ตอนที่ 151 ช่วงนี้จะมีคนมาอยู่เพิ่มอีกคนหนึ่ง
ไป๋หลิงหลงกดตัดสายไป
ฉินอี๋ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเดินออกจากบ้าน แสงอาทิตย์ส่องประกายสดใส เป็นวันใหม่อีกวันหนึ่ง
ตอนนี้ค่อนข้างสายแล้ว ฉินอี๋ที่เร่งรีบกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยสอดตัวเข้าไปในรถที่จอดรออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขบวนรถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว พาเธอที่ยังไม่ได้นอนไปทำงาน
เพื่อจะจับตาดูและควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว เธอไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืนจริงๆ ช่วงเวลากลางวันก็ยังต้องไปทำงานอีก
แต่สำหรับเธอแล้ว นี่กลับเป็นเรื่องปกติอย่างมาก บ่อยครั้งที่เธออดหลับอดนอนเพื่อทำงาน
…..
บนโต๊ะอาหาร เผิงซีที่กำลังรับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนมารดาของตนกดโทรศัพท์โทรไปหาไป๋หลิงหลง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย สีหน้าของเขาค่อยๆ บิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
น้อยครั้งนักที่ลูกชายของเธอจะเป็นแบบนี้ โจวหม่านอวี้มองดูอย่างงุนงง สุดท้ายทนไม่ไหว เอ่ยถามออกมาว่า “ซีเอ๋อร์ เป็นอะไรเหรอลูก?”
ในที่สุดเสียงรบกวนเสียงนี้ก็ทำให้เผิงซีระเบิดอารมณ์ออกมา จู่ๆ เขาพลันลุกขึ้นยืน เขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
โจวหม่านอวี้ตกใจ มองดูลูกชายที่ผิดปกติอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นลูกชายเป็นแบบนี้มาก่อน
เผิงซีเท้าแขนข้างหนึ่งไปบนโต๊ะอาหาร ท่าทางเหมือนหมดความอดทน หอบหายใจอย่างรุนแรง สีหน้าค่อนข้างดูแย่ เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขาโกรธในความอวดดีของฉินอี๋ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้มายุแยงพวกเขาในเวลาแบบนี้
แต่ต้นเหตุแห่งความโกรธเกรี้ยวที่แท้จริงกลับเป็นเพราะว่าตนเองถูกแทงเข้าที่จุดอ่อน อีกฝ่ายพูดแทงใจดำเขาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ตัวเขาที่ปกติไม่หลุดลืมตัวง่ายๆ โมโหขึ้นมาได้แล้ว
คำพูดของฉินอี๋มีน้ำหนัก
ฉินอี๋บอกว่า ‘เมิ่งซู่คือลูกของโจวหม่านเชาจริงๆ!’
คำว่า ‘จริงๆ’ สองพยางค์นี้ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หรือไม่?
เขาโมโหฉินอี๋ แล้วก็โมโหโจวหม่านเชา หากเมิ่งซู่เป็นลูกชายของโจวหม่านเชาจริงๆ อย่างนั้นโจวหม่านเชาอยากทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอีกแล้ว โจวหม่านเชาจะต้องอยากฟูมฟักเลี้ยงดูลูกชายให้มาสืบทอดหอการค้าตระกูลโจวอย่างแน่นอน แล้วจะให้ตัวเขาทนได้อย่างไร?
เขาโทรกลับไปหาไป๋หลิงหลงซ้ำๆ ก็เพราะอยากติดต่อฉินอี๋ อยากจะถามฉินอี๋ว่าเธอแน่ใจได้อย่างไรว่าเมิ่งซู่เป็นลูกชายของโจวหม่านเชา? มีหลักฐานอะไร?
แต่ทางนั้นกลับไม่ยอมรับสายเขา เห็นได้ชัดว่าอยากให้เขาตัดสินใจเลือกเอง
แล้วนี่จะให้เขาเลือกยังไง? ตัวเองไปสืบเองอย่างนั้นเหรอ? เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้จะไปสืบยังไง? เบาะแสที่จะให้ไปสืบก็มีไม่มาก หากโจวหม่านเชาต้องการจะทำเรื่องแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดแน่นอน และถ้าเขาจะสืบจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็มีอยู่เพียงวิธีเดียว นั้นคือไปสืบจากคู่กรณีของเรื่องนี้โดยตรง
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเขาต้องลงมือกับหานชิงเอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงของโจวหม่านเชา หรือไม่ก็ต้องลงมือกับตัวเมิ่งซู่ ต้องง้างปากพวกเขาเพื่อล้วงความจริง
แต่ทันทีที่ทำแบบนั้น นั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องแตกหักกับโจวหม่านเชา และเขาก็จะไม่มีทางให้ถอยได้อีก!
แต่ถ้าไม่สืบ ถ้าเกิดโจวหม่านเชาทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ ขึ้นมาล่ะก็ เช่นนั้นโจวหม่านเชาก็ไม่มีทางยอมให้ตัวเขาไปขวางทางลูกชายของตนเป็นแน่ อีกฝ่ายจะต้องคิดกำจัดเขาอย่างแน่นอน!
นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก!
โดยเฉพาะในเวลานี้ ทันทีที่โจวหม่านเชากลับมา อีกฝ่ายจะต้องรู้เรื่องที่ตระกูลกงหู่พยายามจะสนับสนุนตัวเขาให้ขึ้นเป็นประธานหอการค้าตระกูลโจวอย่างแน่นอน
เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าเมื่อถึงตอนนั้นควรจะทำอย่างไรให้โจวหม่านเชาวางใจ แต่ฉินอี๋กลับโยนเผือกร้อนก้อนนี้ออกมาในเวลานี้อีก ทำให้เขาพลันหมดความอดทน กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตราชั่งภายในใจเขาเสียสมดุลไปในพริบตา
ครั้งนี้นับว่าเขาได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของฉินอี๋อย่างถ่องแท้แล้ว
โยนเนื้อชิ้นหนึ่งออกมา ล่อตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวเอาไว้ ทำให้สองตระกูลใหญ่มาควบคุมหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานอีกทีหนึ่ง แล้วก็ทำให้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานไม่อาจลงมือเล่นงานหอการค้าตระกูลฉินไปได้ระยะเวลาหนึ่ง
ลำพังหอการค้าเล็กๆ อย่างหอการค้าตระกูลฉิน แต่กลับขัดแข้งขัดขาตระกูลใหญ่สองตระกูลกับหอการค้าใหญ่อีกสองแห่งเอาไว้ได้ หากพูดออกไปคงจะกลายเป็นเรื่องตลก
ขณะเดียวกับที่ทำให้หอการค้าตระกูลฉินได้มีโอกาสพักหายใจ ก็ทำให้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง ซ้ำหอการค้าตระกูลฉินยังฉวยโอกาสนี้มาสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขา ไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสหายใจ เล่นงานจนพวกเขาไม่สามารถตอบโต้กลับได้ ทำได้เพียงทนรับการโจมตีจากหอการค้าตระกูลฉินเพียงอย่างเดียว
ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำได้เพียงรับการโจมตีจากอีกฝ่าย แต่กลับไม่สามารถเล่นงานอีกฝ่ายกลับได้ แล้วแบบนี้จะสู้กันยังไง?
ฉินอี๋ฉวยโอกาสในตอนที่หอการค้าทั้งสองแห่งไม่มีผู้นำ เล็งเห็นว่าในสายตาของตระกูลใหญ่ทั้งสองมีแต่เรื่องผลประโยชน์ เล็งเห็นว่าตระกูลใหญ่ทั้งสองไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะขึ้นมาบริหารหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพาน
เขาแน่ใจว่านี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของฉินอี๋คือต้องการทำให้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานไม่สามารถสร้างปัญหาใดๆ ให้หอการค้าตระกูลฉินไปได้อีกนาน เพื่อที่หอการค้าตระกูลฉินจะได้เติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างสะดวก
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเขาแล้วนี่เป็นกับดักที่วางเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ฉินอี๋กลับเล็งเห็นว่าขอแค่เพียงลงมือได้อย่างแม่นยำ ตัวเขาและสวีเฉียนก็จะไม่มีทางเลือก
จากข้อมูลที่เขาได้รับมา เขาแทบจะมั่นใจแล้วว่าคนที่ถูกเล่นงานของทางฝั่งหอการค้าตระกูลพานก็คือสวีเฉียน
สรุปแล้วก็คือทั้งจังหวะในการลงมือของฉินอี๋ ความแม่นยำแน่นอนและความเด็ดขาดของจุดที่ลงมือ ความเฉลียวฉลาดของแผนการ ล้วนแต่ทำให้เขาต้องกัดฟันยอมรับด้วยไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอก ทำให้เขาต้องยอมรับเลยว่าการที่ฉินอี๋สามารถเอาชนะในการประมูลเทพมหาวิญญาณได้ต่อหน้าต่อตาตระกูลใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเด็ดขาด
สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ฉินอี๋จะเจตนาดีหรือไม่ หรือต่อไปเธอจะทำอะไร เหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือเขาควรจะจัดการกับสถานการณ์ในหอการค้าตระกูลโจวของตัวเองในเวลานี้อย่างไร
หากไม่สามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปนั่งกังวลว่าหลังจากนี้หอการค้าตระกูลโจวจะไปสู้กับหอการค้าตระกูลฉินอย่างไร
หลังหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ควานหาโทรศัพท์ ก่อนจะพบว่าโทรศัพท์ถูกตัวเองขว้างจนแตกเสียหายแล้ว จึงรีบเดินออกไปหาโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เขาจะโทรหาสวีเฉียน ในเวลานี้เขาจำเป็นต้องเดินหน้าถอยหลังพร้อมกับสวีเฉียน
“ซีเอ๋อร์!” โจวหม่านอวี้ลุกขึ้นตะโกนเรียก แค่ครั้งนี้ลูกชายกลับไม่สนใจเธอ
…..
ภายในห้องทำงานของประธานหอการค้าตระกูลพาน พานหลิงเวยที่กำลังรักษาการณ์แทนประธานหอการค้ารับโทรศัพท์ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เธอรีบโทรสั่งงานลูกน้องสองสามอย่าง จากนั้นลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ขณะที่เพิ่งออกจากประตูไป เธอก็เจอกับสวีเฉียนผู้เป็นสามีที่กำลังรีบเดินเข้ามา
สามีภรรยาเจอหน้ากัน พานหลิงเวยประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องอื่น เธอรีบถามทันทีว่า “ได้ยินว่าเซียงหลัวเซ่อจับเจ้าสองเอาไว้ มันเกิดอะไรขึ้น?”
สวีเฉียนเห็นเช่นนี้ก็ลอบโล่งใจเล็กน้อย เขามองออกว่าภรรยายังไม่รู้เรื่องบางเรื่อง
พานหลิงเวยนั้นยังไม่รู้เรื่องจริงๆ ภายในหอการค้าตระกูลพาน พานหลิงเวยจะเคยช่วยพ่อของตัวเองจัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในหอการค้า ส่วนพานหลิงเยวี่ยกับพานหลิงอวิ๋นจะคอยจัดการเรื่องราวนอกหอการค้า
เรื่องบางเรื่องสวีเฉียนไม่กล้าบอกพานหลิงเวย ส่วนพานหลิงเยวี่ยที่ยังไม่แน่ใจในเรื่องบางเรื่องก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรกับพี่สาวของตนเช่นกัน ทำให้ตอนนี้พานหลิงเวยงุนงงไปหมด
สวีเฉียนไม่พูดอะไร ดึงพานหลิงเวยกลับเข้าไปในห้องทำงานก่อน จากนั้นหมุนตัวปิดประตู
ในเวลานี้พานหลิงเวยค่อนข้างร้อนใจ เอ่ยถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สวีเฉียนกล่าวว่า “นี่เป็นแผนสกปรกของหอการค้าตระกูลฉิน หอการค้าตระกูลฉินกำลังยุให้พวกเราทะเลาะกันเอง เจ้าสองหลงกลหอการค้าตระกูลฉิน คิดจะฆ่าผม เซียงหลัวเซ่อเลยยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ตอนนี้คุมตัวเจ้าสองเอาไว้ชั่วคราว”
ในเวลานี้เขาเข้าใจหมดแล้ว หลังจากที่พานหลิงเยวี่ยถูกจับตัวไป เขาก็ไปทำการตรวจสอบดูทันที ถึงได้รู้ว่าพานหลิงเยวี่ยไม่ได้จัดเตรียมคนอะไรเอาไว้เลย พูดอีกอย่างก็คือพานหลิงเยวี่ยไม่ได้คิดจะฆ่าเขา เป็นตัวเองที่หลงกลฉินอี๋ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็เป็นเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่ง เมื่อทำไปแล้วก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีก
ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่เขาตอบรับเซียงหลัวเซ่อว่ายินดีเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานเพียงเรื่องเดียว อีกไม่นานก็คงไม่มีทางปิดบังพานชิ่งเอาไว้ได้แน่!
“เจ้าสองจะฆ่าคุณ?” พานหลิงเวยตกตะลึง แล้วก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สวีเฉียนกล่าวอธิบายเสียงเบา “ตอนผมอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย จู่ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินอี๋ ฉินอี๋บอกว่ามีวิธีช่วยคุณพ่อออกมาได้ ผมรู้ว่าฉินอี๋อาจจะเล่นลูกไม้สกปรกอะไร แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้มีความหวังเพียงน้อยนิดมันก็ต้องลองดู ผมก็เลยจำเป็นต้องไปหาฉินอี๋…” เขาบอกเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่ให้เธอฟังโดยไม่ได้ปิดบัง
ที่ไม่ปิดบัง เป็นเพราะเขาอยากจะดูท่าทีของภรรยาว่าเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าภรรยาจะยืนอยู่ข้างเขาแล้วสนับสนุนให้เขาเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานหรือไม่ หากเขาได้รับการสนับสนุนจากภรรยา เช่นนั้นในอนาคตเรื่องราวหลายๆ เรื่องภายในหอการค้าตระกูลพานก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น
หลังพานหลิงเวยทำความเข้าใจคำพูดของเขาเรียบร้อยแล้ว เธอก็จ้องมองเขา กล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “เรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินพยายามปั่นหัวพวกเรา ทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงไม่บอกฉัน?”
สวีเฉียนถามกลับ “อย่างนั้นทำไมเจ้าสองถึงไม่บอกคุณล่ะ?”
พานหลิงเวยผงะไปเล็กน้อย
สวีเฉียนกุมมือของเธอเอาไว้ “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกเราไม่อยากให้คุณเป็นห่วงยังไงล่ะ”
พานหลิงเวยสลัดมือของเขาออก “อย่างนั้นคุณบอกฉันมา คุณอยากเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานหรือเปล่า?”
สวีเฉียนตอบอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไม่อยาก!”
……
ภายในโรงอีหลิว จางเลี่ยเฉินที่นอนอยู่บนเก้าอี้เอนหลังส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมา จากนั้นลุกขึ้นยืน เพราะเขามองเห็นหลินยวนเดินลงมาจากรถคันหนึ่ง
หลินยวนเดินเข้าประตูมา เขาเองก็เดินไปที่ประตู จ้องมองดูรถคันนั้นเล็กน้อย กล่าวว่า “รถใหม่ เอามาจากไหน?”
หลินยวนว่า “เพิ่งซื้อมา”
จางเลี่ยเฉินประหลาดใจ “แกเอาเงินมาจากไหนตั้งเยอะตั้งแยะ?”
หลินยวนกล่าว “หอการค้าเพิ่งจะให้เงินรางวัลมาก้อนหนึ่ง”
จางเลี่ยเฉินตาเป็นประกายทันที เดินตามหลังเขาไปๆ มาๆ “ให้มาเท่าไร?”
ให้มาหนึ่งล้านมุก แต่หลินยวนไม่มีทางบอกตาเฒ่าหน้าเงินผู้นี้ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางได้อยู่เป็นสุขแน่ จึงกล่าวไปว่า “ก็พอซื้อรถได้คันหนึ่ง”
จางเลี่ยเฉินมีสีหน้าปวดใจขึ้นมาทันที “ไม่รู้จักประหยัดเลย ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแกจะไปซื้อของแบบนี้มาทำไม มอเตอร์ไซค์มันก็ใช้ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
แต่หลินยวนกลับหยิบธนบัตรมูลค่าห้าร้อยมุกออกมาให้เขาใบหนึ่ง “เดี๋ยวช่วงนี้จะมีคนมาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง อันนี้เป็นค่าอาหาร”
จางเลี่ยเฉินรีบรับเอาเงินมาเก็บไว้ก่อน จากนั้นถึงจะถามว่า “มาอยู่อีกคนหนึ่ง? ใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง จะให้เก็บกวาดอีกห้องไหม? ถ้าใช้ห้องเพิ่มต้องเพิ่มเงินนะ”
หลินยวนหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยมาให้เขาอีกใบหนึ่ง “พอหรือเปล่า?”
จางเลี่ยเฉินดึงธนบัตรไปอีกครั้ง กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “น่าจะพอมั้ง”
หลินยวนหมุนตัวแล้วเดินออกไป ที่เขากลับมาก็เพื่อจะบอกอีกฝ่ายเรื่องนี้
หลังออกจากประตูแล้วขึ้นรถไป เขาก็ขับรถมุ่งหน้าไปทางใต้ของเมือง
รถแล่นออกจากเมือง ในตอนที่มาถึงที่ราบหนานผิงที่อยู่ด้านนอกเมือง เขาก็พบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยกำลังรอคอยอยู่ ทุกคนกำลังรอเรือคุนที่กำลังพาคนมาส่ง
หลินยวนเอารถไปจอดไว้ด้านข้าง ลงจากรถแล้วปิดประตู กระโดดขึ้นไปบนกระโปรงรถ หมุนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ รอคอยอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็มีจุดสีดำจุดหนึ่งปรากฏขึ้นมา จุดสีดำค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น คุนตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งแหวกว่ายเข้ามาพร้อมกับคลื่นกระเพื่อมบางๆ มาเยือนท้องฟ้าเหนือที่ราบหนานผิง
ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ค่อยๆ ปรับตำแหน่งอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นกระพือครีบขนาดใหญ่ทั้งสองข้างเบาๆ ค่อยๆ ลอยลงมาด้านล่าง หลังจากที่ร่างกายขนาดยักษ์อยู่ในระดับเดียวกับเชิงผาแล้ว มันก็ค่อยๆ อ้าปากมาทางเชิงผาอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นไม่นาน คนจำนวนมากที่อยู่ด้านในก็ทยอยเดินออกมาจากปากของคุน ในกลุ่มคนที่มารอต้อนรับมีคนโบกไม้โบกมือและส่งเสียงตะโกนขึ้นมาไม่หยุด
ในตอนที่หญิงสาวในชุดโบราณคนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา สายตาของคนจำนวนมากล้วนจับจ้องมาที่เธอ
การแต่งกายดูเรียบหรูงดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าเรียกได้ว่าสะคราญโฉม เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของคนจำนวนมากเอาไว้ได้ ต่างหูโซ่เงินที่ห้อยยาวลงมาประบ่าทั้งสองข้างแกว่งไกวไปมา ท่วงท่าที่ค่อยๆ เยื้องย่างอย่างงามสง่าทำให้ผู้คนที่อยู่รอบด้านพากันเหลียวหน้ากลับมามอง การผสมผสานระหว่างความงามและความสง่าไม่ได้ทำให้เธอดูเหมือนหญิงงามทั่วๆ ไป หากแต่ดูสูงศักดิ์
นิ้วมือเรียวยาว เล็บทั้งสิบทาสีแดงสด จับแขนเสื้อที่เบาบางเอาไว้ พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มเล็กน้อยให้แก่คนที่หลีกทางให้
ขณะที่พยักหน้าขอบคุณ ดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นของเธอคล้ายกำลังสอดส่องมองหาอะไรบางอย่างอยู่ในกลุ่มคน ทันใดนั้นสายตาพลันหยุดชะงัก จ้องมองไปที่คนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคารถ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที ในสายตาไม่มีใครคนอื่นอีก เดินตรงเข้าไป
………………………………………………………….