ตอนที่ 142 ข้อเรียกร้องของหอการค้าตระกูลฉิน
ดวงไฟในคฤหาสน์ส่องแสงระยิบระยับ คนสองคนที่กินข้าวอิ่มแล้วนั่งอยู่บนโซฟา จูเก่อม่านคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของหลัวคังอัน นั่งดูรายการที่หลัวคังอันให้สัมภาษณ์ในฉากแสงด้วยกัน
สีหน้าของจูเก่อม่านเต็มไปด้วยความสุข ทั้งได้เลื่อนตำแหน่งแล้วก็ได้ขึ้นเงินเดือน เธอคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าล้วนดีไปเสียหมด คิดว่านี่ต้องทำให้หลายๆ คนอิจฉาเธอเป็นแน่ แต่กลับไม่ได้รับรู้เรื่องที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังเธอเลย
หลัวคังอันที่ใช้พลังรักษากระดูกที่หักจนเกือบจะหายดีแล้วกลับกระสับกระส่ายเล็กน้อย ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านสักเท่าไหร่
น้อยครั้งนักที่เขาจะอยู่เฉยๆ ในบ้านแบบนี้ เดิมเป็นเพราะการประมูลที่ทำให้เขาไม่ได้ออกไปเที่ยวเป็นเวลาหลายวัน พอไม่ได้ออกไปสำมะเลเทเมาก็รู้สึกผิดต่อตัวเองจริงๆ
โดยเฉพาะเมื่อตัวเองมีชื่อเสียงแล้ว คาดว่าหลังออกไปเจอกับเหล่าหญิงสาวน่ามีความได้เปรียบขึ้นไม่น้อย น่าจะจีบพวกเธอได้ไม่ยาก
โรคเก่ากำเริบขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากออกไป
ส่วนจูเก่อม่านที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาก็เตรียมพร้อมที่จะเลิกแล้ว คาดว่าหลังจากเรื่องของเสวี่ยหลานเปิดเผยออกมา เรื่องราวมันก็น่าจะเป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้
แต่สถานะเขาในตอนนี้คล้ายจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จะสลัดจูเก่อม่านทิ้งไปง่ายๆ ก็คล้ายจะดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ เขาถึงได้ฉวยโอกาสตอนอยู่ในงานเลี้ยงภายในคฤหาสน์ตระกูลฉินพูดเรื่องนี้กับฉินเต้าเปียน และผลลัพธ์ก็เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ จูเก่อม่านที่ได้เลื่อนขั้นและได้เพิ่มเงินเดือนมีความสุขเป็นอย่างมาก
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เขาคิดว่าถึงแม้จะต้องเลิกกัน เขาก็จะไม่รู้สึกละอายใจต่อจูเก่อม่าน อย่างน้อยในสายตาคนนอกที่มองมา จูเก่อม่านก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร
ตอนนี้เขาเริ่มสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
แล้วก็เป็นเพราะว่าเริ่มสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา พอได้เห็นภาพตัวเองที่ให้สัมภาษณ์อยู่ในฉากแสง ท่วงท่าดูสุภาพเรียบร้อย เคร่งขรึมน่าเกรงขาม เขาก็เริ่มรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้ง จะออกไปสำมะเลเทเมาอีกครั้งมันเหมาะสมแล้วหรือ?
ด้านหนึ่งคือความต้องการของตัวเอง อีกด้านหนึ่งคือภาพลักษณ์ของตนเอง ตัวเขาที่ปรารถนาจะให้คนเคารพนับถือรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง!
ตอนนี้เขารู้สึกสับสนลังเลไปหมดแล้วจริงๆ
………
ณ คฤหาสน์ตระกูลโจว เผิงซีที่ถูกเรียกตัวมารีบเข้ามาในโถงรับแขกของเรือนที่กงหู่จ้าวพักอาศัยอยู่ชั่วคราว รอคอยอย่างเงียบๆ
เขามองออกไปด้านนอกเป็นระยะ เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายใจอยู่ตรงหน้าประตู
หญิงสาวคนนั้นชื่อว่าหานชิงเอ๋อร์ เป็นผู้หญิงคนปัจจุบันของโจวหม่านเชา มีฐานะคล้ายกับหลิ่วจวินจวินที่อยู่ข้างกายฉินเต้าเปียน
โจวหม่านเชาต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เผลอๆ อาจจะต้องเสียชีวิต แล้วจะให้หานชิงเอ๋อร์ไม่ร้อนใจได้อย่างไร เธอเองก็อยากเข้ามา แต่จะให้เธอบุกเข้ามาในที่พักของกงหู่จ้าวโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตเธอก็ไม่กล้าเช่นกัน จึงทำได้เพียงรอคอยข่าวจากเผิงซีอยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวายใจ
หลังรอไปได้พักหนึ่ง กงหู่จ้าวก็ก้าวอาดๆ ออกมาจากโถงด้านหลัง
“ท่านเสมียนใหญ่” เผิงซีรีบทำความเคารพ กระทั่งกงหู่จ้าวนั่งลงตรงตำแหน่งประธานแล้ว เขาจึงรีบถามว่า “ไม่ทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?”
เขาย่อมต้องถามถึงโจวหม่านเชา อันที่จริงตอนนี้เขาก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อยเช่นกัน จู่ๆ ลั่วเทียนเหอก็ลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้ ไม่ได้คิดจะรักษากฎแม้แต่นิดเดียว ทำเอาคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพากันตั้งตัวไม่ทัน ภายในหอการค้าตระกูลโจวตอนนี้เรียกได้ว่าตื่นตระหนกกันทุกคน
กงหู่จ้าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ หากแต่ถามกลับมาว่า “โจวหม่านเชาเคยไปเสนอเงื่อนไขอะไรกับฉินอี๋คนนั้นเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?”
“เงื่อนไข?” เผิงซีไม่เข้าใจ จึงลองถามไปว่า “ไม่ทราบว่าท่านเสมียนใหญ่หมายถึงเงื่อนไขเรื่องไหนเหรอครับ?”
กงหู่จ้าว “น่าจะเป็นเรื่องเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉิน โจวหม่านเชาไม่เคยเสนอเงื่อนไขอะไรที่ให้หอการค้าตระกูลยอมถอยเหรอ?”
เผิงซีผงะไป แต่ก็รู้สึกประหลาดใจและสงสัยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายถามเรื่องนี้ออกมาในเวลานี้มันหมายความว่าอะไร “เคยเสนอเงื่อนไขบางอย่างไปครับ แต่ถูกหอการค้าตระกูลฉินปฏิเสธกลับมา”
กงหู่จ้าวกล่าว “เธอบอกฉันมาตามตรง เงื่อนไขอะไร?”
เผิงซีเงียบไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าลังเลอะไรมากนัก กล่าวตอบไปว่า “หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานเสนอเงื่อนไขไปพร้อมกันครับ ก่อนการประมูลคุณน้ากับพานชิ่งเคยไปหาฉินอี๋ ทั้งสองตระกูลร่วมมือกันไปกดดัน เสนอว่าขอเพียงฉินอี๋ยอมแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการประมูลออกเป็นสามส่วน ให้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานคนละส่วน พวกเขาก็จะปล่อยหอการค้าตระกูลฉินไป แล้วก็จะไม่สร้างความลำบากให้แก่หอการค้าตระกูลฉินอีก แต่ฉินอี๋ปฏิเสธ ไม่ยอมตกลงครับ”
“อย่างนี้นี่เอง…” กงหู่จ้าวพึมพำออกมา เขาลูบหนวดเครา ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เผิงซีลองถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านเสมียนใหญ่เอ่ยถึงเรื่องนี้ในเวลานี้ทำไมเหรอครับ”
กงหู่จ้าวได้สติกลับมา “เรื่องนี้ฉันเข้าใจแล้ว เธอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
พักผ่อน? เผิงซีจะสงบจิตสงบใจไปพักผ่อนได้อย่างไร เขารีบกล่าวว่า “ท่านเสมียนใหญ่ เรื่องของคุณน้า…”
กงหู่จ้าว “ฉันบอกว่าฉันเข้าใจแล้ว ฉันย่อมมีแผนการของฉันอยู่ ถ้ามีข่าวอะไรเดี๋ยวจะแจ้งเธอเอง”
เผิงซีอึกอักลังเล สุดท้ายก็ไม่กล้าวู่วามทำอะไร จึงประสานมือคารวะแล้วขอตัวลา ทว่าทันทีที่หมุนตัวกลับไป บนใบหน้าพลันปรากฏความอึมครึมขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจต่อท่าทีของกงหู่จ้าว
จะให้เขาพอใจได้อย่างไร ตอนแรกคนที่บอกให้โจวหม่านเชาไปที่เมืองปู๋เชวี่ยอย่างวางใจก็คือกงหู่จ้าว คนที่บอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรถ้ามีเขานั่งสั่งการอยู่ที่นี่ก็คือกงหู่จ้าวเช่นกัน แล้วตอนนี้ยังมาวางท่าไม่เดือดเนื้อร้อนใจเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
ทันทีที่เขาออกมาจากเรือนพัก หานชิงเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาทันที เมื่อเห็นสีหน้าของเผิงซี เธอก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีสักเท่าไร จึงยังไม่ได้พูดอะไรออกไป เดินเป็นเพื่อนเผิงซีจนออกจากประตูใหญ่ก่อน หลังเดินออกมาได้ระยะหนึ่งถึงจะเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายและคาดหวังว่า “ซีเอ๋อร์ ท่านเสมียนใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง เรียบร้อยไหม?”
เผิงซีส่ายหน้าเล็กน้อย “ท่านเสมียนใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ครับ”
หานชิงเอ๋อประหลาดใจ “ท่านเสมียนใหญ่เรียกเธอไปพบตอนนี้ ถ้าไม่พูดเรื่องนี้แล้วจะพูดเรื่องอะไร? ซีเอ๋อร์ คุณน้าของเธอดูแลเธออย่างดี แล้วก็มองว่าเธอคือคนที่มีความสามารถที่สุดในหอการค้าตระกูลโจวมาโดยตลอด เธอต้องช่วยน้าของเธอนะ จะปล่อยให้น้าของเธอตายไม่ได้นะ!”
เธอพูดจนเผิงซีรู้สึกลำบากใจ จึงรีบกล่าวว่า “น้าสะใภ้ครับ ท่านเสมียนใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องของคุณน้าจริงๆ นะครับ เขาถามผมว่าก่อนหน้านี้คุณน้าเคยเสนอเงื่อนไขอะไรให้ฉินอี๋…” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แถมยังเรียกอีกฝ่ายว่าน้าสะใภ้อย่างเป็นกันเองด้วย
“มีแค่นี้จริงๆ เหรอ?” หานชิงเอ๋อร์มองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ คล้ายรู้สึกสงสัย
เธอมองว่าในเวลานี้กงหู่จ้าวจะไม่เอ่ยถึงโจวหม่านเชาได้อย่างไร? แต่จนปัญญาที่เธอก็ไม่สะดวกเข้าไปสอบถามกงหู่จ้าวเช่นกัน
เผิงซีถอนใจ เอ่ยว่า “คุณน้าเกิดเรื่องแบบนี้ผมเองก็ร้อนใจ ผมไม่ได้โกหกน้าสะใภ้แม้แต่คำเดียวครับ”
กงหู่จ้าวที่กลับเข้าไปในเรือนด้านหลังกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง จู่ๆ พลันเหลียวหน้ากลับมาพูดว่า “ติดต่อฉินอี๋”
“ครับ!” ผู้ติดตามหยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อฉินอี๋ทันที
………
ฉินอี๋ที่ยืนอยู่หน้ากระจกเปลี่ยนไปสวมชุดที่เป็นทางการ เวลานี้จัดระเบียบชุดอยู่หน้ากระจก เรียบร้อยสง่างาม
ไป๋หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ รับโทรศัพท์ ก่อนจะบอกให้อีกฝั่งรอสักครู่ จากนั้นเอามือปิดไมโครโฟน เดินเข้ามาหาฉินอี๋แล้วบอกว่า “กงหู่จ้าวค่ะ”
ฉินอี๋จ้องมองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังกลับไป รับเอาโทรศัพท์มาแล้วแนบไว้ข้างหู ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ฉินอี๋พูดค่ะ”
ภายในโทรศัพท์มีเสียงสุขุมนุ่มลึกของกงหู่จ้าวตอบกลับมา “ฉันกงหู่จ้าว”
ฉินอี๋เดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ได้ยินชื่อเสียงของท่านเสมียนใหญ่มานาน วันนี้ได้ยินเสียงของท่านเสมียนใหญ่ นับเป็นเกียรติของฉินอี๋อย่างยิ่งค่ะ”
กงหู่จ้าวกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น เข้าเรื่องเถอะ เงื่อนไขอะไร ให้ตกลงอะไร ว่ามาให้ชัดเจน”
ฉินอี๋ประหลาดใจ “หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวเคยติดต่อหอการค้าตระกูลฉินมาค่ะ บอกว่าขอเพียงหอการค้าตระกูลฉินยอมแบ่งผลประโยชน์จากการประมูลสองในสามให้พวกเขา ทั้งสองก็จะไม่มาสร้างความวุ่นวายให้หอการค้าตระกูลฉินอีก เรื่องนี้ท่านเสมียนใหญ่ไม่ทราบหรือคะ?”
กงหู่จ้าว “ได้ยินมานิดหน่อย ทำไม? ตอนที่ยังประมูลไม่สำเร็จไม่ยอมตกลง พอมาตอนนี้กลับจะตกลงแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ฉินอี๋ “คิดไปคิดมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าอยู่กันแบบสงบสุขดีกว่าน่ะค่ะ”
กงหู่จ้าว “ไม่กลัวตระกูลหนานชีมาคิดบัญชีกับเธอหรือไง?”
ฉินอี๋ “กลัวค่ะ! แต่ฉันกลับไปรู้เรื่องอีกเรื่องหนึ่งมา ตระกูลหนานชีไร้เมตตา ก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ”
กงหู่จ้าวส่งเสียงประหลาดใจออกมา “เรื่องอะไรที่ทำให้ประธานฉินโกรธเคืองได้ถึงขนาดนี้?”
ฉินอี๋กล่าว “ก่อนหน้านี้มีบางเรื่องที่ฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะว่าที่ตระกูลหนานชีสัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่นั้นเป็นแค่คำพูดโกหก ความจริงพวกเขาไม่ได้ออกแรงอะไรเลย…” เธอเปิดเผยเรื่องเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดที่หนานชีหรูอันคุยกับเธอ บอกว่าตระกูลหนานชีไม่ได้ช่วยเธอดึงความสนใจจากตระกูลอื่นๆ เลย แท้ที่จริงแล้วเป็นเธอที่โชคดี เป็นเพราะเรื่องเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดได้ดึงความสนใจของตระกูลใหญ่ๆ เอาไว้ หอการค้าตระกูลฉินถึงได้รอดมาได้
หลังจากอธิบายเรื่องเหล่านี้จนชัดเจนแล้ว ฉินอี๋ก็เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อยว่า “ที่ยิ่งกว่านั้นคือนี่ไม่เหมือนตระกูลใหญ่ๆกับหอการค้าอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน ที่ส่วนใหญ่แค่มอบผลประโยชน์สามส่วนถึงห้าส่วนก็พอแล้ว แต่นี่ตระกูลหนานชีกลับเรียกส่วนแบ่งจากหอการค้าตระกูลฉินถึงหกส่วน เรื่องนี้หอการค้าตระกูลฉินยอมรับไม่ได้จริงๆ!”
กงหู่จ้าวส่งเสียง ‘โอ้’ ออกมาอีกครั้ง แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความรู้สึกประหลาดใจเอาไว้เล็กน้อยจริงๆ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ฉินอี๋กล่าว “เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรย่อมไม่อาจปิดบังตระกูลกงหู่ได้ เพียงแค่ตรวจสอบดูก็รู้แล้วค่ะ ตระกูลหนานชีไม่ยอมออกแรง แต่กลับต้องการผลประโยชน์จำนวนมาก การที่พวกเขาไม่ยอมออกแรงแบบนี้จะให้หอการค้าตระกูลฉินวางใจได้อย่างไรคะ? ตระกูลหนานชีอยู่ไกลจากเมืองปู๋เชวี่ย แต่หอการค้าตระกูลโจว หอการค้าตระกูลพาน และหอการค้าตระกูลฉินกลับอยู่ใกล้กันแค่นี้ สำหรับหอการค้าตระกูลฉินแล้ว ผลประโยชน์ต่างกันไม่ถึงหนึ่งส่วน แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากสองตระกูลใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสุนัขจนตรอกอย่างหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวด้วย พอชั่งน้ำหนักดูแล้ว หากเปลี่ยนเป็นท่านเสมียนใหญ่ ท่านจะเลือกอย่างไรล่ะคะ?”
กงหู่จ้าวไม่พูดอะไร คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ฉินอี๋พูดอีกครั้ง “แต่แน่นอน การที่หอการค้าตระกูลฉินยอมประนีประนอมก็ไม่ใช่ว่าจะยอมประนีประนอมเปล่าๆ หอการค้าตระกูลฉินเองก็มีข้อเรียกร้องของตนเองเช่นเดียวกัน ถ้าท่านเสมียนใหญ่สามารถรับได้ ทางหอการค้าตระกูลฉินก็จะยอมเชื่อฟังค่ะ!”
กงหู่จ้าวถาม “ข้อเรียกร้องอะไร?”
ฉินอี๋กล่าว “ปลดโจวหม่าเชาทิ้ง ให้ตระกูลกงหู่สนับสนุนหลานชายของโจวหม่านเชาขึ้นรับตำแหน่งประธาน มอบหอการค้าตระกูลโจวให้เผิงซี!”
“เผิงซี?” กงหู่จ้าวตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถามกลับว่า “ให้โจวหม่านเชาเป็นประธานกับให้เผิงซีรับตำแหน่งประธาน มันมีผลอะไรต่อการร่วมมือกัน?”
ฉินอี๋กล่าว “โจวหม่านเชารังแกหอการค้าตระกูลฉินมาเป็นเวลานาน หอการค้าตระกูลฉินไม่อาจทนต่อไปได้ โจวหม่านเชาจ้องจะเขมือบหอการค้าตระกูลฉิน แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าโจวหม่านเชาจะรักษาคำพูดได้หรือไม่? นอกจากนี้หลานชายอีกคนของโจวหม่านเชาก็มาตายที่นี่ เขาจะผูกพยาบาทหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า อีกอย่างถ้าเผิงซีขึ้นรับตำแหน่งประธานก็ต้องใช้เวลาจัดระเบียบภายในหอการค้าตระกูลโจว กวาดล้างคนใกล้ชิดของโจวหม่านเชา อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถสร้างความวุ่นวายให้หอการค้าตระกูลฉินไปได้ระยะหนึ่งค่ะ”
“เพื่อจะรักษาสถานะเอาไว้ เพื่อจะรักษาผลประโยชน์เอาไว้ ตระกูลกงหู่สามารถร่วมมือกับหอการค้าตระกูลฉินในการต่อต้านตระกูลหนานชีได้ นี่ก็คือเหตุผล และเงื่อนไขก็มีเพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าท่านเสมียนใหญ่จะคิดทบทวน ฉินอี๋จะรอคำตอบจากท่านเสมียนใหญ่นะคะ”
กงหู่จ้าวเงียบไป “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอมีแผนการอะไรอยู่ในใจ รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” กล่าวจบก็วางสายไป แต่จากนั้นกลับหันมาพูดกับผู้ติดตามทันทีว่า “ติดต่อทางตระกูลเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขาหาวิธีตรวจสอบหน่อยว่าตระกูลหนานชีเรียกผลประโยชน์หกส่วนจากหอการค้าตะกูลฉินจริงหรือไม่!”
ส่วนเรื่องเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปด เขารู้แค่เพียงเล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่ฉินอี๋วางสายไป ไป๋หลิงหลงก็รับเอาโทรศัพท์คืนไปแล้วถามทันทีว่า “เขาตกลงแล้วเหรอ?”
ฉินอี๋ส่ายศีรษะ แต่สีหน้ากลับสงบนิ่ง “เขาจะตกลงหรือไม่ไม่สำคัญ เผิงซีไม่ใช่คนที่จะหลงกลได้ง่ายๆ แต่โจวหม่านอวี้ที่เป็นแม่ของเขากลับเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง สามีของเธอสละชีวิตเพื่อหอการค้าตระกูลโจว โจวหม่านเชาไร้ทายาทสืบสกุล เธอย่อมต้องหวังอย่างแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วลูกชายของเธอจะได้บริหารหอการค้าตระกูลโจว ทางด้านนั้นจะต้องเร่งวางแผนอย่างแน่นอน ถ้าเราไปกระตุ้นความโลภของเธอ ขอเพียงโจวหม่านอวี้มีความเคลื่อนไหว โจวหม่านเชาจะต้องรู้เรื่องอย่างแน่นอน!”
“เข้าใจแล้ว” ไป๋หลิงหลงตอบรับ
ในเวลานี้เอง ด้านนอกมีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้นมา ไป๋หลิงหลงรีบเดินไปเปิดประตู หลังจากพูดคุยเล็กน้อยเธอก็รีบเดินกลับมาอีกครั้ง “สวีเฉียนที่เป็นผู้ช่วยลูกเขยของพานชิ่งมาถึงแล้ว ดูเหมือนเรื่องที่เราบอกว่าสามารถช่วยพานชิ่งออกมาได้จะทำให้เขาสนใจได้จริงๆ ถึงได้ยอมมาหาเราถึงที่นี่ด้วยตัวเอง!”
………………………………………………………………………