ตอนที่ 135 ไม่ยอมแพ้
ภายในอุโมงค์เคลื่อนย้ายของเมืองปู๋เชวี่ย แสงสว่างส่องขึ้นฟ้า จากนั้นร่วงตกลงมา ภายในอุโมงเคลื่อนย้ายที่ก่อนหน้านี้ว่างเปล่าได้มีรถจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมา แล้วก็ยังมีเทพมหาวิญญาณแขนเดียวที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหายอยู่อีกตนหนึ่ง นั่นคือเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน
คณะตัวแทนของหอการค้าตระกูลฉินที่เข้าร่วมการประมูลกลับมาแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ภายในเมืองปู๋เชวี่ยกลับไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมากแน่
นี่เป็นเพราะว่าตอนนี้พนักงานของปู๋เชวี่ยวีดีโอที่รับผิดชอบเรื่องการถ่ายทอดสดถูกคุมตัวเอาไว้ การถ่ายทอดสดจึงหยุดลงกลางคัน ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่รู้ว่าหอการค้าตระกูลฉินที่ไปเข้าร่วมการประมูลได้กลับมาแล้ว
ลั่วเทียนเหอเองก็กลับมาพร้อมกัน ถึงแม้ตอนนี้การประมูลจะยังไม่ยุติลง อีกทั้งยังมีการเพิ่มเติมเงื่อนไขใหม่เข้าไป แล้วก็ต้องให้เวลาหอการค้าที่จะเข้าร่วมประมูลต่อเหล่านั้นได้เตรียมตัว เพราะว่าเทพมหาวิญญาณของแต่ละหอการค้าได้ถูกเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินทำลายไปแล้ว
ลั่วเทียนเหอยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ จึงฉวยโอกาสที่ว่างอยู่นี้กลับมาที่เมืองปู๋เชวี่ย
หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปเหิงเทามาต้อนรับด้วยตัวเอง เมื่อเจอหน้ากันก็กล่าวทักทายกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลั่วเทียนเหอพุ่งตัวออกไป บินกลับไปยังสำนักงานเจ้าเมืองที่อยู่บนยอดเขา เหิงเทารีบตามกลับไป
รถที่อยู่ภายในอุโมงค์เคลื่อนย้ายทยอยเคลื่อนตัวออกมา ก่อนจะแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ฉินอี๋อยู่ในรถคันหนึ่งในนั้น
เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินบินกลับไปยังค่ายผู้พิทักษ์เทพภายใต้การนำของผู้พิทักษ์เทพ เทพมหาวิญญาณยังต้องนำไปเก็บไว้ที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพเป็นการชั่วคราว
แล้วก็เก็บได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะทันทีที่เทพมหาวิญญาณกลายเป็นอุตสาหกรรมของหอการค้าตระกูลฉินอย่างเป็นทางการแล้ว ค่ายผู้พิทักษ์เทพนั้นไม่มีทางแบ่งสถานที่ให้หอการค้าตระกูลฉินได้ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการผลิตขนาดใหญ่ได้ แม้นจะให้เงินมากเท่าไรก็ไม่มีทางตอบตกลง หอการค้าตระกูลฉินจะต้องลงทุนบุกเบิกสถานที่แห่งใหม่ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ได้สร้างความวุ่นวายขึ้นมาในค่ายผู้พิทักษ์เทพ ลั่วเทียนเหอจึงไม่มีทางยอมให้ทำเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ความสัมพันธ์ของหอการค้าตระกูลฉินกับลั่วเทียนเหอจะแก้ไขได้
เมื่อนำเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินมาส่งเรียบร้อยแล้ว งานตรวจสอบและซ่อมบำรุงที่เหลือก็ไม่เกี่ยวข้องกับหลัวคังอันและหลินยวนอีก เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินเสียแล้ว การทำงานของทั้งสองคนจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน หอการค้าตระกูลฉินให้พวกเขาสองคนได้หยุดพักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน
ทั้งสองออกมาจากค่ายผู้พิทักษ์เทพ รถที่หอการค้าตระกูลฉินส่งมาพาพวกเขาทั้งสองคนกลับไปส่งที่บ้าน
“นี่จะไปไหน?”
ระหว่างทาง จู่ๆ หลัวคังอันก็พบว่าเส้นทางที่กำลังเดินทางกลับบ้านนั้นไม่ถูกต้อง จึงถามขึ้นมาด้วยความตกใจ พบว่านี่ไม่ใช่ทางที่จะกลับไปบ้านของตัวเอง เส้นทางที่ผิดปกติได้ทำให้เขาหวาดระแวงขึ้นมา
ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ในที่นั่งข้างคนขับเหลียวหน้ามาบอกเขา “คุณหลัวครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณกับคุณจูเก่อแล้ว ก่อนหน้านี้ทางหอการค้าจึงได้เตรียมที่อยู่ให้พวกคุณใหม่ คุณไม่ทราบหรือครับ?”
“เอ่อ…” หลัวคังอันรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาติดต่อจูเก่อม่าน หลังจบการประมูลแล้ว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะติดต่อจูเก่อม่านเพื่อบอกว่าตัวเองปลอดภัยอะไรทำนองนั้นเลย
หลังติดต่อได้แล้ว จูเก่อม่านก็บอกเขาว่าเธอเปลี่ยนที่อยู่แล้วจริงๆ ในเวลานี้เขาถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะจูเก่อม่านกลัวว่าจะรบกวนเขา เธอเลยไม่ได้โทรหาเขา
เมื่อมาถึงที่อยู่ใหม่ หลัวคังอันที่ลงจากรถก็กวาดตามองไปรอบๆ สองตาเปล่งประกาย นี่มันคฤหาสน์ชัดๆ! นี่คือคฤหาสน์ในเมืองปู๋เชวี่ยแน่นอน
เขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรางวัลที่หอการค้าตระกูลฉินตอบแทนที่เขาเอาชนะการประมูลมาได้
เมื่อกลับมาถึง เขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่หลินยวนเคยกล่าวเอาไว้ ความแตกต่างระหว่างการสู้กับไม่สู้ที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลังรู้ว่าเขากลับมาแล้ว จูเก่อม่านที่ออกมารออยู่นอกบ้านก็วิ่งออกมาเหมือนนกที่โผบินเข้าสู่ป่า ทิ้งตัวลงไปในอ้อมอกของเขา โอบกอดเขาไว้แน่น หลั่งน้ำตาด้วยความยินดีออกมา
หลัวคังอันปลอบโยนเธอเล็กน้อย ก่อนจะดันตัวเธอออกแล้วกล่าวถามว่า “ร้องไห้ทำไม?”
จูเก่อม่านส่ายศีรษะพลางเช็ดน้ำตา กวาดตามองดูเขาหัวจรดเท้า กล่าวถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ไม่เป็นไรก็แปลกแล้ว กระอักเลือดไปหลายคำ กระดูกหักไปสองครั้ง แต่หลัวคังอันต้องปิดบังเอาไว้ จึงฝืนฉีกยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไร จะเป็นอะไรได้ยังไง?”
เขาเองก็สังเกตดูปฏิกิริยาของจูเก่อม่านอย่างระมัดระวัง พบว่าจูเก่อม่านคล้ายจะยังไม่รู้เรื่องของเขากับเสวี่ยหลาน จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเขากลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะกินยาพิษอะไรขึ้นมาอีก ในเวลานี้อย่าเพิ่งมีเรื่องอะไรวุ่นวายอีกเลย
…..
หลินยวนไม่มีขบวนรถคอยคุ้มกันไปส่งเหมือนอย่างหลัวคังอัน เขาถูกรถคันหนึ่งกับคนขับรถคนหนึ่งพาไปส่งที่ประตูทางเข้าโรงอีหลิว
เมื่อเทียบกันแล้ว เขาเองก็ค่อนข้างปลอดภัย คู่ต่อสู้จะเสี่ยงมาสังหารเขาก็ไม่มีประโยชน์ เขาแค่ต้องคอยจับตาดูไม่ให้ใครมาฉวยโอกาสทำอะไรก็พอ
เมื่อปล่อยเขาลงแล้ว คนขับรถก็ขับรถออกไป
ร้านยายังคงเปิดทำการ แต่หน้าร้านเงียบเหงา ไม่มีคนมาใช้บริการ เขาเดินผ่านประตูหน้าร้านเข้าไป
จางเลี่ยเฉินที่นอนดูฉากแสงอยู่เหลียวหน้ากลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาว่า “กลับมาแล้วเหรอ?”
หลินยวนส่งเสียงอืม กล่าวถามว่า “มีโจ๊กไหม?”
จางเลี่ยเฉินวางพัดลงบนโต๊ะตัวเล็ก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปต้มโจ๊กให้
ตามกฎแล้ว หลินยวนจ่ายเงิน ที่นี่ต้องรับผิดชอบเรื่องกินอยู่
…..
จูลี่ที่ถูกขังอยู่ในคุกถูกพาตัวออกมา ถูกคนคุมตัวมาที่ห้องสืบสวน
เหิงเทารออยู่ในห้องสืบสวน เมื่อเธอมาถึง เขาก็โบกมือเล็กน้อยเพื่อบอกให้คนอื่นถอยออกไป จากนั้นผายมือไปทางจูลี่ “นั่งสิ”
จูลี่ดูไม่มีชีวิตชีวา ท่าทางอิดโรย สีหน้าหม่นหมอง นั่งลงตรงข้ามเหิงเทาอย่างเงียบๆ เธอยังทำใจกับการตายของเพื่อนสนิทไม่ได้
หลังจากที่รู้ข่าวการตายของเพื่อนสนิท เธอก็กลายเป็นแบบนี้
ในฐานะนักข่าว เมื่อก่อนมักจะได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าอิทธิพลมืดอะไรทำนองนั้น แต่ความดำมืดของอิทธิพลมืดในครั้งนี้ อีกทั้งความใหญ่ของแผนการนี้ แม้แต่เพื่อนสนิทของเธอก็ยังหลอกใช้เธอ กระทั่งชีวิตของเพื่อนสนิทก็ยังต้องเข้ามาเสี่ยงด้วย เรื่องนี้ทำให้เธอยิ่งรู้ซึ้งถึงความซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลังการแย่งชิงผลประโยชน์
เหิงเทากล่าว “คนก็ตายไปแล้ว ปล่อยวางซะเถอะนะ”
จูลี่ก้มศีรษะ กล่าวถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ยังมีอะไรจะถามอีกเหรือคะ?”
เหิงเทาพลิกมือหยิบเอาของชิ้นเล็กๆ ที่มีลักษณ์เรียบแบนออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นดันมาตรงหน้าเธอ “ของที่อยู่ในเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินฉันเอาออกมาให้เธอแล้ว ฉันตรวจสอบดูแล้ว ด้านในของมันเสียหายหมดแล้ว น่าจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่รุนแรงเข้า”
จูลี่เงยหน้ามอง นั่นคือกล้องวงจรปิดลับที่เธอแอบเอาเข้าไปติดไว้ในเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉิน สภาพภายนอกดูแล้วเหมือนไม่มีปัญหาอะไร
เรื่องนี้เธอได้สารภาพกับเหิงเทาไปแล้ว
ทุกคนที่เข้าไปในเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัยที่อาจจะเป็นคนก่อคดี และเธอคือคนที่เข้าไปในเทพมหาวิญญาณบ่อยที่สุด ก่อนหน้านี้ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทางนี้จึงต้องทำการสอบสวนเธอในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินว่าหอการค้าตระกูลฉินถูกคนแอบเล่นงานจนเสียหาย ตัวจูลี่เองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เธอย่อมต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ฝีมือของตัวเอง จึงทำได้เพียงต้องสารภาพเรื่องนี้ออกมา อธิบายว่าเป็นเพราะเธอสงสัยว่าเสวี่ยหลานอาจจะถูกหลัวคังอันพาเข้าไปในเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน เธอจึงได้ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้เพื่อจับตาดู ด้วยคิดอยากจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์บางอย่าง
ส่วนหลินยวน เธอไม่ได้เอ่ยถึง สำหรับหลินยวนแล้ว เธอมีแค่ความรู้สึกสงสัยจากสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานใดๆ
เหิงเทาส่ายศีรษะ “จูลี่ เธอเองก็ใจกล้าเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกล้าไปติดเจ้าสิ่งนี้ในตัวเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินได้ เธอไม่รู้หรือว่าหอการค้าตระกูลฉินพยายามอย่างมากแค่ไหนในการปกปิดความลับทางการค้าและเพื่อสู้กับหอการค้าอื่นๆ? นี่ถ้าสืบพบขึ้นมาจริงๆ เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าล้วงความลับทางการค้าของหอการค้าตระกูลฉินได้เลยนะ”
“หอการค้าตระกูลฉินเป็นนายทุนรายใหญ่ที่สุดของสถานีออกอากาศของพวกเธอ นี่ถ้าหอการค้าตระกูลฉินรู้เรื่องนี้เข้า เธอจะอธิบายได้หรือ? ไม่ว่าจะอธิบายได้หรือไม่ แต่การที่หอการค้าตระกูลฉินอนุญาตให้พวกเธอไปทำการสัมภาษณ์ ก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าท่านเจ้าเมือง แต่นี่เธอกลับมาแอบทำเรื่องนี้ ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป เธอจะให้ท่านเจ้าเมืองไปอธิบายกับทางหอการค้าตระกูลฉินอย่างไร?”
“ที่ผ่านมาท่านเจ้าเมืองไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าอะไรพวกนี้ หลังจากทราบเรื่องที่เธอทำ ท่านเจ้าเมืองไม่พอใจอย่างมาก! เรื่องงานตระเวนแสดง เธอทำให้ท่านเจ้าเมืองต้องเข้าไปมีส่วนพัวพันด้วย แล้วตอนนี้เธอยังมาทำเรื่องนี้อีก เธอจะให้ฉันว่าเธอยังไงดีนะ?”
เพื่อที่จะปกปิดเรื่องนี้ ทันทีที่เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินกลับมาถึง เขาก็รีบไปยังค่ายผู้พิทักษ์เทพ จากนั้นเข้าไปในตัวเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินโดยอ้างว่าเพื่อเข้าไปตรวจสอบ
จูลี่ถูกต่อว่าจนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมรับผิดเช่นกัน หากให้โอกาสเธอได้เลือกอีกครั้งล่ะก็ ด้วยธรรมชาติของอาชีพเธอ เธอก็ยังจะทำแบบนี้อยู่ดี
เหิงเทาถอนใจ “ต่อไปถ้าไม่ได้รับอนุญาต อย่าทำเรื่องแบบนี้อีก แล้วก็จำไว้ ปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้มิด อย่าให้หอการค้าตระกูลฉินรู้ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะทำตัวลำบาก เข้าใจไหม?”
“ค่ะ” จูลี่ก้มหน้ารับคำ
เหิงเทากล่าว “เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปเถอะ ทางสถานียังมีงานอีกเยอะที่รอให้เธอไปจัดการ”
ไม่มีอะไรแล้ว? จูลี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างมึนงง กล่าวถามว่า “แล้วเพื่อนร่วมงานของฉันล่ะคะ?”
เหิงเทากล่าว “กลับไปก่อนเธอแล้ว”
ตอนที่ลั่วเทียนเหอยังไม่ออกคำสั่ง เขายังไม่ปล่อยคน ทันทีที่ลั่วเทียนเหอกลับมา เขาจึงไปขอคำชี้แนะ ลั่วเทียนเหอจึงให้ปล่อยคนไป เขาถึงได้ปล่อยพวกเขาออกไป
จูลี่ค่อยๆ ลุกขึ้น สายตายังคงจ้องมองไปยังของที่อยู่บนโต๊ะ ชี้พลางกล่าวว่า “อันนี้ให้ฉันได้ไหมคะ?”
เหิงเทาไม่เข้าใจ “มันเสียแล้ว เธอยังจะเอาไปทำอะไร?”
จูลี่กล่าว “ค่าใช้จ่ายที่เอาไปซื้อของต้องเอาไปลงบัญชี ฉันเป็นผู้จัดการทั่วไปของสถานีก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างค่ะ”
เหิงเทาเข้าใจแล้ว จะเอากลับไปลงบัญชีนี่เอง จึงโบกมือพลางกล่าวว่า “เอาไปสิ”
ของที่ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้
จูลี่รีบหยิบของที่อยู่บนโต๊ะไปทันที ค้อมกายให้เหิงเทาเล็กน้อย จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไป
“เฮ้อ!” เหิงเทานวดขมับของตัวเองอย่างปวดหัว ตั้งแต่เรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วยังมีเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินเข้าร่วมการประมูลอีก ในระยะเวลาสั้นๆ มีเรื่องเกิดขึ้นไม่หยุด ทำให้เขายุ่งเป็นอย่างมาก ตอนนี้กระทั่งผู้หญิงคนนี้ก็ยังหาเรื่องมาเพิ่มให้ กลัวว่าเขายังยุ่งไม่พอหรือไง?
จูลี่ที่ออกมาจากคุกไม่ได้กลับไปบ้านเพื่อพักผ่อน หากแต่ตรงไปที่ปู๋เชวี่ยวีดีโอ
เมื่อเห็นผู้จัดการทั่วไปกลับมาอย่างปลอดภัย เหล่าพนักงานที่ภายในใจกำลังรู้สึกเป็นกังวลต่างก็โล่งใจ
จูลี่ทักทายทุกคนเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวอาดๆ เข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง กระทั่งสถานการณ์ของสถานีในตอนนี้ก็ไม่ถามถึงแม้แต่คำเดียว
ประตูหน้าต่างถูกปิดลง จูลี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หยิบเอากล้องวงจรปิดที่เสียหายตัวนั้นออกมา จากนั้นหาเครื่องมือมาทำการแกะมันด้วยตัวเอง ไม่นานก็แกะมันออกได้
เมื่อมีงานให้ทำ สีหน้าท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
หลังจากเศษชิ้นส่วนที่อยู่ภายในเผยออกมา เธอก็พบว่ามันเป็นอย่างที่เหิงเทาพูดจริงๆ ด้านในเสียหายหมดแล้ว ผลึกเก็บเสียงที่เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดถูกกระแทกจนแตกละเอียด เสียหายจนใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่เธอไม่ยอมแพ้ หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทรไปยังเบอร์เบอร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว “เหล่าโม่ ฉันเอง จูลี่”
เหล่าโม่ที่ว่านี้คือเพื่อนร่วมอาชีพที่เธอสนิทคุ้นเคยคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้อาวุโสในวงการนักข่าวของพวกเธอ
ภายในโทรศัพท์มีเสียงหัวเราะของผู้ชายดังออกมา “จูลี่ ได้ข่าวว่าตอนนี้เป็นใหญ่เป็นโตแล้วนี่ เป็นถึงผู้จัดการทั่วไปของสถานีออกอากาศเลย ฉันยังนึกว่าเธอลืมฉันไปแล้วซะอีก จู่ๆ ทำไมถึงโทรมาหาฉันได้ล่ะเนี่ย มาที่เมืองหลวงเหรอ?”
จูลี่กล่าว “โหญ่โตอะไรล่ะ ดีหรือไม่ดีมีแต่ตัวเองที่รู้ ช่วงนี้ฉันยังไปเมืองหลวงไม่ได้ ต่อไปถ้ามีโอกาสจะกลับไปเลี้ยงข้าว ถึงตอนนั้นจะเลี้ยงพี่อย่างดีเลย”
เหล่าโม่หัวเราะอย่างมีความสุข “เธอพูดเองนะ ฉันจำไว้แล้วนะ”
จูลี่กล่าว “ฉันรักษาคำพูดอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา เออใช่ เหล่าโม่ ฉันมีเรื่องอยากให้พี่ช่วยหน่อย”
เหล่าโม่เองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เรื่องอะไร ว่ามา!”
อาชีพอย่างพวกเขามักจะต้องไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ บ่อยๆ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องส่วนตัวนั้นนับเป็นเรื่องปกติ
จูลี่กล่าว “ฉันเหมือนจะจำได้ว่าพี่เคยชื่นชมถึงคนคนหนึ่ง บอกว่าเคยเจอผู้เชี่ยวชาญในการซ่อมผลึกเก็บเสียงคนหนึ่ง ขนาดผลึกเก็บเสียงที่แตกเป็นชิ้นๆ ก็ยังซ่อมกลับมาได้ พี่รู้จักคนคนนั้นใช่ไหม?”
………………………………………………………………..