ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 76 เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงาน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 76 เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงาน

ไม่นานก็ได้เงินมา ล้วนแต่เอามาจากตัวคนที่เพิ่งถูกจับมา นำมาชดใช้คืนให้หลินยวนเป็นสองเท่าของราคารถมอเตอร์ไซค์

หลังชดใช้แล้วก็เชิญกลับไป

หลินยวนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่ภายในเมืองไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์เมืองใช้พลังโบยบินอยู่ในเมือง หากไม่มีเหตุจำเป็นเหิงเทาก็ไม่มีทางแหกกฏให้หลินยวน เขาจึงสั่งให้คนขับรถไปส่งหลินยวนที่โรงอีหลิวเป็นกรณีพิเศษ

ในตอนที่ออกมา หลินยวนพลันเหลียวหน้ากลับไปมอง สบตาเข้ากับเหิงเทา

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า หลินยวนรู้สึกว่าสายตาที่หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปผู้นี้มองตัวเองคล้ายจะมีอะไรแปลกออกไป

จากประสบการณ์ที่ได้มาจากสถานะและภูมิหลังของเขา ทำให้เขามีการรับรู้ต่ออันตรายที่เฉียบไวเป็นอย่างมาก เขานึกสงสัยว่าคนของตัวเองไปแจ้งอะไรหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปผู้นี้หรือเปล่า

แต่พอคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คนที่ติดตามตัวเองมานานหลายปี ไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงความสำคัญในการเก็บเรื่องตัวตนของเขาเป็นความลับ นอกเสียจากจะมีสถานการณ์พิเศษอะไรหรือมีเรื่องหนอนบ่อนไส้ก็ยังพอว่า ไม่อย่างนั้นคนของเขาก็ไม่มีทางไปบอกกล่าวเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาต่อคนอื่นง่ายๆ แน่นอน

เขาไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากที่ตัวเองเผยเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับฉินอี๋เมื่อในอดีตไปแล้ว เหิงเทาก็ทราบถึงเรื่องราวบางอย่างจากฉินอี๋ อีกฝ่ายจึงมีความรู้สึกต่อเขาที่แปลกออกไป เรียกได้ว่าเป็นการเห็นแก่หน้าฉินอี๋

หลินยวนจากไปพร้อมกับความรู้สึกสงสัยภายในใจ….

ฟ้ามืดลงแล้ว จางเลี่ยเฉินที่ยืนอยู่หน้าเตาภายในสวนถูกเปลวเพลิงจากเตาไฟส่องสว่างใบหน้า แสงไฟวูบไหวไปมาไม่นิ่ง ทำให้ใบหน้าประเดี๋ยวสลัวประเดี๋ยวสว่าง

หลินยวนเปิดประตูหน้าแล้วขี่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเข้ามา

“กลับมาแล้วเหรอ? วันนี้กลับมาช้านะ…” จางเลี่ยเฉินที่กล่าวทักทายพลันงุนงงไป จ้องมองมอเตอร์ไซค์คันนั้น กล่าวอย่างสงสัยว่า “นี่ไม่ใช่รถฉันนี่”

หลินยวนไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินออกไปอีกครั้ง ไม่นานก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดอีกคันหนึ่ง

ภายในเมืองไม่อนุญาตให้ใช้พลังโบยบิน เครื่องมือทดแทนการเดินจึงเป็นสิ่งจำเป็น เครื่องมือทดแทนการเดินแบบนี้สะดวกสบายกว่าการใช้สัตว์อย่างเมื่อในอดีต พวกสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะจำเป็นต้องมีการขับถ่าย แล้วก็ต้องเลี้ยงดู เวลาจัดการมีความยุ่งยาก นับตั้งแต่ที่มีเครื่องมือทดแทนการเดินเท้าเช่นนี้ออกมา มันก็กลายเป็นที่นิยมในดินแดนเซียนทันที เพราะมันใช้งานได้สะดวกสบายจริงๆ เพียงแค่ใส่หินวิญญาณพลังงานเข้าไปเม็ดเดียวก็สามารถใช้งานได้เป็นเวลานาน แทบจะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย

มอเตอร์ไซค์พังไปแล้ว แต่ในวันปกติเขายังต้องใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อขี่ไปทำงาน ดังนั้นเขาย่อมต้องซื้อคันใหม่

ก่อนหน้านี้เขาใช้มอเตอร์ไซค์ของจางเลี่ยเฉิน มักจะถูกจางเลี่ยเฉิยว่าบ่อยๆ ตอนนี้ทางผู้พิทักษ์เมืองชดใช้เงินมาสองเท่า เขาจึงซื้อรถมาสองคัน คันหนึ่งคืนให้จางเลี่ยเฉิน จางเลี่ยเฉินจะได้เอาไว้ใช้ในเวลานี้ปกติ ส่วนอีกคันหนึ่งก็เป็นของตัวเอง

จางเลี่ยเฉินเหลียวหน้ามามอง กระทั่งหลินยวนเดินเข้าไป จึงถามว่า “นี่มันหมายความว่ายังไง? รถของฉันล่ะ?”

หลินยวนยกเอาเก้าอี้เข้ามา ค่อยๆ นั่งลงแล้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องนิดหน่อย เกือบถูกคนจับไป…” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาคร่าวๆ

จางเลี่ยเฉินได้ฟังก็ทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “แกให้ผู้พิทักษ์เมืองคุ้มครองแกเหรอ?”

หลินยวนกล่าว “คนในเมืองปู๋เชวี่ยได้รับการคุ้มครองจากผู้พิทักษ์เมืองมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

“ปกติ” จางเลี่ยเฉินส่งเสียงอืม จากนั้นกวนโจ๊กที่อยู่ในหม้อต่อ

หลินยวนมองโจ๊ก แล้วก็มองดูจางเลี่ยเฉิน พบว่าทุกครั้งหลังกลับมาจากเลิกงาน เขาก็จะเห็นลุงคนนี้กำลังต้มโจ๊กอยู่เสมอ ยืนเฝ้าอยู่หน้าหม้อโจ๊กคล้ายเฝ้าอยู่หน้าสมบัติมีค่าอย่างไรอย่างนั้น จึงกล่าวถามว่า “โจ๊กเสร็จหรือยัง?”

จางเลี่ยเฉินกล่าว “หิวแล้วเหรอ?”

หลินยวนกล่าว “ไม่หิว แต่ว่า…” เขาลังเลเล็กน้อย “โจ๊กของลุงคล้ายจะสามารถเร่งความเร็วในการฟื้นฟูสภาวะของผมได้ ลุงใส่อะไรลงไป?”

เขารับรู้ได้ถึงเรื่องนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ยังนึกประหลาดใจ ภายหลังเมื่อสังเกตอย่างละเอียด เขาถึงได้พบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากฤทธิ์ยาที่อยู่ในโจ๊ก

จางเลี่ยเฉินหัวเราะฮ่าๆ พลางส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ฉันนึกว่าแกจะซื่อบื้อไม่รู้เรื่องอะไรซะอีก โจ๊กของฉันนี่ของดีนะ ในนี้ใส่ของดีๆ เอาไว้เต็มไปหมด กระทั่งตับมังกรดีหงส์เทพก็ยังมี”

หลินยวนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาพบว่าลุงผู้นี้ช่างคุยโวจริงๆ กระทั่งตับมังกรดีหงส์เทพก็ยังพูดออกมาได้ จึงกล่าวไปว่า “มิน่าลุงถึงเข้าหลัวคังอันคนนั้นได้”

“หลัวคังอัน?” จางเลี่ยเฉินงุนงงเล็กน้อย “ไอคนที่พูดไม่หยุดนั่นน่ะเหรอ? แกหมายความว่ายังไง?”

หลินยวนกล่าว “ก็ขี้คุยเหมือนกันไง”

“ขี้คุย?” จางเลี่ยเฉินถอนใจ “ทำไมฉันพูดความจริงแต่กลับไม่ยอมเชื่อนะ? แกลองถามใจของแกดูสิว่าฉันเคยหลอกแกตอนไหน?”

หลินยวนเชื่อก็แปลกแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ลุงไม่เคยหลอกผมอย่างนั้นเหรอ? ในอดีตลุงเคยบอกว่าที่นี่มีของอร่อยๆ ให้กิน หลอกให้ผมมาอยู่ที่โรงอีหลิว สุดท้ายทำงานไปตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วของอร่อยๆ อยู่ที่ไหนล่ะ? ค่าแรงบอกจะคิดให้ตอนสิ้นปี สุดท้ายปีแล้วปีเล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เลย ตอนนั้นถ้าไม่เป็นเพราะลุงหลอกผมให้ไปหาฉินอี๋ ผมจะเกิดเรื่องหลังจากนั้นขึ้นเหรอ? แล้วก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ด้วย”

เคร้งๆๆ! จางเลี่ยเฉินเคาะทัพพี “โจ๊กนี่ช่วยให้แกฟื้นฟูสภาวะได้เร็วขึ้น แกกลับบอกว่ามันไม่ใช่ของอร่อย? ฉันว่าแกนั่นแหละที่ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี เงินฉันช่วยแกเก็บเอาไว้ ถ้าไม่มีเงิน แกจะเอาของดีๆ จากไหนมาใส่ในโจ๊ก? ที่ฉันช่วยชีวิตแกเอาไว้ฉันคิดเงินแกหรือเปล่า?”

“ส่วนฉินอี๋น่ะเหรอ? ตอนที่แกทิ้งงานที่โรงแพทย์ของฉันแล้ววิ่งไปมีความสุขกับเธอทำไมไม่พูด ฉันไปบังคับให้แกถอดกางเกงเหรอ? แกเกิดเรื่องก็เพราะแกไม่ระวังเอง จะโทษใครได้? อีกอย่าง ถ้าไม่เป็นเพราะเรื่องของฉินอี๋ที่ทำให้แกถูกไล่ออกจากเมืองปู๋เชวี่ย อย่างแกน่ะเหรอจะไปเรียนที่หลิงซานได้? อย่างแกน่ะเหรอจะกลายเป็นนักเรียนของหลิงซานได้? แกมันไม่รู้ค่า คนตั้งเท่าไรอยากจะเข้าไปทำงานในหอการค้าตระกูลฉินก็ไม่มีปัญญาเข้าไปได้”

“อีกอย่าง ฉินอี๋หน้าตาก็มี รูปร่างก็มี เงินก็มี คนมากมายเท่าไรที่น้ำลายไหลคิดอยากจะได้ตัวเธอมา ถ้าจะให้ฉันพูดนะ ฉันว่าแก…”

ทำไมคำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกคุ้นๆ หลินยวนรู้สึกหมดคำพูดขึ้นมาเล็กน้อย ในอดีตตอนที่อีกฝ่ายมาหลอกให้เขาไปหาฉินอี๋ก็เหมือนจะเคยพูดทำนองนี้

แล้วก็ยังมีสีหน้าท่าทางตอนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ด้วย เรียกได้ว่าเหมือนในอดีตทุกอย่าง

เมื่อฟังไปเรื่อยๆ อีกทั้งเห็นท่าทางที่ตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงเรื่องเงิน หลินยวนก็รู้ว่าคำพูดหลังจากนี้ของอีกฝ่ายไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว จึงรีบยกมือบอกให้เขาหยุดพูด “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ผมหิวแล้ว ขอโจ๊กให้ผมชามนึง!”

จางเลี่ยเฉินถลึงตาใส่เขา “เฮ้อ!” สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ ไม่พูดอะไรอีก ยื่นมือไปหยิบชามมาตักโจ๊ก…

……

กลางดึกเงียบสงัด เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมา

หลินยวนและจางเลี่ยเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องของตนแทบจะลืมตาขึ้นมาในเวลาเดียว มองเห็นด้านนอกหน้าต่างมีแสงสว่างเจิดจ้า

ทั้งสองคนพุ่งตัวออกไปจากประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่าภายในกำแพงสวนมีคนกลุ่มหนึ่ง บนอากาศมีผู้พิทักษ์เมืองทยอยบินมาไม่หยุด บินลงมาในสวนและบนหลังคา

ชายสามคนอยู่ในสภาพตื่นตระหนกหวาดกลัว ถูกผู้พิทักษ์เมืองล้อมเอาไว้ ถูกคุมตัวออกไปโดยไม่อาจขัดขืนได้

จางเลี่ยเฉินรีบเข้าไปคุยกับผู้พิทักษ์เมืองทันที สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ก็ไม่มีเรื่องอะไร ผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มหนึ่งคอยแอบซุ่มคุ้มครองหลินยวน พบเห็นคนกลุ่มหนึ่งแอบทำลับๆ ล่อๆ เข้าไปในโรงอีหลิว จึงรีบลงมือจับกุมเอาไว้ทันทีเท่านั้น

ในบ้านต้นไม้ที่ไร้คนอยู่อาศัยชั่วคราวหลังหนึ่ง เหยียนฝูและเซี่ยงเต๋อเฉิงที่แอบมองดูโรงอีหลิวผ่านทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ ต่างสบตากัน เบี่ยงตัวอย่างรวดเร็ว หลังพิงหน้าต่างซ้ายขวา

ในช่วงเวลากลางคืน ทั้งสองคนปล่อยผมเผ้ารุงรัง ผมยาวบดบังใบหน้าของพวกเขาเอาไว้

เซี่ยงเต๋อเฉิงกล่าว “โชคดีที่เชื่อพี่ รอดูก่อนอีกพักหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคนที่โดนจับคงเป็นพวกเรา เกือบไปแล้ว” จากนั้นเหลือบมองไปด้านนอกอีกครั้งหนึ่ง “หลินยวนคนนี้นี่มันยังไงกัน ระหว่างทางก็มีผู้พิทักษ์เมืองคอยคุ้มกัน กระทั่งที่บ้านก็มีผู้พิทักษ์เมืองมาซุ่มคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ มิน่าถึงกล้าไปไหนมาไหนคนเดียว”

เหยียนฝูกล่าว “ดูเหมือนพวกเราจะมาหาถูกคนแล้ว คนที่ถูกคุ้มครองขนาดนี้ จะต้องรู้อะไรหลายอย่างแน่ ขอเพียงจับเขามาได้ เราจะต้องได้ข้อมูลที่เราอยากรู้แน่”

เซี่ยงเต๋อเฉิงสงสัยเล็กน้อย “เขาถูกคุ้มกันแน่นหนาขนาดนี้ พวกเราไม่มีโอกาสให้ลงมือเลยนะพี่!”

เหยียนฝูใช้สองมือแหวกผมที่บดบังใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่มีเค้าโครงคมชัด กล่าวอย่างมั่นใจว่า “โลกนี้ไม่มีใครที่จะไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ขอเพียงคอยจับตาดูเอาไว้ เราจะต้องมีโอกาสอย่างแน่นอน”

เซี่ยงเต๋อเฉิงส่งเสียงอืม พยักหน้าพลางกล่าว “ปราดเปรื่อง ฟังพี่”

เหยียนฝูกล่าว “ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานนัก ถอยก่อน!”

ทั้งสองคนหลบออกไปจากในบ้านต้นไม้อย่างรวดเร็ว

……

หลินยวนที่มาทำงานแต่เช้าตามปกติขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงลานจอดรถ ก่อนจะเห็นรถของหลัวคังอันแล่นเข้ามา

หลินยวนเดินออกไปก่อน ไม่รอหลัวคังอัน

เมื่อมาถึงห้องพักผ่อนเขาก็นั่งพักผ่อน แต่เพิ่งจะนั่งไปได้ไม่นานเท่าไรก็มีคนเคาะประตู หลินยวนคิดว่าเป็นหลัวคังอัน จึงไม่ได้สนใจอะไร

ผลปรากฏว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ค่อยคล้ายนิสัยของหลัวคังอันเลย หลินยวนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคือใบหน้าฝืนยิ้มของกวนเสี่ยวชิง

สิ่งที่ทำให้หลินยวนยิ่งรู้สึกแปลกใจก็คือด้านหลังกวนเสี่ยวชิงมีคนโผล่ออกมาอีกคนหนึ่ เป็นหญิงสาวที่ดูสดใสคนหนึ่ง จูลี่!

จูลี่ยิ้มพลางโบกมือ เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน “คุณหลิน เจอกันอีกแล้วนะคะ”

หลินยวนไม่ได้สนใจเธอ กล่าวถามกวนเสี่ยวชิงว่า “มีอะไร?”

กวนเสี่ยวชิงกล่าว “คุณหลิน เข้าไปคุยด้านในกันเถอะค่ะ”

หลินยวนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอยเปิดทางให้ทั้งสองคนเข้ามา

จูลี่มองดูเขา ยิ้มพลางเดินตามเข้าไปในห้อง หลินยวนใบหน้าเรียบเฉย หากไม่เป็นเพราะกวนเสี่ยชิง คิดว่าเขาคงไม่มีทางปล่อยให้จูลี่เข้ามาในห้องพักผ่อนเป็นแน่ เขาคงจะหาข้ออ้างแล้วปิดประตูไปเลยมากกว่า

กวนเสี่ยวชิงแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมต่อจูลี่ เธอเชิญจูลี่นั่งลง

จูลี่ที่นั่งลงหันซ้ายหันขวา กวาดมองดูภายในห้อง เห็นได้ชัดว่ากำลังทำการสังเกตอย่างละเอียด แล้วก็มีท่าทีรู้สึกสนอกสนใจอย่างชัดเจนด้วย

สภาพมืดสลัวภายในห้องย่อมต้องทำให้จูลี่รู้สึกสงสัย ตอนเช้าเพิ่งจะเข้างาน แสงแดดด้านนอกกำลังสดใส แต่ผ้าม่านภายในห้องนี้กลับถูกดึงลงมา

สัมผัสอันเฉียบคมที่มาจากอาชีพของเธอกำลังบอกเธอว่าความสงสัยของเธอก่อนหน้านี้ถูกต้อง

หลินยวนกลับไม่ค่อยพอใจกับท่าทีที่เธอมองสำรวจดูภายในห้อง เขาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

กวนเสี่ยวชิงไม่ได้ตาบอด เธอเดินไปตรงริมหน้าต่าง เอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านออกโดยไม่ได้ขออนุญาตหลินยวน ประหนึ่งว่าอยู่ในบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

ภายในห้องพลันสว่างขึ้นมาทันที

หลินยวนหมดคำพูด เขาเองก็จนปัญญากับเด็กคนนี้เช่นเดียวกัน จะชักสีหน้าก็คงไม่เหมาะ ถ้าจะด่า เขาก็เหมือนจะยังไม่มีสิทธิ์ไปด่าอะไรเธอ เขาจึงถามเธออีกครั้ง “มีธุระอะไร?”

กวนเสี่ยวชิงยังคงไม่ตอบเขา จูลี่ลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าเขา ยิ้มพลางยื่นมือออกมา หมายจะจับมือกับเขา “คุณหลิน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราก็เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะคะ ต่อไปช่วยชี้แนะด้วยนะคะ”

“เพื่อนร่วมงาน?” หลินยวนมองดูมือที่ยื่นออกมาของเธอ ไม่ได้จับมือตอบ “หมายความว่ายังไง?”

จูลี่จึงได้แต่ต้องวางมือลง ไม่ได้ถือสาอะไร ยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ปู๋เชวี่ยวีดีโอและหอการค้าตระกูลฉินทำข้อตกลงร่วมกัน ทางปู๋เชวี่ยวีดีโอจะทำการติดตามสัมภาษณ์กระบวนการในการประมูลเทพมหาวิญญาณ หลังจากนี้พวกเราต้องร่วมงานกันเป็นระยะเวลานาน นั่นไม่เรียกว่าเพื่อนร่วมงานหรือคะ?”

หลินยวนหมุนตัว เอียงศีรษะส่งสัญญาณไปทางกวนเสี่ยวชิง

กวนเสี่ยวชิงแสดงท่าทีขอโทษจูลี่เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามหลินยวนเข้าไปในห้องที่อยู่ในห้องทำงาน

เมื่อเลี้ยวเข้าไปในห้อง หลินยวนก็หมุนตัวมาทันที กล่าวถามกวนเสี่ยวชิงเสียงเบาๆ ว่า “เสี่ยวชิง นี่มันหมายความว่าอะไรกัน? พาคนมาหาฉันทำไม?”

กวนเสี่ยวชิงเองก็ไม่พอใจเช่นกัน เธอกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “พี่หลิน ผู้ช่วยไป๋สั่งกำชับมาว่าคุณจูลี่เป็นแขกคนสำคัญของหอการค้าตระกูลฉิน พี่อย่าทำท่าทางแบบนี้ได้ไหม เดี๋ยวถ้าคุณจูลี่ไม่พอใจ พี่จะให้ฉันไปอธิบายกับผู้ช่วยไป๋ยังไง? อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะพามา แต่เรื่องติดตามสัมภาษณ์นี่เป็นเรื่องที่ท่านประธานเป็นคนรับปากเอง”

หลินยวนกล่าว “ทำไมเธอถึงเอาแต่พูดแทนฝั่งนั้นนะ เธออยู่ฝั่งไหนกันแน่?”

กวนเสี่ยวชิงกล่าว “พูดแทนฝั่งนั้นอะไรกัน พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย นี่มันเรื่องงานนะพี่”

“เธอ…” หลินยวนจะไปพูดกับกวนเสี่ยวชิงว่าตัวเองไม่สะดวกให้ติดตามสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ จึงเปลี่ยนคำพูดว่า “พวกเธอจะทำอะไรฉันไม่ว่า จะติดตามสัมภาษณ์ก็แล้วแต่พวกเธอ แต่ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยของหลัวคังอัน พวกเธอไม่ไปหาหลัวคังอัน มาตามฉันทำไมกัน?”

กวนเสี่ยวชิงกล่าว “ฉันจะพาเธอไปหาหลัวคังอันแล้ว แต่จู่ๆ เธอบอกว่าจะมาเจอพี่ก่อน เธอจะเอาแบบนี้ แล้วฉันจะไปพูดอะไรได้ล่ะ?”

ในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครมาอีก หลินยวนหมุนตัวรีบเดินไป เขาเดินไปถึงประตู แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตู ประตูก็เปิดออกเสียก่อนแล้ว เป็นหลัวคังอันที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

หลัวคังอันที่ถูกยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตูยิ้มขึ้นมา “ใช้ได้นี่ รู้จักมาเปิดประตูต้อนรับแล้ว”

หลินยวนสีหน้าเรียบเฉย กล่าวเสียงเบาลงเล็กน้อยว่า “อย่าหาว่าผมไม่เตือนพี่นะ จูลี่อยู่ที่นี่”

“ใช้ไม้นี้กับฉันอีกแล้ว คิดว่าฉันโง่เหรอ? หึ!” หลัวคังอันยื่นมือไปผลักเขาออก ก่อนจะก้าวอาดๆ เข้าไปด้านใน

……………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน