ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 139 จับตัวเอาไว้!

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 139 จับตัวเอาไว้!

โจวหม่านเชา “ท่านเสมียนใหญ่กล่าวเตือนได้ถูกต้องแล้วครับ ดังนั้นการย้ายลั่วเทียนเหอออกไปจะทำให้เราลงมือได้สะดวกครับ”

กงหู่จ้าวกล่าว “กลยุทธ์ของพวกแกอันนี้ถือว่าไม่เลว ตอนนี้ทางตระกูลกำลังเตรียมการอยู่ ในเมืองปู๋เชวี่ยมีการฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้น จนถึงตอนนี้ยังหาเบาะแสของฆาตกรไม่ได้ แม้แต่ค่ายผู้พิทักษ์เทพก็ดูเหมือนจะไม่มีการจัดวางกำลังการป้องกัน จึงถูกคนเล่นงานได้ง่าย ลั่วเทียนเหอเป็นผู้ปกครองเมืองปู๋เชวี่ย ยากที่จะปัดความรับผิดชอบได้ เขาต้องถูกย้ายออกจากเมืองปู๋เชวี่ยแน่นอน”

โจวหม่านเชากล่าว “ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะจัดการกับลั่วเทียนเหอเมื่อไร? ทางผมจะได้เตรียมตัวถูก”

กงหู่จ้าว “ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้ยังต้องรอดูผลการประมูลของหอการค้าเหล่านั้นเสียก่อน ถ้ามีคนชนะขึ้นมาแล้วสามารถเข้าไปแข่งกับหอการค้าตระกูลฉินได้ ลงมือไปตอนนี้กลับจะเป็นการช่วยคนอื่นไปเสียเปล่า ถ้าสุดท้ายแล้วหอการค้าตระกูลฉินพ่ายแพ้ เบื้องบนก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำอะไรอีก แต่ถ้าหอการค้าตระกูลฉินชนะ เราค่อยไปจัดการลั่วเทียนเหอก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นค่อยไปกดดันอีกสักหน่อย เผลอๆ หอการค้าตระกูลฉินอาจจะยอมคายเนื้อที่อยู่ในปากออกมาก็เป็นได้”

โจวหม่านเชาพูดประจบสอพลอทันที “ท่านเสมียนใหญ่มองการณ์ไกลจริงๆ ครับ”

กงหู่จ้าว “แกอย่าเพิ่งรีบดีใจไป หากว่าเบื้องบนพยายามทุกวิถีทางจนย้ายลั่วเทียนเหอไปได้แล้ว แต่พวกแกยังทำอะไรหอการค้าตระกูลฉินไม่ได้ล่ะก็ ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่หอการค้าตระกูลโจวของแกเท่านั้นที่ไม่สามารถอธิบายกับทางเบื้องบนได้ ฉันเองก็ไม่สามารถอธิบายกับทางเบื้องบนได้เหมือนกัน และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันต้องมานั่งสั่งการอยู่ที่หอการค้าตระกูลโจวด้วยตัวเอง!”

โจวหม่านเชา “มีท่านเสมียนใหญ่สั่งการอยู่ที่นี่ หอการค้าตระกูลฉินจะต้องพ่ายแพ้แน่ครับ!”

กล่าวจบก็เห็นสายตาของกงหู่จ้าวจ้องมองออกไปด้านนอกประตู เขาเองก็หันไปมองเช่นกัน เห็นด้านนอกมีคนเข้ามาคนหนึ่ง กระซิบกระซาบตรงข้างหูเมิ่งซู่ที่อยู่ตรงประตูทางเข้าพักหนึ่ง ไม่รู้กำลังคุยอะไรกัน

เมิ่งซู่พยักหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง ก่อนจะโบกมือให้คนคนนั้นถอยออกไป จากนั้นส่งสายตามาที่เขา แววตาบ่งบอกว่ามีอะไรอยากจะพูด

โจวหม่านเชากวักมือเรียกทันที กล่าวว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก มีอะไรจะพูดก็พูดมา”

เมิ่งซู่รีบก้าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว โน้มตัวคารวะกงหู่จ้าวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานก่อน จากนั้นถึงจะหันไปพูดกับโจวหม่านเชาว่า “ท่านประธานครับ ทางผู้พิทักษ์เมืองได้ส่งข่าวมาครับ บอกว่าเมืองปู๋เชวี่ยต้องการให้ท่านไปที่นั่นด่วนที่สุดครับ ให้ท่านไปช่วยเรื่องสืบคดีครับ!”

โจวหม่านเชาตกใจปนสงสัย “เมืองปู๋เชวี่ยจะให้ฉันไปช่วยสืบคดี สืบอะไร?”

กงหู่จ้าวที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานหรี่ตามองไปยังเมิ่งซู่ เผิงซีที่อยู่ตรงประตูได้ยินเนื้อหาที่พูดคุยกันแว่วๆ จึงหันหน้ามองเข้าไปด้านในเช่นกัน

เมิ่งซู่กล่าว “เรื่องคดีหนอนบ่อนไส้ในค่ายผู้พิทักษ์เทพเมืองปู๋เชวี่ยครับ พวกเขาอยากเชิญท่านไปให้ปากคำหน่อยครับ!”

โจวหม่านเชาตกใจเป็นอย่างมาก หันขวับไปที่ด้านนอกประตู ตะโกนเรียก “เผิงซี”

เผิงซีรีบก้าวเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว จากนั้นประสานมือคารวะ “ครับ คุณน้า”

โจวหม่านเชาจ้องไปที่เขา ก่อนจะกล่าวถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “ทางฝั่งจ่าเซียวมีคนถูกเมืองปู๋เชวี่ยจับไปเหรอ?”

เผิงซี “ไม่มีครับ คนยังอยู่ในการควบคุมของพวกเรา ไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้ครับ ต่อให้มีใครหลุดรอดไปได้ ทางผมก็จะรู้ทันทีครับ หรือในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้มีใครตกไปอยู่ในมือของเมืองปู๋เชวี่ย แต่คนที่ติดต่อกับจ่าเซียวคือคนอื่นครับ จ่าเซียวไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราครับ”

ความรู้สึกตื่นตระหนกลนลานของโจวหม่านเชาค่อยๆ สงบลง พอคิดอย่างใจเย็นก็พบว่าจริงดั่งว่า อะไรที่ควรเก็บกวาดก็เก็บกวาดไปจนหมดแล้ว เมืองปู๋เชวี่ยไม่มีทางจะได้หลักฐานอะไรไป จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “อย่างนั้นเมืองปู๋เชวี่ยจะให้ฉันไปให้ปากคำทำไม?”

เผิงซีกล่าว “ตอนที่พี่หยวนเฉินเสียชีวิต พานหลิงอวิ๋นก็เคยถูกเรียกตัวไปให้ปากคำที่เมืองปู๋เชวี่ยเหมือนกันครับ ดูแล้วก็น่าจะคล้ายๆ กันครับ”

เพราะเรื่องมันเกี่ยวกับตนเอง โจวหม่านเชาเลยจำเป็นต้องระมัดระวังรอบคอบ “ไม่มีหลักฐานแล้วยังถามหาฉัน จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

กงหู่จ้าวกล่าวออกมาว่า “ขอแค่พวกแกมั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ อย่างนั้นมันจะมีปัญหาอะไรได้อีก? เมืองปู๋เชวี่ยสงสัยพวกแก จะเรียกตัวพวกแกไปสอบถามมันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้ามีหลักฐานอะไรจริงๆ พวกเขาคงจะมาจับตัวพวกแกไปแล้ว ไม่มีทางมานั่งเกรงใจแบบนี้หรอก”

โจวหม่านเชาคิดๆ ก็พบว่าจริงอย่างว่า ความหวาดวิตกภายในใจจึงผ่อนคลายลง

กงหู่จ้าวกล่าวต่อว่า “แล้วอีกอย่าง เมืองปู๋เชวี่ยส่งสารขอความร่วมมือในการสืบสวนอย่างเป็นทางการมาให้แก แกจะไม่ไปได้หรือ? จะปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือเหรอ? หรือแกอยากจะให้ฝั่งนั้นมีข้ออ้าง ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครพูดอะไรได้อีก และแกก็คงถูกบังคับให้ไปที่นั่นจริงๆ แล้ว”

เผิงซีที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมาว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองปู๋เชวี่ยสอบปากคำเกินความเหมาะสม ได้โปรดขอให้ทางเจ้าเมืองฝูปอส่งคนไปด้วยเถอะครับ”

สิ่งที่เรียกว่า ‘สอบปากคำเกินความเหมาะสม’ เห็นได้ชัดว่าคือการกลัวว่าเมืองปู๋เชวี่ยจะใช้วิธีทรมานเพื่อให้รับสารภาพ!

โจวหม่านเชาพยักหน้าเล็กน้อย

กงหู่จ้าวกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ขอแค่แกยืนกรานไม่พูดอะไร เมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่มีทางกล้าทำอะไรแกเพราะไม่มีหลักฐาน ฉันจะคอยจับตาดูอยู่ที่นี่ ถ้าเมืองปู๋เชวี่ยกล้าทำอะไรล่ะก็ ตระกูลกงหู่ไม่มีทางนั่งมองเฉยๆ แน่”

“ท่านเสมียนใหญ่พูดแบบนี้ ผู้น้อยก็วางใจครับ” โจวหม่านเชาประสานมือขอบคุณ

ณ อุโมงค์เคลื่อนย้ายของเมืองปู๋เชวี่ย แสงสว่างทยอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

…..

ไป๋หลิงหลงเข้าไปในห้องทำงานของฉินอี๋อย่างรีบร้อน รีบกล่าวรายงานฉินอี๋ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่โต๊ะ “ท่านประธานคะ โจวหม่านเชากับพานชิ่งมาค่ะ ไปที่สำนักงานเจ้าเมืองแล้วค่ะ”

ฉินอี๋เงยหน้าขึ้นมา กล่าวถามเสียงเข้มว่า “พวกเขามาทำอะไร?”

เธอจำเป็นต้องระแวดระวัง เพราะทางนี้รู้ดีว่าหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานอยากจะทำอะไรหอการค้าตระกูลฉิน จู่ๆ ทั้งสองคนนั้นก็มาเยือนเมืองปู๋เชวี่ยอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังไปที่สำนักงานเจ้าเมืองอีก ใครจะไปรู้ว่าพวกเขามีเจตนาอะไร

ไป๋หลิงหลงกล่าว “เพิ่งมาถึงค่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนมาที่นี่ทำไมค่ะ”

ฉินอี๋เพียงกล่าวว่า “จับตาดูไว้!”

…..

ณ สำนักงานเจ้าเมือง โจวหม่านเชากับพานชิ่งที่กำลังรออยู่นอกห้องโถงเจอหน้ากันโดยบังเอิญ ทั้งสองต่างประหลาดใจอย่างมาก มาถึงแล้วถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็มาด้วยเหมือนกัน

“นายก็มาช่วยเรื่องสืบคดีเหรอ?” โจวหม่านเชากระซิบถามเสียงเบา

พานชิ่งตอบอืม

โจวหม่านเชามองไปรอบๆ กระซิบถามอีกครั้งว่า “ได้ยินว่าคนของตระกูลเซียนหลัวไปหานายเหรอ?”

พานชิ่งกล่าว “กงหู่จ้าวก็ไปหานายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

ความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝั่งค่อนข้างเอิกเกริกวุ่นวาย ไม่มีใครปิดบังใครได้

โจวหม่านเชากล่าว “ดูเหมือนว่าทั้งสองตระกูลจะเริ่มสนใจหอการค้าตระกูลฉินแล้ว”

พานชิ่งกล่าว “ไม่สนใจไม่ได้หรอก ขืนทำพลาดอีกก็จะเสียแคว้นเซียนคุนกว่างไป พวกกงหู่จ้าวเองก็ไม่มีทางไปอธิบายกับทางเบื้องบนได้ แล้วก็ควรจะสนใจตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไง ทั้งสองตระกูลก็เริ่มจะยื่นมือเข้ามาแล้ว การมีอำนาจของพวกเขาเข้ามาแทรกแซงนับว่าเป็นเรื่องดี”

ทั้งสองคนกระซิบกระซาบกัน เจ้าหน้าที่เซียนสี่คนที่เมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ส่งมาเป็นเพื่อนหันมองซ้ายมองขวาอยู่เป็นระยะ พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนที่ถูกขอให้มาช่วยสืบคดีจะถูกพาตัวมายังสำนักงานเจ้าเมืองของแคว้นปู๋เชวี่ยโดยตรง

ณ ประตูห้องโถง เหิงเทาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวทักทาย “ทั้งสองคนเชิญเข้าไปได้ ท่านเจ้าเมืองต้องการพบพวกคุณ”

ลั่วเทียนเหอต้องการพบพวกเขา? พานชิ่งกับโจวหม่านเชาสบตากันเล็กน้อย ไม่กล้าชักช้า รีบจัดจัดแจงเสื้อผ้าของตนแล้วเดินขึ้นบันไดไป

เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนจากเมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ตามไปด้วย

แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากเหิงเทาที่ยืนอยู่บนบันไดปล่อยพานชิ่งกับโจวหม่านเชาเข้าไป จู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปขวางเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่ไว้ “ท่านเจ้าเมืองอยากสอบถามพวกเขาสองคนเป็นการส่วนตัว พวกคุณอย่าเข้าไปรบกวนดีกว่า”

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งกล่าวออกมาว่า “ในเมื่อเป็นการขอความร่วมมือในการสืบสวน พวกเราไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้หรอกครับ หรือว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้ใครรู้ได้?”

เหิงเทากล่าว “เข้าใจผิดแล้วครับ ผมบอกแล้วว่าท่านเจ้าเมืองมีเรื่องอยากจะถามพวกเขาเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องสืบสวนก็รอให้พวกเขาออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะครับ ทำไม กลัวว่าพวกเราจะฆ่าพวกเขาเหรอครับ?”

ทั้งสี่คนมองหน้ากันอีกครั้ง การฆ่าคนโดยที่ไม่มีหลักฐานนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ อันที่จริงแล้วสถานะของพานชิ่งกับโจวหม่านเชาล้วนไม่ธรรมดา ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีแม้กระทั่งที่ให้ร้องขอความเป็นธรรมเวลาเกิดเรื่องด้วยซ้ำ

เหิงเทาผายมือเป็นสัญญาณเชิญให้ลงจากบันได “ทุกท่านเชิญกลับ” เขาถอยหลังไปสองก้าว ก่อนที่ผู้คุ้มกันที่เฝ้าประตูอยู่จะเข้ามาขวางพวกเขาทั้งสี่คนทันที

ทั้งสี่คนสบตากัน ทำได้เพียงเดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ

พานชิ่งกับโจวหม่านเชาที่เข้ามาในห้องโถงหยุดเดิน จากนั้นก็จ้องมองดูสถานการณ์ทางด้านนอก รู้สึกตระหนกตกใจและสงสัยเล็กน้อย

เหิงเทาหมุนตัวเดินเข้ามาด้านใน ผายมือไปทางพวกเขาสองคนด้วยความสุภาพ กล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองรอพวกคุณทั้งสองคนอยู่ด้านใน เชิญ!”

“ตกลง” เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงตกลงแล้วเดินตามเหิงเทาเข้าไปอย่างงุนงง

เหิงเทานำทั้งสองคนเดินผ่านโถงด้านหน้าไป ตรงไปยังโถงด้านหลัง

พานชิ่งและโจวหม่านเชาที่เข้าไปในโถงด้านหลังไม่เห็นลั่วเทียนเหอ แต่กลับเห็นผู้พิทักษ์เมืองสวมชุดเกราะแถวหนึ่งอยู่ในโถงด้านหลัง

เหิงเทาที่เดินไปยังกึ่งกลางโถงด้านหลังพลันหยุดเดินกะทันหัน ทั้งสองคนที่ติดตามมาก็รีบหยุดฝีเท้าเช่นเดียวกัน เกือบจะชนเข้ากับเหิงเทา ทั้งสองกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเงียบๆ

เหิงเทาที่หันหลังอยู่พลันยกมือขึ้นมาช้าๆ ส่งสัญญาณมือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “จับตัวไว้!”

พานชิ่งกับโจวหม่านเชายังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้พิทักษ์เมืองแถวนั้นก็กระโจนเข้าใส่พวกเขาอย่างดุดันราวกับเสือ จับแขนของพวกเขาทั้งสองไพล่เอาไว้ด้านหลัง ล็อกตัวพวกเขาเอาไว้ ก่อนจะกดทั้งสองคนให้คุกเข่าอยู่ด้านหลังเหิงเทาที่ยืนหันหลังอยู่

ทั้งสองคนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล

“หัวหน้าเหิง นี่หมายความว่าอะไร? ผมรอ…” โจวหม่านเชาร้องเสียงหลง

ใครจะรู้ว่าทางด้านข้างจะมีคนก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ผู้พิทักษ์เมืองคนหนึ่งสะบัดมือตบลงไปที่หน้า เพียะ เสียงฝ่ามือดังชัดเจน ทำเอาเขาปิดปากไปทันที

พานชิ่งกล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “หัวหน้าเหิง…”

เพียะ! ทางด้านข้างมีผู้พิทักษ์เมืองก้าวออกมาอีกคนหนึ่ง ตบไปที่หน้าเพื่อให้เขาหยุดพูดเช่นเดียวกัน

ผู้พิทักษ์เมืองทั้งสองคนลงมือค่อนข้างรุนแรง ใบหน้าของทั้งคู่จึงปรากฏรอยบวมที่สามารถมองเห็นได้ขึ้นมา พวกเขาถูกตบจนมึนงง ต้องสะบัดหน้าแรงๆ ถึงจะได้สติขึ้นมา

ในเวลานี้เอง เหิงเทาถึงจะค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เอามือไพล่หลังอย่างช้าๆ ก้มลงมองทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กระทั่งทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใจกล้าไม่เบา กล้าพูดจาจาบจ้วงท่านเจ้าเมืองอย่างนั้นเรอะ กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามท่านเจ้าเมืองต่อหน้าอย่างนั้นเรอะ!”

นี่มันบ้าอะไรกัน? ทั้งสองคนมึนงง ฟังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร พานชิ่งรีบกล่าวว่า “หัวหน้าเหิง…”

เพียะ! ผู้พิทักษ์เมืองที่อยู่ด้านข้างตบไปที่หน้าอย่างรุนแรงอีกครั้ง เสียงดังฟังชัด

การลงมือในครั้งนี้ไม่หยุดลงง่ายๆ พวกเขาตบหน้าพานชิ่งที่ถูกกดไว้ ซ้ายทีขวาที

“พวกเรา…” โจวหม่านเชาเพิ่งจะพ่นคำพูดออกมาได้สองคำ แต่ฝั่งนี้กลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่น้อย ทันทีที่อ้าปากก็ลงมือ ตกอยู่ในสภาพเดียวกับพานชิ่งทันที

ไม่นานนัก ท่ามกลางเสียงตบหน้าดังเพียะๆ ทั้งสองคนเลือดไหลออกมาทั้งทางปากและจมูก ทั่วทั้งใบหน้าอาบชโลมไปด้วยโลหิตสดๆ ไหลหยดลงบนเสื้อผ้าบริเวณหน้าอก ใบหน้ายิ่งบวมเป่งจนดูไม่ได้

ทั้งคู่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน คิดไม่ถึงว่าการมาในครั้งนี้จะต้องมาเจออะไรแบบนี้

เหิงเทามองดูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กระทั่งมั่นใจแล้วว่าทั้งสองคนถูกตบจนพูดไม่ได้แล้ว เขาถึงจะพูดออกมาว่า “พอแล้ว ลากไปที่คุก เฝ้าเอาไว้ให้ดี!”

“ครับ!” ผู้พิทักษ์เมืองหยุดมือ รับคำสั่งพร้อมกัน ก่อนจะลากสองร่างนองเลือดที่เกือบจะสลบไสลไม่ได้สติออกไปจากโถงด้านหลัง

นอกประตูห้องโถงใหญ่ เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนที่รออยู่เห็นภาพผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มหนึ่งกำลังลากคนออกมา ต่างตะลึงงันไปทันที ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะหนึ่งยังมองไม่ออกว่าสองคนที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนคือใคร แต่หลังจากมองดูเสื้อผ้าที่สวมใส่และรู้ว่าทั้งคู่เป็นใครแล้ว เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่มีใครคิดถึงว่าในเวลาแค่เพียงพริบตาเดียว พานชิ่งกับโจวหม่านเชาจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

ทั้งสี่จะนั่งดูเฉยๆ ได้อย่างไร พวกเขาจึงพุ่งตัวออกไปพร้อมกันทันที เข้าไปขวางผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มนั้นเอาไว้ เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “หยุด! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เหิงเทาที่ค่อยๆ เดินออกมาตรงประตูตำหนักกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “สารเลวสองคนนี้โอหังอวดดี กล้าพูดจาจาบจ้วงดูหมิ่นเหยียดหยามท่านเจ้าเมืองต่อหน้า จะให้ปล่อยไปได้อย่างไร!”

ทั้งสี่คนมองไปทางพานชิ่งกับโจวหม่านเชาด้วยความตกใจระคนสงสัย อยากจะถามทั้งสองคนนักว่าพวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ หรือว่าเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว?

ภายในปากพานชิ่งกับโจวหม่านเชาเต็มไปด้วยเลือด อยากจะแก้ต่างให้ตัวเองเหลือเกินว่ากระทั่งหน้าของลั่วเทียนเหอก็ยังไม่ได้เจอเลย แล้วจะไปพูดจาจาบจ้วงได้ยังไง?

…………………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท