ตอนที่ 155 ฉันเป็นคนฆ่าเอง!
ความรู้สึกที่ถูกคนหลอกเช่นนี้ทำให้เผิงซีรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาลำบากลำบน ทุ่มเทแรงกายแรงใจถวายชีวิตให้กับหอการค้าตระกูลโจว ถวายชีวิตให้กับโจวหม่านเชา เรียกได้ว่าจงรักภักดีอย่างแท้จริง ไม่เคยมีความคิดทรยศหักหลังใดๆ มาก่อน
แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าที่แท้ตัวเองจะเป็นเพียงคนโง่คนหนึ่ง โจวหม่านเชาไม่เคยคิดจะมอบหอการค้าตระกูลโจวให้หลานชายอย่างเขาสืบทอดเลย เพียงหลอกให้ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
และความฝันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขาตั้งใจทำงานอย่างจงรักภักดี แต่ยังเป็นเหมือนยาพิษที่ร้ายแรงอีกด้วย ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ยังจะฆ่าเขาทิ้ง
ขอเพียงตรวจสอบยืนยันตัวตนของเมิ่งซู่ได้แล้ว ขอเพียงมั่นใจแล้วว่าเมิ่งซู่คือลูกชายของโจวหม่านเชา นั่นก็เท่ากับว่าสุดท้ายแล้วโจวหม่านเชาจะไม่มีทางปล่อยเขาไป สุดท้ายอีกฝ่ายจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน!
โจวหม่านเชารู้ดีว่าการใช้ประโยชน์และหลอกลวงเขามาเป็นเวลานานหลายปี หากไม่กำจัดเขาทิ้งซะ ตัวเขาเผิงซีจะฆ่าโจวหม่านเชาหรือไม่นั้นยังไม่รู้ แต่ตัวเขาที่ภายในใจเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวไม่มีทางปล่อยเมิ่งซู่ไปแน่
ดังนั้นเผิงซีจึงเข้าใจแล้วว่าโจวหม่านเชาไม่เพียงแต่กำลังหลอกใช้เขา แต่สุดท้ายยังจะฆ่าเขาด้วย!
ไม่เพียงแต่หลอกเขาเท่านั้น แต่ยังหลอกตระกูลเจ้าด้วย!
เขาถึงขนาดนึกสงสัยในสาเหตุการตายของพ่อตัวเอง ความสามารถและสติปัญญาของพ่อเขาเหนือกว่าเขา คนที่สนิทกับพ่อเขาล้วนแต่ยกย่องชื่นชม ไม่ใช่คนที่จะมาจบชีวิตลงง่ายๆ เลย ทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนั้นขึ้น? เป็นโจวหม่านเชาที่จงใจสร้างจุดอ่อนให้คนนอกได้ฉวยโอกาสหรือเปล่า?
เขาเดินสะโหลสะเหลออกไปจากห้องใต้ดิน เดินไปตามทางเดินลับอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องใต้ดินอีกครั้ง เขาก็คล้ายกลับมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ความโศกเศร้าอึมครึมบนใบหน้ายังคงมีปรากฏให้เห็นอยู่
เขายืนอยู่บนบันไดใต้ชายคา หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ติดต่อหาสวีเฉียน “ฉันเอง”
เสียงของสวีเฉียนดังออกมาจากในโทรศัพท์ มีความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง “มีอะไร?”
เผิงซีกล่าว “สะดวกคุยไหม?”
สวีเฉียนเอ่ย “สะดวก ว่ามา”
เผิงซีว่า “ลงมือเถอะ ถ้ายังไม่ลงมือจะไม่ทันการ”
ในน้ำเสียงของสวีเฉียนมีความรู้สึกตกใจ “ต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอ?”
เผิงซีกล่าว “นี่ไม่ใช่รีบ แต่เพื่อตัวคุณเอง เรื่องบางเรื่องพอทำไปแล้วก็ไม่มีอะไรต้องลังเลอีก ตอนนี้ผมกำลังจะลงมือ ทันทีที่เรื่องนี้ไปถึงหูพานชิ่ง ทันทีที่ทำให้เซียงหลัวเซ่อเกิดความระแวง คุณจะไม่มีโอกาสให้ลงมืออีก หากพานชิ่งกับโจวหม่านเชากลับมาได้ นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณกับผม หากเรายึดเอาหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวมาไม่ได้ พวกเราก็จะไม่มีค่าอะไรสำหรับตระกูลใหญ่สองตระกูลนั้นอีก คุณจัดการเอาเองแล้วกัน ผมไม่รอล่ะ!”
สวีเฉียนกล่าว “พวกเรามาคุยกัน…”
คุยบ้าอะไร! เผิงซีไม่รออีกฝ่ายกล่าวจนจบ กดวางสายไป เดินอาดๆ ออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลังแน่ใจในตัวตนของเมิ่งซู่แล้ว เขาก็ไม่มีความกังวลใดๆ อีก หากยังลังเลต่อไปจะเป็นตัวเองที่ต้องตายแทน ส่วนเรื่องเจตนาของฉินอี๋ ภายในใจเขาย่อมรู้ดี รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ฉินอี๋ต้องการ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น
สำหรับเขาแล้ว การต่อสู้ระหว่างหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลฉินไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้มันก็ไม่สำคัญ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องใดจะสำคัญไปกว่าเรื่องที่เขาต้องควบคุมหอการค้าตระกูลโจวเอาไว้ในมือให้ได้ ผลประโยชน์ของตระกูลกงหู่จะมีค่าอันใด ผลประโยชน์ของหอการค้าตระกูลโจวจะมีค่าอันใด สำหรับเขาแล้วเรื่องที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้สำคัญกว่าทุกสิ่ง!
เขาออกไปเรียกรถ พาผู้คุ้มกันติดตามไปด้วย เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปตระกูลโจว”
ขบวนรถพาเขาเดินทางออกไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลโจว
คฤหาสน์ตระกูลเผิงอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลโจวนัก ส่วนตัวเขาก็เข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลโจวได้ไม่ยากเย็นอะไร เพียงบอกว่าเขาเป็นใครก็ไม่มีใครมาขวางเขาเอาไว้
เขาทราบดีเช่นกันว่าเมิ่งซู่ถูกคุมตัวเอาไว้ที่ไหน หลังเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลโจวแล้วลงจากรถ เขาก็ตรงไปยังเรือนพำนักของกงหู่จ้าว
สีหน้าของเขาเป็นปกติ ไม่ได้เผยพิรุธใดๆ ออกมาให้เห็น หลังคารวะกงหู่จ้าวเหมือนอย่างปกติแล้วก็เอ่ยว่า “ผมมีเรื่องในหอการค้าบางเรื่องอยากจะมาถามเมิ่งซู่หน่อยครับ ขอท่านเสมียนใหญ่อนุญาตให้ผมพบเมิ่งซู่ด้วยครับ”
สำหรับเรื่องนี้ กงหู่จ้าวไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร โจวหม่านเชาไม่อยู่ ตอนนี้จึงเป็นเผิงซีที่กุมอำนาจรักษาการณ์แทนประธานหอการค้า งานประจำวันในหอการค้ายังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้อีกฝ่ายไปพบเมิ่งซู่ได้
เขาสั่งให้คนพาเผิงซีไปยังเรือนด้านข้าง แต่แน่นอนว่าส่งคนติดตามไปด้วย
ด้านนอกเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ในสวนด้านข้างมีคนของกงหู่จ้าวคอยเฝ้าเอาไว้ คนที่ถูกส่งให้ติดตามเผิงซีมาด้วยเข้าไปแจ้งกับทางผู้คุ้มกัน บอกว่านี่เป็นคำสั่งท่านเสมียนใหญ่ ผู้คุ้มกันจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
ผู้คุ้มกันเปิดประตู เผิงซีพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในเรือน
คนที่กงหู่จ้าวส่งมาจับตามองไม่ได้ปล่อยให้เผิงซีเข้าไปในเรือนตามลำพัง ยังคงตามเข้าไปจับตาดูด้านในด้วย
ภายในเรือน เมิ่งซู่ที่กำลังตื่นตระหนกหันหน้ามาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเผิงซีก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “คุณเผิง นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”
เผิงซีกล่าว “ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวเอาไว้ผมจะไปสอบถามให้ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องงานอยากจะสอบถามคุณหน่อย เรื่องหินวิญญาณที่หอการค้าของเราซื้อมาจากทางหอการค้าตระกูลหว่านก่อนหน้านี้ วันนี้หอการค้าตระกูลหว่านส่งข้อความมาถามว่าเราจะจ่ายเงินเมื่อไร ผมจำได้ว่าเราน่าจะจ่ายไปหมดแล้วนี่นา ทำไมหอการค้าตระกูลหว่านถึงมาถามแบบนี้อีก?”
“ค่าหินวิญญาณของหอการค้าตระกูลหว่านหรือครับ?” เมิ่งซู่งุนงงไปเล็กน้อย พยายามนึกขึ้นมา
แต่ใครจะไปรู้ว่าในเสี้ยวพริบตาที่เขาเหม่อไป เผิงซีคล้ายทุบลงไปที่หัวใจของเขา ภายในแขนเสื้อมีมีดสั้นเล่มหนึ่งโผล่ออกมา แทงเข้าไปที่หัวใจของเมิ่งซู่
ดวงตาของเมิ่งซู่เบิกโพลง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำการตอบโต้ใดๆ เผิงซีคล้ายกลัวว่าเขาจะไม่ตาย จึงชักมีดออกมาแล้วสะบัดมีดโจมตีไปอย่างรวดเร็วอีกสองครั้ง ไม่ได้มีความลังเลใดๆ แม้แต่นิดเดียว
บนลำคอของเมิ่งซู่มีโลหิตสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา กระทั่งเสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ล้มตึงลงไปกองกับพื้น สองมือกุมลำคอเอาไว้ ร่างกายบิดงอไปมา
คนที่ถูกส่งให้มาจับตามองต่างตกตะลึง นึกว่าตัวเองมองผิดไป ยืนเหม่อลอยเล็กน้อย ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปทันที กระชากเผิงซีให้ถอยห่างออกมา จากนั้นคุกเข่าลงไปประคองเมิ่งซู่ที่นอนจมกองเลือดขึ้นมา
เผิงซีที่เดินเซไปด้านหลังเล็กน้อยมองดูด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่เร่งร้อน
เมิ่งซู่เบิกตาโตมองดูเผิงซีที่เดินออกไป ในลำคอมีเสียงอ๊อกๆ ดังออกมา สีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งเขาตายไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เผิงซีถึงฆ่าเขา
เมื่อเห็นว่าหมดหนทางช่วยเหลือ คนที่ประคองเมิ่งซู่เอาไว้จึงส่งเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เข้ามานี่!”
ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านนอกต่างตกใจ ขณะกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปในห้อง พวกเขากลับเห็นเผิงซีเดินออกมา
เผิงซียืนขวางอยู่ตรงประตู โยนมีดออกไป มีดสั้นที่เปื้อนเลือดตกลงพื้น ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ฉันเป็นคนฆ่าเอง!”
สารภาพออกมาตรงๆ!
การที่มาฆ่าคนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดที่จะปิดบังใครอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะหลบหนีด้วย ยืนรอมอบตัวแต่โดยดี
หลังจากนั้นไม่นาน กงหู่จ้าวที่ได้รับแจ้งก็รีบมาที่นี่ เห็นเผิงซีที่ถูกจับตัวเอาไว้ เมื่อเข้าไปในเรือนก็เห็นเมิ่งซู่ที่นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่เช่นกัน ฟังลูกน้องเล่าเหตุการณ์สังหารที่เกิดขึ้นให้ฟัง
กงหู่จ้าวที่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากหมุนตัวเดินออกมา ก้าวอาดๆ มาตรงหน้าเผิงซี เพียะ! สะบัดมือฟาดไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะสะบัดหลังมือตบไปที่หน้าอีกทีหนึ่ง
กล้ามาปั่นหัวเขา จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร!
แต่สำหรับเผิงซีแล้ว นี่ไม่นับเป็นการปั่นหัวอะไร ในเมื่ออยากจะเล่น อย่างนั้นฉันจะเล่นเป็นเพื่อนพวกแกเอง เขาเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากความเย่อหยิ่งอวดดีของกงหู่จ้าว เข้ามาสังหารคนต่อหน้าต่อหน้ากงหู่จ้าวอย่างเปิดเผย
……
“เจ้าสอง แกกินอะไรหน่อยเถอะ”
ภายในคฤหาสน์ตระกูลพาน ภายในเรือนพักของเซียงหลัวเซ่อ พานหลิงเวยเข้าไปในห้องที่พานหลิงเยวี่ยถูกคุมตัวเอาไว้อยู่ เมื่อได้เจอน้องสาวของตนก็กล่าวเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้เธออยากจะมาเจอพานหลิงเยวี่ย แต่ไม่ได้เจอ เซียงหลัวเซ่อกลัวว่าพวกเธอสองพี่น้องจะแอบร่วมมือทำอะไรกัน
ภายหลังสวีเฉียนมาบอกพานหลิงเวยว่าพานหลิงเยวี่ยไม่ยอมกินไม่ยอมดื่มอะไร คล้ายอยากจะใช้วิธีอดอาหารมากดดันเซียงหลัวเซ่อ จึงเกลี้ยกล่อมพานหลิงเวยให้เอาอะไรไปให้พานหลิงเยวี่ยกินหน่อย
สุดท้ายสวีเฉียนก็ไปขอร้องทางเซียงหลัวเซ่อให้ สองพี่น้องถึงได้พบหน้ากัน
พานหลิงเยวี่ยปฏิเสธ “ไม่กิน! พี่ใหญ่ พี่บอกฉันมาตามตรง พี่เองก็ไม่อยากให้พ่อรอดกลับมาใช่ไหม?”
พานหลิงเวยยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ยกมือตบหน้าผากเธอไปทีหนึ่ง “คิดอะไรของแกเนี่ย? ดูเหมือนพี่เขยของแกจะว่าเอาไว้ไม่ผิด ตอนนี้แกเห็นใครก็เที่ยวสงสัยไปหมดจริงๆ ด้วย กระทั่งฉันแกก็ยังสงสัยอย่างนั้นเหรอ”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “พี่ใหญ่ บางทีฉันอาจจะเชื่อพี่ได้นะ แต่ฉันไม่เชื่อพี่เขย ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกจับเอาไว้ที่นี่ได้ยังไง?”
พานหลิงเวยถอนใจ “เด็กโง่ แกยังมีหน้ามาพูดอีกนะ แกเที่ยวสงสัยไปทั่วแบบนั้น พี่เขยแกตกใจแทบแย่ แกไม่รู้เหรอว่าหอการค้าตระกูลฉินกำลังยุแยงให้พวกเราทะเลาะกันเอง?”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “เรื่องนี้ฉันรู้ แต่ฉันกลัวว่าจะเป็นการเล่นตามน้ำไปตามความคิดพี่เขยน่ะสิ”
พานหลิงเวยกล่าวว่า “ดูแกพูดเข้า ถูกต้อง ตอนที่พี่เขยแกเพิ่งกลับมาจากเมืองปู๋เชวี่ย เขาถูกท่านเสมียนใหญ่เรียกเข้าไปคุยจริงๆ พี่เขยแกบอกฉันหมดแล้ว จริงอยู่ที่ท่านเสมียนใหญ่อยากให้พี่เขยแกเข้าไปบริหารหอการค้าตระกูลพาน แต่พี่เขยของแกปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วตอนที่เขาออกมาจากเรือนพักของท่านเสมียนใหญ่ จู่ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากนังฉินอี๋คนนั้น ฉินอี๋บอกเขาว่าได้ข่าวมา บอกว่าแกกำลังคิดจะกำจัดเขาเพื่อตัดปัญหา แล้วแกยังบังเอิญส่งกูเป่ยมาหาเขาพอดีอีก ทำเอาตอนนั้นพี่เขยแกตกใจกลัวจริงๆ”
“เขาเองก็ไม่รู้ว่าแกหลงกลนังฉินอี๋แล้วคิดจะฆ่าเขาหรือเปล่า กลัวว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดจนแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่ต้องกลับเข้าไปหาท่านเสมียนใหญ่ ให้ท่านเสมียนใหญ่จับตัวแกเอาไว้ก่อน เอาไว้รอให้พ่อกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”
พานหลิงเยวี่ยกล่าวอย่างสงสัย “จริงเหรอ?”
พานหลิงเวยถอนใจ “เด็กโง่ กระทั่งฉันแกก็ไม่เชื่อแล้วจริงๆ อย่างนั้นเหรอ แกไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะ ถ้าสวีเฉียนตอบตกลงเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานจริงๆ มีหรือที่ท่านเสมียนใหญ่จะเก็บแกเอาไว้ สวีเฉียนเองก็ไม่มีทางปล่อยแกแน่ มีหรือที่จะแค่จับแกมาขังเอาไว้แบบนี้ กลัวว่าแกคงจะถูกคนจัดการไปนานแล้ว แล้วก็นะ ถ้าสวีเฉียนเกิดคิดไม่ซื่อขึ้นมาจริงๆ เขาจะยอมให้พวกเราสองพี่น้องมาเจอหน้ากันได้ยังไง? ถ้าเกิดเขาคิดไม่ซื่อจริงๆ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้ฉันดูแลหอการค้าตระกูลพานอย่างอิสระอยู่ข้างนอก ต่อให้ไม่ฆ่าฉัน แต่เกรงว่ากระทั่งฉันก็คงจะถูกจับมาขังเอาไว้ด้วยแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้พานหลิงเยวี่ยตาสว่างขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่ปากยังคงกล่าวพึมพำ “ก็พวกพี่เป็นผัวเมียกันนี่ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าพี่ใหญ่ยืนอยู่ข้างพี่เขยหรือเปล่า พี่ใหญ่ ฉันจะบอกพี่ไว้นะ พี่จะปล่อยให้ท่านเสมียนใหญ่ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ยอมให้พ่อรอดกลับมาแน่”
ป๊าบ! พานหลิงเวยตบหน้าผากของเธออีกทีหนึ่ง “ยังจะพูดเหลวไหลอีก ฉันจะทำร้ายพ่อตัวเองได้ยังไงล่ะ!” จากนั้นดึงหูของเธออีกทีหนึ่ง “นังเด็กโง่นี่ เอาไว้ฉันค่อยจัดการแก ตอนนี้แกกินให้ท้องอิ่มก่อนเถอะ ถ้าหิวตายก็เรื่องของแกนะ ฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะ!”
พานหลิงเยวี่ยสะบัดศีรษะ ปากแค่นเสียงเหอะออกมา แต่เมื่อดูจากความรักความห่วงใยที่พี่ใหญ่แสดงออกมาแล้ว พี่ใหญ่ยังคงเป็นพี่ใหญ่ของตัวเองคนนั้น ภายในใจรู้สึกผ่อนคลายลงทันที และตอนนี้เธอก็หิวจริงๆ ความรู้สึกของการอดอาหารมันไม่ได้ดีสักเท่าไรเลย
เธอกรอกน้ำชาใส่ปากอึกๆๆ จากนั้นหยิบอาหารขึ้นมายัดใส่ปาก ท่าทางดูแล้วหิวโหยอย่างมากจริงๆ
พานหลิงเวยมองดูด้วยความรู้สึกสงสาร ดุเล็กน้อยว่า “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งเธอหรอก”
พานหลิงเยวี่ยเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก กล่าวเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจนว่า “พี่ใหญ่ พี่ต้องคอยจับตาดูทางหอการค้าเอาไว้นะ อย่าให้ใครมาฉวยโอกาสทำอะไรได้”
พานหลิงเวยกล่าว “แกระวังตัวเองอย่าก่อปัญหาเพิ่มก็แล้วกัน ทางหอการค้าแกไม่ต้องห่วง พ่อยังไม่กลับมา ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรหอการค้าแน่ กินช้าๆ ค่อยๆ กิน บอกแล้วไงว่าไม่มีใครมาแย่งแก แกดูสภาพแกซิว่ายังเหมือนคุณหนูรองของตระกูลพานอยู่หรือเปล่า”
ความห่วงใยนี้ยิ่งทำให้พานหลิงเยวี่ยรู้สึกผ่อนคลาย ปากเคี้ยวอาหารพลางส่งยิ้มซื่อบื้อให้พี่สาว
…………………………………………………………