพต่อสู้กับผู้คนมากมายก็ยังไม่เห็นมีอุบัติเหตุใดนี่ บัดนี้ข้าเพียงเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร ? ลูกของข้าไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้นสักหน่อย”
นี่ขนาดนางเจอกับสายฟ้าฟาดลูกของนางก็ยังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย ตอนนี้นางแค่กระโดดลงจากกำแพงจะมีปัญหาได้อย่างไร ?
หลังจากกล่าวจบนัยน์ตาของไป๋หยานก็หรี่ลงเล็กน้อย นางจ้องมองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
หญิงผู้นี้ก็แลดูธรรมดาแบบที่หาได้ทั่วไปในฝูงชนหากแต่ด้วยเหตุผลบางประการไป๋หยานกลับรู้สึกว่าหญิงผู้นี้หาใช่ธรรมดาเช่นทั่วไปไม่
”ดูเหมือนว่าคงจะมีใครส่งเจ้ามาที่นี่สินะ”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ ขณะมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
ใบหน้าของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไป”ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใด ?”
”ยังไม่พูดความจริงอีกหรือ?” ไป๋หยานหรี่ตาลง “เจ้าคงคิดว่าเจ้าสวมชุดหนังหมาป่าแล้ว ข้าจะจับเจ้าไม่ได้กระนั้นสิ ? เจ้าต้องการอะไรถึงต้องปลอมตัวเป็นสัตว์อสูรเข้าเมืองสัตว์อสูร ?”
ทันทีที่ไป๋หยานมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของนางหญิงผู้นั้นก็หัวเราะหึ ๆ ชั่วขณะนั้นเองกลิ่นอายของนางก็แผ่กระจายออกมา สัตว์อสูรทั้งหมดที่รายล้อมรอบตัวนาง ต่างก็กระจายตัวออกห่าง
”หยานเอ๋อ…ระวัง!”
ตี้คังกอดไป๋หยานไว้แนบอกแสงเย็นเยือกส่องประกายในดวงตาของเขา ขณะจ้องมองหญิงผู้นั้นอย่างเย็นชา “นางคือเทพระดับสูง ตำแหน่งราชาเทพ”
ราชาเทพ?
ไป๋หยานตกใจแค่ระดับเทพก็นับได้ว่าเป็นศัตรูที่ทรงพลังที่สุดที่นางเคยพบในชีวิตของนางแล้ว
“ท่านคือราชาแห่งแดนอสูรกระนั้นรึ?”
หญิงผู้นั้นไม่ได้มองไป๋หยานอีกสายตาของนางจับจ้องอยู่เพียงร่างของตี้คัง นางเลียริมฝีปากสีแดงของนางเบา ๆ
แม้ว่านางจะแลดูธรรมดาๆ หากแต่การกระทำของนางก็เต็มไปด้วยความเย้ายวน ทว่าตอนนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับตี้คัง
ตี้คังผู้ซึ่งมองทุกผู้คนไม่ต่างจากมองโครงกระดูกในสายตาของเขาทุกคนเหมือนกันหมดยกเว้นไป๋หยาน
“ท่านแข็งแกร่งมาก”หญิงผู้นั้นหัวเราะ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความดึงดูดทางเพศ “ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน น่าเสียดายนักที่มาแต่งงานกับหญิงเช่นนี้ มาอยู่กับข้าดีกว่า … มาเป็นสามีของข้าดีหรือไม่ ?”
แสงเย็นกระพริบวาบในดวงตาของตี้คังเขาโน้มศีรษะลง กดจูบเบา ๆ บนริมฝีปากของไป๋หยาน
”เจ้ารอข้าที่นี่หลังจากที่ข้าจัดการหญิงผู้นี้แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้า”
”ระวังตัวด้วย”
ไป๋หยานพยักหน้า
หากมีศัตรูเพียงคนเดียวนางย่อมมั่นใจในตัวตี้คังอย่างมาก
ตี้คังคลายอ้อมแขนปล่อยร่างของไป๋หยานให้เป็นอิสระสายตาที่หม่นมัวของเขาค่อย ๆ หันไปจับจ้องสตรีที่อยู่ตรงข้าม
ฟู่!
ชั่วขณะนี้สายลมที่รุนแรงพลันพัดเสื้อผ้าของเขาปลิวขึ้น
เรือนผมสีเงินโบกสะบัดราวกับอสูรร่ายรำอย่างดุเดือดท่ามกลางสายลม ทำให้ช่วงเวลานี้นอกเหนือจากเขาจะงดงามอย่างน่าทึ่ง กระทั่งทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลต่ำต้อยลงแล้ว พร้อมกันนั้นก็ยังเผยให้เห็นถึงความสง่างามอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย
หญิงสาวหรี่ตาราชาแห่งแดนอสูร … ตามที่คาดไว้ ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย การมาครั้งนี้นับว่าไม่ได้ไร้ประโยชน์นัก เพราะนางมาที่นี่เพื่อดูลาดเลา และหาข่าวสารแท้จริง
แต่หากชายผู้นี้ตายไปคงน่าเสียดายมากเลยจะเป็นการดีกว่าหากเขายอมเป็นผู้ชายของนาง อย่างน้อยนางก็พอช่วยชีวิตเขาได้ …
”ราชาอสูรท่านงดงามราวเทพบุตร เหตุใดท่านถึงไม่ยอมจำนนต่อแดนสวรรค์ ? ที่นี่มีเทพธิดาสวย ๆ มากมาย ดีกว่าภรรยาขี้โรคที่อยู่ข้างกายท่านเยอะเลย”
เพียงเทพพื้นฐานในสายตาของนางก็ไม่ต่างจากขยะ
ไป๋หยานยิ้มรอยยิ้มของนางงดงาม และสดใสราวดวงตะวัน