ตอนที่158 อย่ามาหาว่าฉันรังแกล่ะ!
เซียงหลัวเซ่อ “ทางเผิงซีกับสวีเฉียนนั้น พวกเราก็คงจะไม่สะดวกไปขัดขวางอะไรแล้วล่ะ”
กงหู่จ้าวเข้าใจความหมายของเขา ทางเผิงซีกับสวีเฉียนนั้นกำลังกำจัดคนของโจวหม่านเชาและพานชิ่งอยู่ ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเคยเตือนพวกเขาเรื่องการกระทำที่เหิมเกริมไร้ความยำเกรงเอาไว้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่สะดวกไปขัดขวางอะไรสองคนนั้นแล้ว ต้องรีบให้เผิงซีกับสวีเฉียนควบคุมหอการค้าทั้งสองให้ได้โดยเร็วที่สุด
สรุปแล้วที่ทั้งสองคนถูกฉินอี๋ด่าจนพูดไม่ออก นั่นเป็นเพราะว่าตนเองกำลังเป็นฝ่ายไปขอร้องเธอ คาดหวังว่าทางฉินอี๋จะทำตามข้อตกลงที่เคยว่าไว้ก่อนหน้านี้
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ถูกความอวดดีของฉินอี๋ทำให้เกิดความระแวงขึ้นมาเล็กน้อย อีกฝ่ายไม่เคยเกรงกลัวพวกเขาเลย นี่จึงทำให้พวกเขาเริ่มไม่ไว้ใจฉินอี๋ขึ้นมา แล้วก็เริ่มเตรียมแผนรับมือหลังจากนี้แล้ว
“แล้วตอนนี้จะเอายังไง? จะกลับไปอย่างที่เธอบอกจริงๆ เหรอ?” กงหู่จ้าวถาม
เซียงหลัวเซ่อถอนใจแล้วพูดว่า “ถ้าไม่กลับจะให้ทําอะไร? อยู่ที่นี่ต่อเพื่อให้เธอมีข้ออ้างกลับคำอย่างนั้นเหรอ? ถึงอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับเถอะ”
กงหู่จ้าวพยักหน้าเล็กน้อย พูดกับคนที่อยู่ข้างหน้าว่า “กลับ”
ขบวนรถติดเครื่อง เคลื่อนตัวออกไปจากหอการค้าตระกูลฉิน เรียกได้ว่ามาแบบรีบร้อน แล้วก็จากไปแบบรีบร้อน
……
เมื่อเห็นขบวนรถแล่นออกไปแล้ว ไป๋หลิงหลงที่ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างก็หมุนตัวเดินกลับมาที่หน้าโต๊ะทำงาน “ท่านประธานคะ พวกเขาไปแล้วค่ะ”
ฉินอี๋เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นิ้วมือทั้งสิบสอดประสานไว้ตรงหน้าท้องของตัวเอง “ฉันซื้อเวลาให้เผิงซีกับสวีเฉียนแล้ว แต่เวลาที่เหลือให้พวกเขาทั้งสองคนก็มีไม่มากเช่นกัน ได้แต่หวังว่าทั้งสองคนจะพยายามหน่อย อย่าทำให้ฉันผิดหวัง” สายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกว่า “เดี๋ยวติดต่อเหิงเทาให้ฉันหน่อย ดูว่าวันนี้เขาว่างเมื่อไหร่ ฉันอยากพบเขาหน่อย”
ไป๋หลิงหลง “ให้ฉันอ้างเหตุผลอะไรให้เขาปลีกตัวมาดีคะ?”
ฉินอี๋ “ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรทั้งนั้น แค่บอกว่าฉันมีเรื่องสําคัญอยากคุยกับเขา เราต้องจับตาดูโจวหม่านเชาและพานชิ่งที่ถูกขังอยู่ในคุกให้ดี อย่าให้ถูกคนฆ่าได้”
ไป๋หลิงหลงเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “จะกลัวก็แต่ว่าทางลั่วเทียนเหอจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่จะปล่อยโจวหม่านเชากับพานชิ่ง เกรงว่าเขาคงไม่ยอมปล่อยคนง่ายๆ อย่างที่ท่านประธานต้องการ”
ฉินอี๋ “นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ฉันมีวิธีจัดการของฉันอยู่”
เมื่อเห็นว่าเธอมีแผนอยู่ในใจแล้ว ไป๋หลิงหลงเองก็ไม่พูดอะไรมากอีก รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อเหิงเทา ทางเหิงเทาตอบกลับมาว่าว่างตอนเที่ยง ให้ไปรับประทานอาหารด้วยกัน
หลังแจ้งฉินอี๋แล้ว ฉินอี๋ก็พยักหน้ารับรู้ ตกลงกันตามนี้
ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ขณะที่ไป๋หลิงหลงกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป เธอก็อดเหลือบมองดูฉินอี๋อยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ แอบลอบถอนใจเบาๆ จากนั้นถึงจะหมุนตัวเดินออกไป
ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ฉินอี๋จะเอ่ยออกมา “หลิงหลง ยังมีอะไรอีกหรือเปล่า?”
ฝีเท้าของไป๋หลิงหลงหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมาฝืนฉีกยิ้ม “ไม่มีอะไรค่ะ”
ฉินอี๋จ้องไปที่เธอ “มีเรื่องอะไรที่บอกฉันไม่ได้เหรอ?”
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปี เมื่อมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นมีหรือที่จะดูไม่ออก เมื่อวานเธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว เพียงแต่เธอรอให้ไป๋หลิงหลงพูดออกมาเองเท่านั้น
ไป๋หลิงหลงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เรื่องบางเรื่องเธอรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูดในตอนนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นมาแล้ว เธอเองก็คงปิดเอาไว้ไม่ได้อีก หลังจากที่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แฟนจากเมืองหลวงของหลินยวนมาแล้วค่ะ”
ฉินอี๋ชะงักไปเล็กน้อย หรี่ตาแล้วพูดว่า “แซ่ลู่น่ะเหรอ?”
ไป๋หลิงหลงพยักหน้า “ลู่หงเยียนที่ไปมาหาสู่กับหลินยวนที่พวกเราเคยจับตาดูคนนั้นแหละค่ะ เธอนั่งเรือคุนมาถึงที่นี่เมื่อวานตอนบ่าย” พูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดรูปแล้วส่งให้ฉินอี๋ดู “นี่คือรูปที่ฉันให้กวนเสี่ยวชิงแอบถ่ายมาเมื่อวานนี้ค่ะ”
ฉินอี๋รีบรับมาดูทันที ภาพแรกที่เห็นคือภาพที่หลินยวนและลู่หงเยียนกำลังยืนคุยกันอยู่ มีเรื่องหนึ่งที่เธอจำต้องยอมรับ ลู่หงเยียนนั้นมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าเธอ พูดอีกอย่างคือสวยกว่าเธออยู่หน่อย
แล้วก็เพราะเหตุผลนี้เอง สีหน้าของฉินอี๋จึงดูไม่ค่อยดีนัก
เลื่อนไปอีกภาพ ภาพต่อมาคือภาพคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน ดูมีความสุขเหมือนครอบครัวเดียวกัน แล้วก็เห็นว่าจางเลี่ยเฉินก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉินอี๋แค่นเสียงเหอะในลำคอ “ดูเหมือนลุงเฉินจะชอบลู่หงเยียนคนนี้ทีเดียวนะเนี่ย ถึงกับมาเป็นเพื่อนด้วยตัวเองแบบนี้ ฉันไม่ดีกับเขาหรือ? กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!” เอ่ยพร้อมกัดฟันกรอด
ก็ไม่ได้มีอะไร เธอก็แค่ไม่พอใจ เพราะจางเลี่ยเฉินเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของหลินยวน การที่จางเลี่ยเฉินมาเป็นเพื่อนด้วยตัวเองแบบนี้ ทำให้เธอไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ รู้สึกโกรธมาก!
จะว่าอย่างไรดีละเนี่ย? ไป๋หลิงหลงเหงื่อตกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี แต่ก็ถือว่าดูออกแล้ว ต่อให้เป็นคนที่เยือกเย็นสักแค่ไหน เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องความรักก็ยังยากจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เสี่ยวอี๋เหมือนจะลืมตัวไปหน่อย
เลื่อนไปอีกภาพ ภาพต่อมา ฉินอี๋ยกโทรศัพท์ขึ้นมามองใกล้ๆ เป็นภาพในห้องครัว คิดไม่ถึงว่าลู่หงเยียนจะพับแขนเสื้อเข้าครัว เห็นได้ชัดว่าขณะที่ช่วยทำอาหารก็พูดคุยกับเถาฮวาไปด้วย เถาฮวาดูยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
ใบหน้าที่เดิมทีก็ดูไม่พอใจอยู่แล้วของฉินอี๋ยิ่งดูไม่พอใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม แค่นเสียงเหอะออกมา เอ่ยเหน็บแนมว่า “แต่งตัวแบบนี้เข้าครัวเนี่ยนะ ดูเหมือนคนที่จะเข้าครัวเหรอ? แสดงให้ใครดูกันล่ะ?”
จริง ๆ แล้วงานในครัวของเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าลู่หงเยียนเท่าไรเช่นกัน บางทีอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยได้แตะงานในครัวเลย ทั้งเสื้อผ้าอาหารล้วนมีคนจัดการให้หมด ไม่เคยต้องซักผ้าทำงานบ้านใดๆ เองเลย ตั้งแต่เล็กจนโตแม้กระทั่งเดินเข้าไปในครัวก็ยังแทบจะนับครั้งได้
จากภาพถ่ายดูไม่ออกว่าลู่หงเยียนนั้นทำงานครัวเป็นจริงๆ หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนกําลังทำอยู่
ในด้านนี้ฉินอี๋ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ แต่ในเวลานี้เธอเกลียดลู่หงเยียนที่มีความสามารถมากกว่าเธอ อีกทั้งหน้าตาดีกว่าเธอ และมาจากเมืองใหญ่อีก ผู้หญิงที่สามารถทําอาหารได้ก็หมายความว่าดูแลคนอื่นได้ ในคําพูดเหน็บแนมของฉินอี๋นั้นแฝงไว้ด้วยความริษยาอย่างชัดเจน
ไป๋หลิงหลงยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จากนั้นมือไม้ปั่นป่วนขึ้นมา ยังดีที่เธอเป็นผู้บำเพ็ญเพียร จึงรีบรับโทรศัพท์เอาไว้ได้ โทรศัพท์เกือบจะถูกฉินอี๋ขว้างจนพังเสียหาย
ฉินอี๋เอนหลังพิงพนักของเก้าอี้อีกครั้ง เก้าอี้เอนไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างยกขึ้นมาวางพาดกันเอาไว้บนโต๊ะทำงาน “ก่อนหน้านี้เคยเห็นพวกเขามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวไหม? ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ปิดบังอะไรฉันใช่ไหม?”
ไป๋หลิงหลงรีบตอบทันที “ไม่มี ก่อนหน้านี้ไม่เห็นอะไรจริงๆ”
ฉินอี๋เอ่ยปลอบใจตัวเองว่า “อย่างนั้นจะเป็นแฟนกันได้ยังไง อาจจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาก็ได้ ลู่หงเยียนคนนี้พักอยู่ที่ไหน?”
ไป๋หลิงหลงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ก็อยู่ในโรงอีหลิวนั่นแหละ”
สีหน้าฉินอี๋คร่ำเคร่งลงทันที ส่งเสียเหอะแล้วพูดว่า “หรือว่าลุงเฉินแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว ทำไมถึงให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้เข้าไปอาศัยที่บ้านได้? พื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่โต ผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนอาศัยอยู่ด้วยกัน จะสะดวกอย่างนั้นเหรอ?”
ไป๋หลิงหลงเหนื่อยใจ นี่มันเหตุผลอะไร? ไร้เหตุผลชัดๆ!
ปั้ง! จู่ๆ ฉินอี๋พลันตบโต๊ะ “ฉันดูแลเขามาตั้งหลายปี ฉันไม่เชื่อหรอกว่าลุงเฉินจะไม่เข้าใจความคิดของฉัน กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!” ก่อนจะหันหน้าไปถามไป๋หลิงหลงอีกครั้งว่า “บ้านแคบๆ ที่อยู่ในภาพนั้นคือที่ไหน?”
ไป๋หลิงหลงเอ่ย “ก็บ้านตระกูลกวน ในบ้านของกวนเสี่ยวชิง”
ฉินอี๋พลันเงียบไป ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “มาถึงก็พาไปบ้านตระกูลกวน ดูเหมือนในใจของตาบ้านั่นตระกูลกวนจะสำคัญมากสินะ ตระกูลกวนอาศัยอยู่ในที่แบบนั้นมาตลอดเลยเหรอ?”
ไป๋หลิงหลง “เหมือนว่าจะใช่”
ฉินอี๋กล่าว “เปลี่ยนที่อยู่ให้พวกเขาใหม่ ซื้อบ้านในเมืองที่กว้างหน่อย แล้วก็ดีหน่อยให้ตระกูลกวนหลังหนึ่ง เรื่องนี้เธอรีบไปจัดการซะ”
“นี่…” ใบหน้าของไป๋หลิงหลงกระตุกขึ้นมา “เสี่ยวอี๋ นี่มันไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า? นี่มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินนะ ในใจเธอก็รู้ดีกว่าฉัน ถ้าอยากจะดูแล เธอคงจะดูแลไปตั้งนานแล้ว แม้แต่ลุงเฉิน เธอเองก็ยังไม่กล้าดูแลจนเกินหน้าเกินตาเลย”
ฉินอี๋เงียบไปอีกครั้ง ถูกต้อง เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สะดวกจะทำอะไรมากเกินไปจริงๆ ยิ่งเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ก็อาจจะถูกฉินเต้าเปียนผู้เป็นพ่อของเธอฉวยโอกาสตอบโต้ได้ โดยเฉพาะในเวลานี้ ถ้าหอการค้าตระกูลฉินออกหน้าช่วยเหลือ เกรงว่ามันอาจจะไม่ใช่ความช่วยเหลือ แต่กลับจะกลายเป็นการทำร้ายพวกเขาได้ คนอย่างตระกูลกวนนั้นไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้
หลังจากที่ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เธอก็พูดว่า “โลกนี้มีผู้ชายเยอะแยะมากมาย ต่อให้เป็นคนที่ฉันโยนทิ้งไปแล้ว ถ้าอยากจะเก็บขึ้นมาก็ต้องถามฉันก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ คนต่างถิ่นคนหนึ่งวิ่งมาอวดดีถึงที่นี่ อย่าหาว่าฉันรังแกก็แล้วกัน!”
ไป๋หลิงหลงเป็นห่วงว่าเธอจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา จึงเกลี้ยกล่อมว่า “เสี่ยวอี๋ เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จําเป็นจริงๆนะ”
ฉินอี๋กล่าว “กวนเสี่ยวชิง ต้องจับเธอไว้ให้แน่น ทำให้เธอออกจากหอการค้าตระกูลฉินไม่ได้”
“เอ่อ…”ไป๋หลิงหลงเอ่ยด้วยความสงสัย “เธอจะทำอะไร?”
ฉินอี๋ไม่ตอบคำถามนี้ “ก่อนหน้านี้ตอนที่จับตาดูลู่หงเยียน เคยเจอเรื่องน่าอายของลู่หงเยียนคนนั้นหรือเปล่า?”
ไป๋หลิงหลงเอ่ย “อันนี้ไม่ทันได้สังเกต”
ฉินอี๋ “ส่งคนไปแอบสืบมา มีก็ดี ถ้าไม่มีก็แต่งขึ้นมา แล้วก็ทำเหมือนว่าไม่ตั้งใจให้กวนเสี่ยวชิงรู้ ให้กวนเสี่ยวชิงไปบอกตระกูลกวน ขอเพียงตระกูลกวนรังเกียจเธอ เดี๋ยวพวกเขาก็ไปเป่าหูหลินยวนเอง ฉันอยากจะดูสิว่าหลินยวนจะชอบเธออยู่อีกหรือเปล่า”
เฮ้อ! ไป๋หลิงหลงพูดไม่ออกแล้ว นี่คือต้องการจะเล่นงานลับหลังสินะ!
แต่จะว่าไปแล้ว การที่เสี่ยวอี๋ไม่ได้ให้คนไปจัดการผู้หญิงคนนั้นทิ้งตรงๆ ก็นับว่าปราณีอย่างมากแล้ว
ฉินอี๋กล่าว “แล้วก็พี่ชายของกวนเสี่ยวชิงคนนั้น ชื่อกวนเสี่ยวไป๋ใช่ไหม? ทำให้กวนเสี่ยวชิงกับจูเก่อม่านเจอกันบ่อยๆ โดยไม่ให้พวกเธอรู้ตัว ยืมมือหลัวคังอันมาดูแลกวนเสี่ยวไป๋ให้มากๆ ค่อยๆ ประคับประคองขึ้นมา แล้วเอาการค้าของกวนเสี่ยวไป๋มาผูกไว้กับทางหอการค้าตระกูลฉิน ขอแค่สองพี่น้องตระกูลกวนผูกอยู่กับหอการค้าตระกูลฉิน ฉันอยากจะดูสิว่าตระกูลกวนจะยืนอยู่ข้างไหน”
“นี่…” ไป๋หลิงหลงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ฉินอี๋เอ่ย “จัดการตามนี้แหละ” กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน “ไป ไปโรงอีหลิว ไปเจอผู้หญิงคนนั้นหน่อย ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอเป็นยังไง แล้วก็ยังมีลุงเฉิน ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ดูเหมือนว่าถ้าไม่สั่งสอนสักหน่อยคงไม่รู้ตัวสินะ”
“เสี่ยวอี๋!” ไป๋หลิงหลงรีบยื่นมือไปห้ามไว้ พบว่าคนคนนี้ชอบชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นเสียจริง นี่คือคิดจะไปยั่วยุลู่หงเยียนคนนั้นสินะ จึงรีบชี้ไปที่เวลาทันที “นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เธอมีนัดกินข้าวกับเหิงเทาเพื่อคุยเรื่องสำคัญนะ เธอวิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ เดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ”
พอพูดแบบนี้ ฉินอี๋ก็หันกลับไปมองเวลา จริงอย่างที่เธอว่า หลังคิดไตร่ตรองแล้ว จึงทำได้เพียงปล่อยวางความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้ก่อน เรื่องที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า
เธอเองก็ไม่มีเวลาจัดการกับเรื่องความรักความรู้สึกส่วนตัวจริงๆ นั่นแหละ
…..
จูลี่รีบกลับไปที่บ้าน ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานก็รีบกลับมาแล้ว
เพราะเธอได้รับโทรศัพท์จากจิ้นเซียว บอกว่าของซ่อมเสร็จแล้ว
เธอพุ่งเข้าประตูบ้านไปด้วยความตื่นเต้น เห็นจิ้นเซียวกำลังรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น จึงรีบถามอย่างร้อนใจว่า “ของล่ะ?”
จิ้นเซียวแบมือออก เผยให้เห็นผลึกทรงปริซึมชิ้นเล็กๆ ที่อยู่ในมือ
จูลี่รีบใช้นิ้วคีบขึ้นมาดู สภาพดูสมบูรณ์เรียบร้อย จึงถามอย่างตื่นเต้นว่า “ซ่อมเสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ คุณบอกว่าต้องใช้เวลาสิบวันไม่ใช่เหรอ?”
จิ้นเซียวอยากบอกกับเธอว่าปกติแล้วมันต้องใช้เวลาสิบวันแน่นอน แต่หลายวันนี้เพื่อจะเร่งทำงาน เขาเรียกได้ว่าทำงานทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว มันก็ต้องเร็วขึ้นอยู่แล้ว
แต่คําพูดเอาใจเช่นนี้เขาไม่ได้พูดออกมา จึงพูดอย่างอายๆ ว่า “ยากจะทำให้มันกลับมาสมบูรณ์เหมือนตอนแรกได้ อาจจะมีร่องรอยความเสียหายอยู่เล็กน้อย คุณภาพของภาพและคุณภาพของเสียงที่อยู่ข้างในเสียหายไปเล็กน้อย”
จูลี่รีบหมุนตัวเดินไปที่หน้าต่างทันที ส่องหินผลึกกับแสงแดดดูอย่างละเอียด แต่สายตาของเธอมองไม่เห็นถึงร่องรอยความเสียหายใดๆ แม้แต่น้อย ถ้าบอกว่าเป็นของใหม่เธอก็คงเชื่อ
…………………………………………………………