ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 89 บ่าว

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 89 บ่าว

หลินยวนที่มุดออกมาจากในกล่องนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

กวนเสี่ยวไป๋ที่ขับรถอยู่กล่าวถามว่า “ถ้าเกิดลุงเฉินเข้าไปในห้องของแกจะทำยังไง?”

หลินยวนกล่าว “ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เขาไม่มีทางเข้าไปรบกวนเวลาฉันบำเพ็ญเพียร”

สำหรับจางเลี่ยเฉินแล้ว เรื่องบางเรื่องอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็ไว้ใจได้ จะเห็นได้จากเรื่องที่อีกฝ่ายไม่เคยเอาเบอร์ติดต่อตอนที่เขาอยู่เมืองหลวงไปบอกใคร

แล้วก็เรื่องที่หลายปีมานี้ไม่เคยเอาเรื่องที่เขากลายเป็นนักเรียนหลิงซานไปบอกกวนเสี่ยวไป๋

กวนเสี่ยวไป๋ส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าสหายที่ลับๆ ล่อๆ ผู้นี้คิดจะทำอะไร เขาเองก็ไม่สะดวกจะถามมาก

หลินยวนนั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลัง เขาพอจะนึกออกว่าด้วยชื่อเสียงของอาเหิงแล้ว ทางเมืองปู๋เชวี่ยจะต้องให้การรักษาความปลอดภัยแก่อาเหิงในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน การเข้าใกล้อาเหิงนั้นมีความยากลำบากอยู่

แต่งานเลี้ยงที่เหิงเทาจัดขึ้นมากลับเป็นโอกาส หลังจากอาเหิงออกไปที่งานแล้ว คนคุ้มกันในที่พักของเธอส่วนใหญ่น่าจะติดตามออกไปด้วย

ตอนนี้เขายังไม่อยากให้เหิงเทาทราบถึงตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของเขา หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่มีทางใช้งานเหิงเทา

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่กล้าไว้ใจใครง่ายๆ เพราะว่าจะไม่สามารถมั่นใจว่าเหิงเทาสามารถเชื่อถือได้หรือเปล่า

การใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดมาเป็นเวลาหลายปีทำให้เขามีความระมัดระวังอย่างมากในการรักษาความลับเรื่องสถานะของตัวเอง

อีกทั้งด้วยสถานะนักเรียนของหลิงซาน ตัวตนของเขาจึงเรียกได้ว่าลึกลับซับซ้อนมากที่สุดในบรรดาสิบสามมารสวรรค์แล้ว

……

เนื่องจากอาเหิงมีชื่อเสียงมากเกินไป เธอจึงไม่สามารถที่จะไปไหนมาไหนในเมืองปู๋เชวี่ยได้ตามอำเภอใจ หลังงานเลี้ยงจบสิ้นลง เธอก็ตรงกลับไปยังที่พัก

สำหรับเรื่องการรักษาความปลอดภัยของเธอแล้ว เมืองปู๋เชวี่ยค่อนข้างให้ความสำคัญที่เดียว พวกเขาต้องคอยระวังกลุ่มผู้ชื่นชอบที่คุ้มคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ในเมืองปู๋เชวี่ยยังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีผู้พิทักษ์เมืองสองคนเข้าไปทำการตรวจสอบห้องพักของอาเหิงก่อนที่อาเหิงจะกลับไปถึง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอันตรายอะไรแอบแฝงอยู่

ผู้พิทักษ์เมืองสองคนที่เชี่ยวชาญในการตรวจสอบทำการเปิดห้องพักของอาเหิง พวกเขาตรวจสอบห้องด้านนอกก่อน จากนั้นถึงจะเข้าไปยังห้องด้านใน

ในพริบตาที่ทั้งสองเข้าไปในห้องด้านใน คนที่แอบมองอยู่ด้านนอกก็เข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำมุดเข้าไปอยู่ใต้ผ้าคลุมโต๊ะของโต๊ะตัวหนึ่งอย่างเงียบๆ

หลังจากผู้พิทักษ์เมืองสองคนทำการตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมา พวกเขาเดินออกไปนอกห้อง ปิดประตู จากนั้นเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู

คนที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมมุดออกมาจากใต้โต๊ะ รีบทำการตรวจสอบภายในห้องอย่างรวดเร็ว

……

รถเข้ามาจอดภายในสวน พวกอาเหิงลงจากรถ หลังมาถึงหน้าประตูห้องที่อยู่ด้านบน ผู้พิทักษ์เมืองทั้งสองคนก็เปิดทางให้อาเหิงและฉีอวี่เอ๋อร์เข้าไปในห้อง

เมื่อเข้ามาในห้องที่ไม่มีใครอื่น อาเหิงก็คล้ายผ่อนคลายลงเล็กน้อย เธอหมุนตัวทิ้งร่างกอดฉีอวี่เอ๋อร์เอาไว้ ไม่อยากขยับเขยื้อน ท่าทางดูออดอ้อนเป็นอย่างมาก

เมื่อคืนเธอไม่ได้นอน แล้ววันนี้ยังต้องไปเข้าร่วมการแสดงอีก ตกเย็นก็ยังต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยง เวลานี้เธอเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก

“ไปอาบน้ำแล้วรีบนอนเถอะ” ฉีอวี่เอ๋อร์ตบหลังเธอ ดันเธอเข้าไปในห้องด้านใน

ขณะที่ฉีอวี่เอ๋อร์เพิ่งจะผลักอาเหิงเข้าไปในห้อง เธอพลันพบว่าอีกฝ่ายหยุดชะงักไป จึงมองตามไป ก่อนจะเห็นว่าบนโซฟามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เป็นคนที่สวมผ้าคลุมสีดำ เพียงแต่หมวกบนผ้าคลุมห้อยตกไปด้านหลัง สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน เขาก็คือหลินยวน

ทั้งสองคนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลินยวนจะมาปรากฏตัวอยู่ในห้องของพวกเธอ หากไม่เป็นเพราะเธอรู้จักอีกฝ่าย การที่จู่ๆ ภายในห้องก็มีคนปรากฏขึ้นมาแบบนี้ ทำเอาอาเหิงเกือบจะตะโกนกรีดร้องขึ้นมา

และเพื่อจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลินยวนจึงดึงหมวกลง เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

หลังจากนั้นทั้งสองก็ทำการตอบสนองออกมา รีบเดินเข้าไป อาเหิงยกกระโปรงขึ้นมา ทั้งสองคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คารวะท่านอ๋องเพคะ!”

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ต่างรู้ว่าไม่อาจส่งเสียงดังจนทำให้ผู้คุ้มกันด้านนอกรู้ตัวได้

ทั้งสองคนต่างก้มหน้า ภายในใจยังคงตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก ภายในห้องน่าจะถูกตรวจค้นไปแล้ว อีกทั้งด้านนอกก็มีผู้คุ้มกันอยู่ ใต้ตึกที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างก็น่าจะมีคนคอยจับตามองอยู่ ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไร

แต่แน่นอน ทั้งสองคนก็ไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้มากนัก อิทธิฤทธิ์ของท่านอ๋องแก่กล้าจนไม่มีอะไรให้สงสัย

หลินยวนจ้องพวกเธอทั้งสองคนอย่างเย็นชา สายตาจับจ้องไปที่อาเหิง จากนั้นกวักมือเรียก

อาเหิงที่เหลือบตาแอบมองรีบยกกระโปรงแล้วลุกขึ้น เดินสองสามก้าวไปตรงหน้าเขา ก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปอีกครั้ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอ๋อง”

ฉีอวี่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ไปยืนประสานมืออยู่ด้านหนึ่งของหลินยวน

หลินยวนที่นั่งตัวตรงโน้มกายมาข้างหน้าเล็กน้อย กล่าวถามอาเหิงว่า “ทีมนักแสดงออกไปจากเมืองแล้ว พวกเธอเองก็ควรจะออกไป ทำไมถึงยังอยู่?”

อาเหิงหวาดกลัวขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

ฉีอวี่เอ๋อร์เองก็หวาดกลัว ใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที หวาดกลัวจนเหมือนมีความรู้สึกว่าเหงื่อเย็นเยียบไหลซึมออกมา นิ้วทั้งสิบกำแน่น เธอรู้สึกหวาดกลัวแทนน้องสาว

หลินยวนยื่นมือออกไป เชยคางของอาเหิงขึ้นมา สบตากับเธอ “ตอบ”

อาเหิงหลบสายตา ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ คิดอยากจะตอบว่าเป็นเพราะจูลี่รั้งตัวเธอเอาไว้ เพียงแต่เป็นเพราะความน่ายำเกรงของหลินยวนในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เธอจึงไม่กล้าพูดโกหกต่อหน้าหลินยวน เพราะถ้าหากอีกฝ่ายรู้เข้า เธอรู้ดีว่าผลลัพธ์ของการโกหกคืออะไร แล้วก็ไม่กล้านิ่งเงียบอีก จึงได้แต่ต้องกล่าวเสียงสั่นไปว่า “ไม่ได้เจอท่านอ๋องมานาน จู่ๆ ได้เจอมาเช่นนี้ บ่าวเลยสะกดความคิดถึงไม่ไหว ก็เลยอยาก…ก็เลยอยาก…เอ่อ…”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ หลินยวนก็ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งบีบคอของอาเหิงเอาไว้แล้วยกตัวเธอขึ้นมา

มือทั้งสองข้างของอาเหิงจับมือที่บีบคอของตัวเองข้างนั้นเอาไว้ทันที เธออยากจะแกะมือออก แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น แต่คอของเธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกบีบจนหักแล้ว ใบหน้าแดงก่ำจนใกล้จะระเบิด ไม่สามารถหายใจได้ ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมา ใบหน้าที่งดงามถูกบีบจนบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย ใช้สายตาขอร้องวิงวอนจ้องมองหลินยวน

“ติดตามฉันมาหลายปี กระทั่งกฎก็ลืมไปหมดแล้ว กล้าดียังไง?” หลินยวนตะคอกเสียงทุ้มต่ำ

อาเหิงถูกบีบคอจนไม่สามารถตอบได้ แล้วก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ น้ำตาสองสายไหลมาจากหางตาทั้งสองข้าง

ตุบ ฉีอวี่เอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวคุกเข่าลงไป หลั่งน้ำตาออกมาเช่นเดียวกัน เธอโขกศีรษะไม่หยุด “ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วยเพคะ น้องทำไปเพราะคิดถึงท่านอ๋องมากเกินไป ขอท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย น้องจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง เป็นห่วงท่านอ๋องจริงๆ นะเพคะ…” ไม่นานใบหน้าเธอก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำตา

เธอคลานเข่าเข้ามาด้วยน้ำตานองหน้า คลานมาถึงใต้เท้าหลินยวน โขกศีรษะไม่หยุด

มือของหลินยวนที่บีบคออาเหิงอยู่มีแนวโน้มว่าจะออกแรงมากขึ้น การกระทำของอาเหิงทำให้เขาโกรธมากจริงๆ

แต่เมื่อมองดูดวงตาของอาเหิง เขาก็คิดถึงดวงตาที่มองเห็นในตอนที่แผ่นผนังถูกเปิดออกคู่นั้น คิดถึงภาพเด็กน้อยผอมดำที่คุกเข่าป้อนข้าวป้อนน้ำเขาอยู่บนพื้นคนนั้น

ถึงแม้จะถูกบีบคอเช่นนี้ แต่ภายในดวงตาของอาเหิงกลับไม่มีสายตากล่าวโทษใดๆ แม้แต่น้อย

ในที่สุดหลินยวนก็ปล่อยมือ

อาเหิงล้มลงไปกองกับพื้น ไอออกมาอย่างรุนแรง แต่เธอก็รีบเอามือปิดปากของตัวเองทันที ไม่กล้าไอเสียงดังออกมา ขณะเดียวกันก็หอบหายใจอย่างรุนแรง

ฉีอวี่เอ๋อร์ไม่กล้าลุกขึ้นยืน รีบคลานไปตรงหน้าอาเหิง พยุงน้องสาวขึ้นมาตรวจดูอาการ

คนสองคนที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ห่างมาเป็นเวลานานหลายปีต่างหลั่งน้ำตานองหน้า

ผ่านไปครู่ใหญ่ อาเหิงที่รู้สึกดีขึ้นก็รีบลุกขึ้นมาหมอบกราบอยู่บนพื้น กล่าวสะอึกสะอื้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “บ่าวผิดไปแล้วเพคะ”

ฉีอวี่เอ๋อร์เองก็คุกเข่าลงไปบนพื้นเช่นกัน “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไว้ชีวิตเพคะ”

หลินยวนค่อยๆ ไพล่มือไว้ด้านหลัง ก้มมองทั้งสองคนด้วยสายตาเฉยชา

ที่เขามาวันนี้ เขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าอาเหิง เพราะถ้าฆ่าอาเหิงไปตอนนี้ มันจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองปู๋เชวี่ยไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้อาเหิงเคยเจอหน้าเขาแล้ว

แต่ในเมื่อทำผิดกฎ การสั่งสอนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วก็จำเป็นต้องสั่งสอนเพื่อให้หลาบจำด้วย

อาเหิงไม่ใช่ว่าเพิ่งจะติดตามเขาเป็นวันแรก เธอย่อมต้องรู้ว่าเรื่องที่พวกเขาเหล่านี้ทำล้วนแต่เป็นเรื่องที่เอาศีรษะเป็นเดิมพัน ความผิดพลาดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

แล้วก็เป็นเพราะหลอนยวนสังเกตดู ถ้าหากเมื่อครู่ในดวงตาของอาเหิงมีแววตาเคียดแค้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นแม้เพียงแวบเดียว เช่นนั้นก็ไม่อาจไว้ชีวิตเธอเอาไว้ได้อีก ต่อให้อาเหิงสามารถออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยได้ แต่เธอก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้อยู่ดี

และผลลัพธ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ยังคงจงรักภักดีต่อตนอยู่

หลินยวนกล่าวถาม “ยังมีใครรู้เรื่องที่ฉันอยู่ที่นี่อีก?”

ฉีอวี่เอ๋อร์รีบร่ำไห้พลางส่ายศีรษะ “ไม่มีเพคะ”

อาเหิงเองก็พยายามกล่าวออกมาว่า “นอกจากพวกบ่าวสองพี่น้องแล้ว พวกบ่าวก็ไม่ได้บอกใครอีกเพคะ แล้วก็ไม่กล้าบอกใครด้วยเพคะ”

หลินยวนกล่าว “เรื่องตัวตนของฉันที่นี่ พวกเธอรู้มากน้อยเท่าไร?”

ฉีอวี่เอ๋อร์กลัวว่าอาเหิงจะตอบไม่ถูก จึงรีบชิงตอบว่า “ตอนที่พบท่านอ๋องเมื่อคืน บ่าวเพียงได้ยินจูลี่บอกว่าชื่อของพระองค์คือหลินยวน เป็นพนักงานของหอการค้าตระกูลฉิน เรื่องอื่นๆ บ่าวไม่กล้าถามเพคะ”

หลินยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อยู่ดีๆ จูลี่ก็มาบอกพวกเธอเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?”

ฉีอวี่เอ๋อร์กล่าว “พอเห็นว่าจูลี่สนิทกับพระองค์ น้องเลยถามไปด้วยความสงสัยว่าใคร เพียงเท่านั้นเพคะ ไม่ได้ถามอะไรอย่างอื่นอีกเลยเพคะ”

ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างที่เธอว่ามา แต่คำพูดที่อาเหิงใช้ถามจูลี่ในตอนนั้นไม่ใช่แบบนี้ เธอมีการปิดบังเล็กน้อย

หลินยวนกล่าว “แล้วพวกเธออยู่ที่นี่ได้ยังไง? เล่าทั้งหมดมาให้ละเอียด ห้ามปิดบังแม้แต่น้อย”

“เพคะ” ฉีอวี่เอ๋อร์ตอบ รีบบอกเล่าเรื่องราวออกมาอย่างละเอียด แต่ส่วนที่ควรปิดบังก็ยังปิดบังเอาไว้

จะรักษาชีวิตน้องของเธอเอาไว้ได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เธอกำลังทำการรักษาชีวิตจูลี่เอาไว้โดยไม่รู้ตัว

เมื่อเทียบกันแล้ว หรือสำหรับคนส่วนมากในดินแดนเซียนแล้ว ป้าหวังนั้นคือบุคคลที่อันตรายเป็นอย่างมาก

หลังหลินยวนได้ฟังก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกเธอน่าจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่คืออะไร อันตรายที่ต้องเผชิญคืออะไร หากตัวตนฉันถูกเปิดเผยออกไป ฉันสามารถหนีรอดไปได้ แต่คนที่ต้องตายคือพวกเธอ อย่าเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น ลุกขึ้นมาเถอะ”

“เพคะ” ทั้งสองคนพากันลุกขึ้นยืน ภายในใจยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่

หลินยวนกล่าว “ในเมื่อบอกกับทางนั้นเอาไว้แล้วว่าจะอยู่ต่อ อย่างนั้นก็แสดงต่อให้จบ หลับจบเรื่องแล้วให้ออกไปจากเมืองทันที หากชักช้าเด็ดขาด”

“เพคะ” ทั้งสองรับคำ อาเหิงกัดริมฝีปากเล็กน้อย

หลินยวนกล่าว “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเธอไม่จำเป็นต้องติดต่อฉันผ่านคนกลางอีก ทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ให้ฉัน ถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะติดต่อพวกเธอเอง” จุดเชื่อมโยงบางจุดได้ถูกเปิดเผยออกไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังสองคนนี้อีก

“เพคะ” ทั้งสองคนรับคำอีกครั้ง

ฉีอวี่เอ๋อร์รีบไปเขียนเบอร์โทรศัพท์ ก่อนจะประคองส่งให้หลินยวนด้วยสองมือ

ติดต่อโดยตรง? ใบหน้าของอาเหิงเผยให้เห็นถึงความรู้สึกยินดี

ทั้งสองคนรู้ว่าตนเองรอดตายแล้ว อารมณ์เองก็สงบนิ่งขึ้น หลังปลอดภัยแล้ว อาเหิงก็กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “พี่ ไปเตรียมน้ำร้อน”

ฉีอวี่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วหมุนตัว ส่วนตัวอาเหิงก็เผยให้เห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ค่อยๆ เดินไปตรงหน้าหลินยวน สองมือยกขึ้นปลดสายรัดผ้าคลุมของหลินยวน

หลินยวนดึงมือเธอออก กล่าวอย่างเฉยชาว่า “ไม่ค้าง”

สองมือของอาเหิงหยุดชะงัก จ้องมองดูเขา สุดท้ายจึงค่อยๆ วางสองมือลง ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วถอยไปอยู่ข้างๆ

ไม่นาน สองพี่น้องก็ออกไปข้างนอก บอกว่าจะไปเดินเล่นรับลมหน่อย

หลินยวนฉวยโอกาสที่ทั้งสองดึงความสนใจจากผู้คุ้มกัน หายตัวออกไปอย่างเงียบๆ

……..

กวนเสี่ยวไป๋มายังโรงอีหลิวอีกครั้ง เขานำเอาของมาส่งให้จางเลี่ยเฉินอีกกล่องหนึ่งตามสัญญา

เพียงแต่ครั้งนี้ทิ้งกล่องเอาไว้ด้วย อีกทั้งยังช่วยขนของเข้าไปในบ้านด้วย

กวนเสี่ยวไป๋อ้างว่ายังมีธุระ จึงไม่ได้อยู่ดื่มชา

ขณะที่จางเลี่ยเฉินออกมาส่งกวนเสี่ยวไป๋ หลินยวนก็มุดออกมาจากในกล่อง เทเอาของกองหนึ่งจากในแหวนสารพัดนึกมาใส่ไว้ในกล่อง จากนั้นไปแอบซ่อนตัวอยู่ตรงมุม

จางเลี่ยเฉินที่ปิดประตูหน้าเสร็จเรียบร้อยเดินกลับเข้ามาในบ้าน จากนั้นเปิดกล่องออกแล้วมองดูของที่อยู่ด้านใน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ปิดกล่องลงไป ค่อยๆ เดินมือไพล่หลังกลับไปยังห้องของตัวเอง

………………………………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน