ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 74 แจ้งความ

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 74 แจ้งความ

เขาครุ่นคิดไปเรื่อย เวลาเลิกงานก็มาถึงแล้วเช่นกัน

หลินยวนเดินออกไปจากประตูตามปกติ ตรงไปยังลิฟต์โดยสาร แต่ใครจะไปรู้ว่าพอประตูลิฟต์เปิด เขากลับพบกับหลัวคังอันที่ยืนอยู่ด้านใน

ทั้งสองสบตากันเลิกลั่ก ต่างคนต่างทำตัวไม่ถูก

หลินยวนนึกว่าหลัวคังอันมาหาตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่าไม่ใช่ หลัวคังอันกล่าวถามว่า “ผู้ช่วยไป๋ก็เรียกนายขึ้นไปเหรอ?”

ไป๋หลิงหลงเรียกเขา? หลินยวนไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “เรื่องอะไร?”

หลัวคังอันผายมือ “ฉันก็ไม่รู้!”

ทั้งสองคนขึ้นมาถึงด้านบน เดินออกจากลิฟต์มายังด้านนอกห้องผู้ช่วย หลินยวนพบกวนเสี่ยวชิงที่เตรียมตัวจะเลิกงาน

กวนเสี่ยวชิงที่กำลังเก็บของจำคำเตือนของไป๋หลิงหลงได้ขึ้นใจ จึงมีท่าทีห่างเหินกับเขา เพียงยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยให้ทั้งสองคนเท่านั้น

เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนนี้ หลังจากถูกผู้พิทักษ์เมืองพาตัวไปสอบปากคำครั้งที่แล้ว ในที่สุดกวนเสี่ยวชิงก็รู้แล้วว่าหลินยวนทำอะไรอยู่ในหอการค้าตระกูลฉิน เธอพบว่าหลินยวนไม่ใช่พนักงานระดับสูงอะไรเลย เป็นเพียงผู้ช่วยของหลัวคังอันในการควบคุมเทพมหาวิญญาณเท่านั้น

ย้ายกวนเสี่ยวชิงมาที่ห้องผู้ช่วยอย่างนั้นเหรอ? หลัวคังอันนับถือหลินยวน พยายามขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งมองออกแล้วว่าความสัมพันธ์ของหลินยวนกับฉินอี๋นั้นไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรเรื่องที่ห้องพักผ่อนของตัวเองด้อยกว่าห้องพักผ่อนของหลินยวนอีก

เขาก็เป็นคนแบบนี้ เรื่องอะไรที่ตอนนั้นสนใจ พอผ่านไปแล้วก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไรแล้ว ประเด็นสำคัญคือมีหลายเรื่องที่เขาไม่มีสิทธิ์และความมั่นใจจะไปซักไซ้ไล่ถามอะไรให้ชัดเจนได้

ซูเฉี่ยวหลินเคยชินกับการมาที่นี่ของหลินยวนแล้ว เพราะหลินยวนจะขึ้นมาที่นี่แทบจะทุกวันหลังเลิกงาน เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขามาทำอะไร แต่สรุปแล้วคือเธอมองออกว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับท่านประธาน

กลับเป็นหลัวคังอันที่ไม่ค่อยมาที่นี่ ซูเฉี่ยวหลินยื่นมือออกไปเชื้อเชิญ “คุณหลัว ผู้ช่วยไป๋กำลังรอคุณอยู่ค่ะ” จากนั้นเธอพาทั้งสองคนเข้าไปในห้องทำงานของไป๋หลิงหลง

“มากันแล้วเหรอ มาได้เวลาพอดีเลย”

ในคำพูดของไป๋หลิงหลงที่เงยหน้าขึ้นมานั้นหมายถึงหลินยวน เธอเองก็รู้ว่าหลินยวนจะมา จึงไม่ได้โทรไปแจ้งเขาเป็นการพิเศษ

เธอลุกขึ้นมาทักทายทั้งสองคนเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะทำงานมาตรงหน้าทั้งสองคน กล่าวเปิดประเด็นตรงๆ ว่า “ทางค่ายผู้พิทักษ์เทพไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกคุณไปทำงานตามปกติได้”

หลัวคังอันยิ้มกรุ้มกริ่ม “ครับ”

สายตาอดเหลือบมองไปบนเรือนร่างของไป๋หลิงหลงไม่ได้

สำหรับเขาแล้ว ฉินอี๋และไป๋หลิงหลงนั้นเป็นยอดดอกไม้งามสองดอกแห่งหอการค้าตระกูลฉิน ทั้งรูปร่างหน้าตาล้วนแต่งดงาม เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เห็นแล้วเป็นต้องกลืนน้ำลาย

แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ปกติไม่มีโอกาสอะไรจะไปใกล้ชิดกับทั้งสองมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงินในมือเขาของเป็นเงินเดือนที่อีกฝ่ายจ่ายมาให้ การจะเอาเงินในมือไปอวดความร่ำรวยกับดอกไม้งามทั้งสองนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองดูและกลืนน้ำลาย

หลินยวนรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ แค่โทรแจ้งทางโทรศัพท์ก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

ไป๋หลิงหลงทำการอธิบายว่า “เรื่องระหว่างหอการค้าตระกูลฉินกับหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจว คิดว่าพวกคุณน่าจะรู้เรื่องแล้ว ตอนนี้พานหลิงอวิ๋นที่เป็นลูกสาวของประธานหอการค้าตระกูลพานได้ถูกจับไปในเมืองปู๋เชวี่ย เป็นตายอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ มีการเสนอเงินรางวัลสำหรับการช่วยเหลือลูกสาวเขาเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้คนร้อยแปดพันเก้าต่างแห่กันมาที่เมืองปู๋เชวี่ยเพื่อเงินรางวัลนี้ ที่วันนี้เรียกพวกคุณมาก็เพราะอยากจะเตือนพวกคุณต่อหน้าหน่อย ช่วงนี้เมืองปู๋เชวี่ยอาจจะตกอยู่ในความวุ่นวายเล็กน้อย พวกคุณต้องคอยระมัดระวังตัวเองเอาไว้ให้มาก พยายามอย่าเที่ยวเล่นวุ่นวายไปทั่ว จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรไม่คาดคิด”

หลัวคังอันพยักหน้าหงึกๆ “ทราบแล้วครับ ขอบคุณผู้ช่วยไป๋ที่เป็นห่วง”

ไป๋หลิงหลงกล่าว “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ”

“ครับ” หลัวคังอันรับคำ

แต่หลินยวนกลับมองไปยังประตูห้องทำงานของฉินอี๋บานนั้น

ไป๋หลิงหลงเข้าใจความคิดของเขา จึงตอบกลับไปว่า “วันนี้ไม่ต้องทำความสะอาด”

ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเรื่อง อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากแต่เป็นเรื่องที่อาจจะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวใหญ่โตได้ ฉินอี๋ไม่มีอารมณ์มานั่งสนใจเรื่องส่วนตัว ความคิดทุกอย่างของเธอล้วนเอาไปคิดในเรื่องอื่นแล้ว พยายามครุ่นคิดในเรื่องอื่นๆ อย่างรอบคอบ

ไม่มีเรื่องอะไรต้องทำอีกแล้ว หลินยวนรู้สึกยินดี หมุนตัวเดินจากไป

ทำความสะอาด? หมายความว่ายังไง? หลัวคังอันเดินออกไปด้วยสีหน้าสงสัย

หลังเดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์โดยสารแล้ว เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “น้องหลิน ทำความสะอาดอะไรเหรอ?”

หลินยวนเองก็เป็นคนที่รักหน้าตาเช่นกัน อย่างน้อยในแง่หนึ่งเขาก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้อยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตัวเองไปเที่ยวเก็บชุดชั้นในที่คนบางคนถอดทิ้งเอาไว้ เขาก็ยิ่งไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ออกไป จึงตอบปัดแบบขอไปทีว่า “ไม่มีอะไร”

หลัวคังอันยังคงไม่ล้มเลิกความพยายาม “อะไรคือไม่มีอะไร เมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย”

หลินยวนทำหน้าคร่ำเคร่ง “อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม”

หลัวคังอันนึกสงสัยว่าใครเป็นผู้ช่วยใครกันแน่

หลังออกมาจากลิฟต์ ทั้งสองคนเดินมายังลานจอดรถ จูเก่อม่านมาถึงอยู่ก่อนแล้ว กำลังรออยู่ในรถของหลัวคังอัน นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับโบกมือเรียกทั้งสองคน แต่สิ่งที่หลินยวนสนใจมากกว่านั้นคือคนอื่น เขาพบว่ามีคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างรถหลายคน

หลินยวนหยุดฝีเท้า จ้องมองคนเหล่านั้น

หลัวคังอันยิ้มขึ้นมา “ไม่เป็นไร พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์เมืองนอกเครื่องแบบ มาคุ้มครองฉันน่ะ”

“ผู้พิทักษ์เมืองมาคุ้มครองพี่?” หลินยวนประหลาดใจ กล่าวถามว่า “หอการค้าเรียกมาให้พี่เหรอ?”

หลัวคังอันหัวเราะฮี่ๆ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ความจริงเรื่องเงินรางวัลนั่นผู้ช่วยไป๋ไม่ต้องมาเตือนฉันก็รู้แล้ว คนเขารู้กันหมด นายรู้หรือเปล่าว่าหอการค้าตระกูลพานให้เงินรางวัลเท่าไร พันล้านมุก! แม่เจ้า พวกคนที่มีเงินมีอำนาจนี่มันสุดยอดจริงๆ กระทั่งเพื่อนฉันที่อยู่ในเมืองหลวงก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น พอฉันได้ฟังก็ครุ่นคิดดู คนร้อยพ่อพันแม่แห่กันมาที่นี่ พวกเราเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้มันค่อนข้างอันตราย ฉันก็เลยติดต่อผู้พิทักษ์เมือง ให้พวกเขามาช่วยหน่อย”

หลินยวนแสดงความสงสัย “ผู้พิทักษ์เมืองฟังพี่ด้วยเหรอ?”

หลัวคังอันยกมือตบไหล่หลินยวน ทำท่าเหมือนทำไมนายไม่ใช้หัวคิดหน่อยนะ ภายในใจเองก็บ่นงึมงำ มิน่าสามร้อยปีถึงยังเรียนไม่จบ

แต่แน่นอน ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องสามร้อยปียังเรียนไม่จบนั้น แต่กลับไม่เคยพูดมันออกมา กลัวว่าจะทำให้สหายคนนี้เสียหน้า

เสียงของเขาเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย “นายนี่ซื่อบื้อจริงๆ ไปพูดตรงๆ ว่าให้ผู้พิทักษ์เมืองมาคุ้มครองมันก็ต้องไม่ได้สิ พวกเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องมาสนใจพวกเราเลย”

“แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีพูดหน่อยมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว ฉันไปแจ้งความ บอกว่ามีคนตามฉัน คล้ายจะเป็นฆาตกรที่ก่อคดีนั้นคอยจับตาดูฉันอยู่ พวกเขาต่างรู้ว่าพวกเรามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณ การที่จะถูกฆาตกรจับตาดูมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คนของผู้พิทักษ์เมืองก็เลยมา เปลี่ยนเสื้อผ้าคอยตามคุ้มครองฉัน”

“ผู้พิทักษ์เมืองตั้งมากมายไปล้อมหออวิ้นเสียเอาไว้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นเพียงการคุ้มกันในฉากหน้าเท่านั้น น่าจะมีการคุ้มกันแบบลับๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้นน่าจะสามารถส่งกำลังสนับสนุนจำนวนมากมาช่วยเหลือได้ตลอดเวลาด้วย เรื่องดีๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนได้?”

“ไอพวกร้อยพ่อพันแม่ที่แห่กันเข้ามา ใครคิดว่าตัวเองแน่ก็ลองดูสิ พวกเรามีคนคอยคุ้มกันทั้งกลางวันกลางคืน นอนหลับสบาย มีกองกำลังชั้นยอดของเมืองปู๋เชวี่ยคอยคุ้มครอง เราไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว สบายใจมาก พวกเราเป็นแค่คนทำงานหาเช้ากินค่ำเท่านั้น ชีวิตของตัวเองก็ต้องรู้จักดูแลเอง จะให้ใครมาทำร้ายส่งเดชไม่ได้ ฮี่ๆ ผู้คุ้มกันที่ไม่เสียเงิน มีให้ใช้แล้วไม่ใช้มันก็เสียดายใช่ไหมล่ะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายล่ะ”

ก่อนจะส่งสายตา ‘นายเข้าใจนะ’ ให้พร้อมกับตบไหล่หลินยวน จากนั้นเดินหันหลังไปพลางโบกมือลา เดินไปยังรถแล้วเปิดประตู มุดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับ

จูเก่อม่านสตาร์ทรถ ก่อนจะเป็นคนขับรถออกไป

ผู้พิทักษ์เมืองนอกเครื่องแบบเหล่านั้นก็มุดตัวเข้าไปในรถทันทีด้วยเช่นกัน รถสองคันขับตามออกไป

หลินยวนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่มองดูพวกเขาจากไป รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย พบว่าหลัวคังอันผู้นี้หน้าด้านเป็นอย่างมาก ทำเรื่องไร้ยางอายทุกเรื่อง ทำแล้วยังอ้างเหตุผลมาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำอีก

แต่พอคิดๆ ดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หลัวคังอันผู้นี้กล้าแม้กระทั่งทำให้หยางเจินที่เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเซียนเสื่อมเสียเกียรติ แล้วกับแค่พูดเหลวไหลกับผู้พิทักษ์เมืองของเมืองปู๋เชวี่ย มีหรือที่เขาจะไม่กล้าทำ?

ข้างทางสามแยกเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านนอกสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉินมีร้านค้าตั้งเรียงอยู่สามสี่ร้าน รถสองสามคันจอดอยู่ด้านนอกร้านค้าเหล่านั้น

ภายในรถคันหนึ่งมีชายนั่งอยู่สองคน หนึ่งผอมหนึ่งอ้วน คนผอมมีใบหน้าเคร่งขรึม เค้าโครงใบหน้าชัดเจน

ทั้งสองมีผมยาวปรกบ่า ต่างสวมหมวกไว้บนศีรษะ ปีกหมวกกดลงต่ำ จ้องมองไปยังประตูหน้าของหอการค้าตระกูลฉินเป็นระยะ

ชายรูปร่างผมมีชื่อว่าเหยียนฝู ส่วนชายรูปร่างอ้วนมีชื่อว่าเซี่ยงเต๋อเฉิง ทั้งสองต่างเป็นจอมยุทธ์พเนจรของดินแดนเซียน

จอมยุทธ์พเนจรที่ว่านี้ อันที่จริงแล้วก็คือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สังกัดที่ไม่ได้ถูกบันทึกชื่อลงในบัญชีรายชื่อเซียนของดินแดนเซียน เป็นผู้ที่ยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้ขจัดคนพาลช่วยเหลือคนอ่อนแอ กระทำในสิ่งที่ยุติธรรม เรียกขานตัวเองว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรเพราะฟังดูดีกว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สังกัด แล้วก็คิดว่าตนเองอยู่เหนือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สังกัดด้วย

มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจัดทำอันดับจอมยุทธ์พเนจรขึ้นมา แต่ว่าชื่อของทั้งสองคนนี้ไม่ได้อยู่ในอันดับของจอมยุทธ์พเนจร

สภาวะของทั้งสองคนล้วนแต่อยู่ในขั้นเซียนนภาแล้ว พวกเขาคิดว่าที่ตนเองไม่ได้อยู่ในอันดับจอมยุทธ์พเนจรเป็นเพราะดินแดนเซียนกวดขันเข้มงวดเกินไป อีกทั้งทั้งสองคนไม่ยินดีกระทำเรื่องที่ขัดต่อมโนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองออกมา

“ออกมาแล้ว” เซี่ยงเต๋อเฉิงพลันกล่าวเตือน

ในหมู่คนที่เลิกงานออกมาจากในหอการค้าตระกูลฉินมีคนขี่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งออกมา นั่นคือหลินยวน

กระทั่งหลินยวนขับผ่านทางแยกไปแล้ว เหยียนฝูที่บีใบหน้าเคร่งขรึมก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียกว่า “ครั้งนี้หลังช่วยลูกสาวของพานชิ่งออกมาได้แล้ว พวกเราก็สามารถหนีออกไปจากเรื่องราววุ่นวาย ไปใช้ชีวิตธรรมดาได้เสียที”

เซี่ยงเต๋อเฉิงส่งเสียงอืม “คนละห้าร้อยล้าน หาอะไรทำนิดหน่อย ก็น่าจะพอใช้ไปตลอดชีวิต”

เหยียนฝูที่สังเกตดูหลินยวนขับรถออกห่างไประยะหนึ่งพลันกล่าวขึ้นมา “ห่างพอแล้ว ตามไป”

ทั้งสองคนมาที่นี่เพราะเงินรางวัลหนึ่งพันล้านมุก มีทั้งเงินรางวัล แล้วก็ได้ช่วยคน ไม่มีงานไหนจะเหมาะไปกว่างานนี้อีกแล้ว

หลังมาถึงเมืองปู๋เชวี่ย พวกเขาไม่คุ้นเคยทั้งกับคนและสถานที่ จึงยากจะตามหาเบาะแสได้ หลังพยายามหาวิธีสอบถามมาแล้ว พวกเขาก็มาจับตาดูหลินยวน คิดจะใช้หยินยวนเป็นจุดเริ่มต้นในการสืบหาตัวพานหลิงอวิ๋น

เขาเองก็อยากจะไปหาคนอย่างฉินเต้าเปียนกับฉินอี๋เหมือนกัน แต่จนปัญญาที่ข้างกายคนเหล่านั้นมีผู้คุ้มกันเยอะเกินไป คิดไปคิดมา คนที่เกี่ยวพันกับเทพมหาวิญญาณ อีกทั้งยังมีสภาวะธรรมดาและเข้าใกล้ได้ง่ายก็มีเพียงหลินยวนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวเท่านั้น

เซี่ยงเต๋อเฉิงสตาร์ทรถ แต่ใครจะไปรู้ว่ารถที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังก็ทยอยสตาร์ทรถขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะแล่นตามหลินยวนออกไป

ทั้งสองคนสบตากัน จากนั้นก็ขับตามออกไป…

…..

หลินยวนที่ขี่มอเตอร์ไซค์โต้ลมเหลือบมองดูกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ ความจริงตอนเช้าที่มาทำงานเขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างแล้ว คล้ายว่ามีคนคอยจับตาดูอยู่

เพียงแต่เป็นเพราะต้องทำงาน อีกอย่างคือเขาเริ่มมีความระวังตัว คำพูดของจางเลี่ยเฉินเหล่านั้นเองก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากลงมือแล้ว

ระหว่างทาง ในตอนที่ผ่านช่วงถนนที่ร้างผู้คน เขาเรียกได้ว่าระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนที่ขี่มาถึงทางแยกที่มีรถและผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาค่อนข้างเยอะ จู่ๆ หลินยวนพลันหยุดรถ ค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา

เมื่อเห็นรถที่อยู่ด้านหน้าแล่นผ่านหลินยวนไป เหยียนฝูที่นั่งอยู่ในรถที่ตามมาด้านหลังก็กล่าวเตือนขึ้นมา “ที่นี่คนเยอะ ไม่สะดวกจะลงมือ ขับผ่านไปก่อน”

เซี่ยงเต๋อเฉิงไม่หยุดรถ ขับรถแล่นผ่านหลินยวนไปเช่นกัน

หลินยวนเบี่ยงศีรษะเล็กน้อย มองเห็นทั้งสองคนที่อยู่ในรถ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือไม่ได้วางลง เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของหลัวคังอันเล็กน้อย ภายในใจรู้สึกลังเล กังวลว่ามันจะทำให้หลังจากนี้ตัวเองเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก

แต่หลังจากครุ่นคิดไปอีกครู่หนึ่ง สุดท้ายหลินยวนก็กดไปที่เบอร์เบอร์หนึ่ง หลังมีคนรับสายก็กล่าวว่า “ผมคือหลินยวนจากหอการค้าตระกูลฉิน ผมอยากจะแจ้งความ…”

…………………………………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท