ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 140 ปล่อยคนไปน่ะเหรอ นั่นมันเป็นไปไม่ได้!

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 140 ปล่อยคนไปน่ะเหรอ นั่นมันเป็นไปไม่ได้!

ทว่าปากไม่สามารถพูดออกมาได้ ทั้งสองจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย

เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่มองออกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ คิดๆ ดูแล้วมันก็ใช่ ถึงแม้พานชิ่งกับโจวหม่านเชามีเงินและมีอำนาจก็จริง แต่เงินและอำนาจนี้ถ้าเทียบกับสภาเซียนแล้วจะนับเป็นอันใดได้? ต่อให้ทั้งสองจะอวดดีแค่ไหน ก็คงไม่ถึงกับกล้าดีไปกระทำตัวสามหาวต่อหน้าลั่วเทียนเหอหรือเปล่า?

ทั้งสี่ไม่ยอมปล่อยไป รีบเข้าไปขวางกลุ่มผู้พิทักษ์เมืองเอาไว้ทันที เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งกล่าวว่า “ให้พวกเราตรวจสอบสักหน่อยคงไม่เสียเวลาอะไรหรอกมั้งครับ”

เหิงเทาเคลื่อนกายเข้ามา “พวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว มีหรือจะกล้ายอมรับ แต่ไม่เป็นไร ที่นี่มีคนเห็นตั้งเยอะตั้งแยะ คิดว่าพวกเขาไม่ยอมรับแล้วจะรอดไปได้หรือ?”

ผู้พิทักษ์เมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “เราทุกคนเป็นพยานได้”

เหิงเทาจึงพูดอย่างเฉยเมยว่า “ได้ยินแล้วใช่ไหม? หลีกไป!”

ทว่าทั้งสี่คนไม่ยอมปล่อย หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “หัวหน้าเหิง นี่เป็นเพียงคำพูดของคุณฝ่ายเดียว หากเป็นเรื่องจริงก็ให้พวกเราตรวจสอบสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?”

เหิงเทากล่าว “พวกคุณไม่เชื่อคำพูดฝ่ายเดียวของพวกเรา อย่างนั้นคำพูดฝ่ายเดียวของพวกเขาคุณคิดว่ามันเชื่อถือได้หรือไง? จะตรวจสอบก็ได้ ผมอนุญาต แต่ที่นี่คือสำนักงานเจ้าเมือง ไม่ใช่สถานที่ที่จะมานั่งถกเถียงกัน จับคนเข้าคุกก่อน จากนั้นพวกคุณจะตรวจสอบอย่างไรก็แล้วแต่พวกคุณ หลีกไป!”

ทั้งสี่คนลังเล

สีหน้าของเหิงเทาพลันเปลี่ยนไปทันที “ทำไม? พวกคุณคิดจะก่อเรื่องในสำนักงานเจ้าเมืองของเมืองปู๋เชวี่ยหรือไง?” เขาโบกมือ

ผู้พิทักษ์เมืองพุ่งเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ทันที ทั้งสี่คนรีบหันหลังชนกัน ระแวดระวังพร้อมป้องกันตัว

เหิงเทาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้ง รีบหลีกทางไปซะ ถ้ายังกล้าสร้างปัญหาอีกผมจะจับพวกคุณไปด้วย”

สถานการณ์บีบบังคับ ทั้งสี่คนนับว่ามองออกแล้ว ทางฝั่งนี้กำลังหาข้ออ้างเพื่อจับคนชัดๆ พวกเขาขวางเอาไว้ไม่ได้ อีกฝ่ายยังคงดึงดันที่พาตัวคนไป หากพวกเขาฝืนขัดขวางเอาไว้กลับจะกลายเป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผล หลังขยิบตาให้กันเล็กน้อย ทั้งสี่คนจำต้องถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ทันทีที่พวกเขาหลีกทาง ผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มหนึ่งก็ลากพานชิ่งกับโจวหม่านเชาออกไป

ความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกในใจของประธานหอการค้าทั้งสองคนนั้นยากเกินกว่าที่คนนอกจะจินตนาการได้ การที่เมืองปู๋เชวี่ยใช้อำนาจบังคับจับตัวพวกเขาไปแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ อยากจะฆ่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนที่เมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ส่งมาก็ทำได้เพียงมองดูร่างของทั้งสองคนที่อาบไปด้วยเลือดถูกลากออกไปโดยไม่อาจทำอะไรได้

ส่วนเหิงเทายืนเอามือไพล่หลัง มองดูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งก็หมุนตัวกลับมา ประสานมือคารวะเหิงเทาแล้วพูดว่า “หัวหน้าเหิง เมื่อครู่คุณบอกว่าพวกเราสามารถไปตรวจสอบความจริงที่คุกได้ ไม่ทราบว่าคำพูดนี้จริงหรือไม่”

เหิงเทาตอบ “แน่นอน เมืองปู๋เชวี่ยไม่ใช่สถานที่ที่ไม่มีเหตุผล ขอเพียงไม่พาคนออกจากคุก พวกคุณก็สามารถยื่นเรื่องเข้ามาได้ทุกเวลา”

ทั้งสี่คนประสานมือพร้อมกัน ไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก รีบตามคนที่ถูกจับตัวไปทันที ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยในพฤติกรรมใจกว้างของเหิงเทา หรือสองคนนั้นจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปทำอะไรล่วงเกินต่อหน้าลั่วเทียนเหอเข้าจริงๆ?

อย่าว่าแต่พวกเขาเลยที่นึกสงสัย แม้แต่ตัวเหิงเทาเองก็ยังสงสัยเช่นเดียวกัน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลั่วเทียนเหอจะทำอะไร จู่ๆ ถึงได้สั่งให้เขามาทำแบบนี้

นี่มันโยนความผิดให้คนอื่นชัดๆ

หากพูดกันตามตรง อันที่จริงแล้วการกระทำแบบนี้มันผิดกฎ เผลอๆ อาจจะเป็นการละเมิดกฎหมายดินแดนเซียนเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้นเขาติดตามลั่วเทียนเหอมาหลายปี รู้ว่าลั่วเทียนเหอค่อนข้างหัวโบราณ ดังนั้นการทำแบบนี้มันดูไม่คล้ายนิสัยของลั่วเทียนเหอเลยจริงๆ

การหลอกให้พานชิ่งกับโจวหม่านเชามาแล้วจับพวกเขาด้วยกำลังนี่มีเหตุผลอะไรหรือไม่

ในความเป็นจริง ลั่วเทียนเหอเองก็ไม่ได้อยากจะใช้กลอุบายหลอกลวงให้คนมาแบบนี้เช่นกัน แต่เพราะไม่มีวิธีอื่นแล้ว การบุกไปหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานเพื่อจับคนนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหอการค้าทั้งสองตระกูลล้วนมีอิทธิพลอยู่ในเขตแดนของตนอย่างมาก ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปจับกุมคนในพื้นที่โดยที่ไม่มีหลักฐาน เมืองเทียนกู่และเมืองฝูปอจะต้องออกหน้าขัดขวางอย่างแน่นอน

ก็เหมือนกับเวลาที่มีคนต้องการจับตัวฉินอี๋จากเมืองปู๋เชวี่ย เมืองปู๋เชวี่ยย่อมต้องออกมาขัดขวางอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน หากไม่มีหลักฐานก็ไม่มีทางยอมให้คนพาตัวฉินอี๋ออกไปได้

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องเลือกใช้วิธีนี้ หลอกเอาตัวคนออกมาก่อนแล้วค่อยลงมือ

ส่วนเรื่องที่ว่าการโยนความผิดให้ผู้อื่นแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่นั้น เจ้าแคว้นหนานหรูได้กล่าวไว้แล้วว่าบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานก็ได้

…..

ด้านนอกประตูสำนักงานเจ้าเมือง เมิ่งซู่ผู้ช่วยของโจวหม่านเชากับสวีเฉียนผู้ช่วยของพานชิ่งล้วนกำลังรออยู่นอกประตู สำนักงานเจ้าเมืองไม่อนุญาตให้สองคนนี้เข้าไป พวกเขาจึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอก

สวีเฉียนที่เป็นผู้ช่วยของพานชิ่งก็คือลูกเขยของเขา หรือก็คือสามีของพานหลิงเวยที่เป็นลูกสาวคนโตของเขานั่นเอง

ในตอนแรกสวีเฉียนคือผู้ช่วยของพานชิ่ง หลังจากที่พานชิ่งได้พิจารณาดูแล้ว เขาก็ได้เป็นคนจับคู่พานหลิงเวยลูกสาวคนโตกับผู้ช่วยคนนี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้จึงถือว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

ทั้งสองรอแล้วรออีกอยู่ด้านนอกประตู รอได้ไม่นานเท่าไรก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่โจวหม่านเชากับพานชิ่งถูกลากออกมาด้วยเนื้อตัวโชกเลือด ทั้งคู่รู้สึกตกใจมาก

ทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปสอบถามทันที แต่กลับถูกผู้พิทักษ์เมืองที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไล่ออกมา

ทั้งคู่ไม่กล้ารีบร้อน จึงทำได้เพียงขวางเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหลังเพื่อสอบถามสถานการณ์

หลังจากทราบสาเหตุของเรื่องราวแล้ว สวีเฉียนก็พูดเสียงหลงว่า “เป็นไปไม่ได้ ท่านประธานของพวกเราจะไปดูหมิ่นท่านเจ้าเมืองลั่วต่อหน้าได้อย่างไร?”

เจ้าหน้าที่เซียนคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ รอพวกเราตรวจสอบเรื่องราวให้มันกระจ่างก่อนค่อยว่ากันอีกที”

เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนติดตามต่อไป เพราะพวกเขาก็จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องราวให้มันแน่ชัดเพื่อจะได้กลับไปรายงานได้เช่นกัน

เมิ่งซู่กับสวีเฉียนเองก็ย่อมต้องตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

พวกเขาติดตามไปจนถึงคุกที่มีกองกำลังของผู้พิทักษ์เมืองปู๋เชวี่ยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่ตามเข้าไปด้านในได้ แต่เมิ่งซู่กับสวีเฉียนถูกกันไว้ด้านนอกคุกเหมือนเดิม

หลังผ่านการยื่นคำร้องตามปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่เห็นโจวหม่านเชากับพานชิ่งที่อยู่ในคุก พวกเขาก็รีบใช้พลังเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บที่ใบหน้าให้ทั้งสองคนทันที กระทั่งทั้งคู่เริ่มเปิดปากพูดได้แล้ว พวกเขาก็รีบสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

โจวหม่านเชากับพานชิ่งยังพูดได้ไม่ชัด แต่พวกเขากลับพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างไม่หยุด ไม่มีการยอกย้อนดูหมิ่นลั่วเทียนเหอต่อหน้าแน่นอน กล่าวว่าแม้แต่หน้าของลั่วเทียนเหอตนเองก็ยังไม่ได้พบเลย จากนั้นเล่าเรื่องตอนที่พวกตนเข้าไปในสำนักงานเจ้าเมืองก่อนหน้านี้ให้ฟัง

เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่โกรธมาก พวกเขาไปหาลั่วเทียนเหอ ต้องการให้อีกฝ่ายอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที ทว่าลั่วเทียนเหอไม่ยอมพบ พวกเขาจึงทำได้เพียงไปพบเหิงเทา

เหิงเทานำพยานอีกกลุ่มออกมา แต่ละคนต่างยืนยันหนักแน่นว่าเห็นโจวหม่านเชากับพานชิ่งยอกย้อนดูหมิ่นเจ้าเมืองลั่ว

เป็นยังไง? เหิงเทาถามกลับ คำพูดของพยานที่อยู่ที่นี่ของผมน่าเชื่อถือ หรือว่าคำพูดแก้ต่างให้ตัวเองของโจวหม่านเชากับพานชิ่งน่าเชื่อถือ?

สรุปแล้วยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น จะให้ปล่อยคนน่ะเหรอ นั่นมันเป็นไปไม่ได้!

ในที่สุดเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่ก็เข้าใจแล้วว่าจะมีพยานหรือไม่มีพยาน เมืองปู๋เชวี่ยก็ต้องหาเหตุผลมาคุมขังโจวหม่านเชากับพานชิ่งอยู่ดี

อีกฝ่ายยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ปล่อย พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพาประธานทั้งสองคนออกมาได้อย่างไร จะให้ไปชิงตัวออกมาจากคุกก็ไม่ได้อีก ขืนทำแบบนั้นจริงๆ จากที่ไม่มีเรื่องอะไรคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!

ตอนที่ทั้งสี่ออกมาจากสำนักงานเจ้าเมืองก็พบกับเมิ่งซู่และสวีเฉียนอีกครั้ง จึงอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทั้งสองฟัง

เป็นแบบนั้นได้อย่างไร? ผู้ช่วยทั้งสองคนรีบแจ้งให้ครอบครัวทราบเพื่อหาทางช่วยเหลือ ส่วนเจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปรายงานทางเมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่

ส่วนภายในคุก ผุ้คุมได้นำตัวโจวหม่านเชากับพานชิ่งไปยังห้องสอบสวน เปิดเครื่องมือทรมานนักโทษแล้วทำการทรมานทั้งสองคน บีบบังคับให้ตอบคำถามว่าพวกเขาเป็นคนเล่นสกปรกกับเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินใช่หรือไม่

สำหรับลั่วเทียนเหอ ในเมื่อทำแบบนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรอีก หอการค้าสองแห่งนี้กล้ายื่นมือเข้ามาในค่ายผู้พิทักษ์เทพ เขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก กำลังคิดจะมอบบทเรียนสั่งสอนพวกเขาพอดี

ฉวยโอกาสตอนที่คนจากเมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ไม่มีเวลามาสนใจทางนี้ แล้วก็ฉวยโอกาสตอนที่โจวหม่านเชากับพานชิ่งกำลังหวาดกลัวทำการสอบสวนพวกเขา ไม่แน่ว่าการใช้กำลังบีบบังคับแบบนี้อาจจะทำให้ทั้งสองคนนั้นสารภาพบางอย่างออกมาก็ได้!

เมื่อทำการทรมานแล้ว สภาพของโจวหม่านเชาและพานชิ่งจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดก็พอจะรู้ได้ เรียกได้ว่าทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าจนทั้งสองคนสะบักสะบอมเกือบตาย!

ที่เขากล้าลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ ก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าแคว้นหนานหรูได้อธิบายให้ลั่วเทียนเหอเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ‘หาข้ออ้าง คนที่ควรจับก็จับ คนที่ควรสั่งสอนก็ต้องสั่งสอนสักหน่อย คนที่ลืมกฎเกณฑ์ ไม่รู้ว่า ‘ความเคารพยำเกรง’ คืออะไร เช่นนั้นก็ต้องสั่งสอนพวกเขาว่าอะไรคือกฎ! ในแคว้นของผม ไม่อนุญาตให้ใครทำอะไรตามอำเภอใจทั้งนั้น!”

หนานหรูแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ลั่วเทียนเหอจัดการอย่างเต็มที่ ต้องจัดการหอการค้าสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเซียนคุนกว่างให้คนอื่นๆ ในแคว้นเซียนคุนกว่างได้เห็น อย่าคิดว่าแอบทำอะไรลับหลังแล้วไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้แล้วจะรอดไปได้ เพราะถึงไม่มีหลักฐาน ฉันก็ยังจัดการพวกแกได้อยู่ดี!

โจวหม่านเชาและพานชิ่งถูกทรมานจนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แล้วก็รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวจากการใช้กำลังเข้าแทรกแซงของทางการแล้ว!

แต่ทั้งสองคนสามารถก่อตั้งรากฐานหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานขึ้นมาได้ อีกทั้งยังยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้ นี่มิใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะทั้งสองคนเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น รู้ว่าเรื่องบางเรื่องถึงแม้ต้องตายก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะทันทีที่พูดออกไปก็จะเป็นการยืนยันว่าหลักฐานนั้นเป็นความจริง และนั่นจะทำให้ตายเอาจริงๆ ได้ หอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานต้องจบเห่แน่!

ทั้งสองเผชิญหน้ากับการทรมานที่แสนโหดร้ายและทารุณ ทว่าให้ตายยังไงก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา ยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!

ทั้งสองคนถูกหามไปให้เจ้าหน้าที่เซียนทั้งสี่คนเยี่ยมอีกครั้ง การทรมานนี้ถึงได้ยุติลง แต่ทว่าร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล น่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้

…..

“ถูกจับตัวไป กำลังโดนทรมานอยู่?”

ณ คฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินอี๋เลิกงานกลับมาบ้าน ทั้งครอบครัวกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหารพอดี หลังได้ยินข่าวที่ไป๋ซานเป้าได้รับมาจากเครือข่ายของตน ฉินเต้าเปียนพลันตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา

สองพ่อลูกและหลิ่วจวินจวินต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าลั่วเทียนเหอจะจับตัวโจวหม่านเชากับพานชิ่งไปทรมานเพื่อบีบบังคับให้พวกเขารับสารภาพ ความเด็ดขาดของลั่วเทียนเหอครั้งนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของพวกเขา เพราะเบื้องหลังของหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานล้วนมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ล้วนแต่มีคนของตัวเองอยู่ในสภาเซียน

พวกเขาต่างสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมโจวหม่านเชากับพานชิ่งถึงได้กระโดดเข้าไปในปากเสือด้วยตัวเองแบบนี้ ทำไมถึงได้วิ่งไปรนหาที่ตาย?

แต่ขณะเดียวกันก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดคิดไม่ถึงเช่นกัน เพราะถ้าลั่วเทียนเหอทำลายหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวจนพังราบคาบได้จริงๆ ละก็ สำหรับตระกูลฉินแล้วคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

….

จับตัวท่านประธานไปอย่างนั้นเหรอ?

หอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานที่ได้รับรายงานตกอยู่ในความอลหม่านวุ่นวาย ต่างพยายามหาวิธีแก้ปัญหา

กงหู่จ้าวผู้ซึ่งนั่งบัญชาการอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลโจวกำลังนั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ใบหน้าคร่ำเคร่งเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้เขายังบอกให้โจวหม่านเชาไปที่นั่นอย่างวางใจ บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่ผลปรากฏว่า…

เผิงซีกำลังมองเขาด้วยสีหน้าร้อนใจ คาดหวังให้เขาหาวิธีแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ทว่ารอมาครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่มีท่าทีใดๆ เขาจึงรีบกล่าวเตือนทันที “ท่านเสมียนใหญ่ หากช้ากว่านี้ คุณน้าของผมจะตายเอาได้นะครับ!”

กงหู่จ้าวเอ่ยด้วยความลังเลว่า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก! ฆ่าคนโดยที่ไม่มีหลักฐาน ลั่วเทียนเหอน่าจะไม่ทำแบบนั้น” แต่ความจริงกระทั่งตัวเขาที่พูดแบบนี้ออกไปก็ไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว ลั่วเทียนเหอทำตามอำเภอใจอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ใครยังจะกล้ารับประกันว่าลั่วเทียนเหอจะไม่ลงมือฆ่ากันล่ะ?

สุดท้ายก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขากำลังปลอบใจตัวเองหรือว่าเผิงซีกันแน่ “ถ้าลั่วเทียนเหอทำแบบนั้นจริงๆ ตัวเขาเองก็ยากจะหนีรอดความผิดไปได้!”

เผิงซีหมดคำพูด ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ คนก็ตายไปแล้ว ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว

เขาอยากถามเหลือเกินว่าก่อนหน้านี้คุณบอกว่าให้ทำใจให้สบาย จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะมีคุณเฝ้าดูอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?

คำพูดภายในใจไม่อาจเอ่ยออกไปได้ ทำได้เพียงขอร้องวิงวอน “ท่านเสมียนใหญ่ได้โปรดรีบหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนของลั่วเทียนเหอด้วยครับ”

กงหู่จ้าวขบกรามแน่น ลั่วเทียนเหอทำแบบนี้แล้ว แล้วจะให้เขาไปหยุดยั้งยังไง? จะให้เขากระโดดพรวดเข้าไปสั่งให้ลั่วเทียนเหอหยุดมืออย่างนั้นเหรอ? ให้เขาไปสั่งการในฐานะอะไร? อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งตระกูลกงหู่ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ยังไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานของทางสภาเซียนได้ หากจะแทรงแซงก็ต้องให้คนในตระกูลที่มีตำแหน่งอยู่ในสภาเซียนเหล่านั้นเป็นคนออกหน้าแทรกแซง

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านใน ลองทำการติดต่อไปยังเบื้องบนของกลุ่มดาวโต่วก่อน โดยหวังว่าทางนั้นจะทำการแทรกแซงได้ จากนั้นค่อยรีบรายงานเรื่องนี้ไปยังตระกูลกงหู่

……………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน