ตอนที่ 170 คิดจะรังแกคนของโรงอีหลิวง่ายๆ เรอะ?
หลินยวนใบหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา “ฉันทำลายกล้องทิ้งไปก่อนที่จะลงมือ ไม่มีทางถ่ายติดตอนที่ฉันลงมือแน่นอน แต่ถ้าภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะลงมือถูกกู้กลับคืนมาได้ล่ะก็ ขอเพียงคิดดูเล็กน้อยก็จะต้องพบเห็นถึงปัญหาแน่นอน ความเคลื่อนไหวของหลัวคังอันนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ขอเพียงเป็นคนมีสมองเล็กน้อยก็จะต้องสงสัยในตัวฉันอย่างแน่นอน”
ลู่หงเยียนมีสีหน้าคร่ำเคร่ง “วันนี้จูลี่พยายามหยั่งเชิงพระองค์หรือเพคะ?”
หลินยวนพยักหน้า
ลู่หงเยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เก็บผู้หญิงคนนี้เอาไว้ไม่ได้!”
หลินยวนกล่าว “จะฆ่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาในตอนนี้คือถ้าสิ่งที่อยู่ในกล้องวงจรปิดถูกกู้กลับมาได้ อย่างนั้นมีคนมากน้อยเท่าไรที่รู้เรื่องนี้ แล้วก็มีคนมากน้อยเท่าไรที่เห็นสิ่งที่อยู่ในกล้องวงจรปิดไปแล้ว ถ้าไม่สามารถขุดรากถอนโคนจนหมดได้ล่ะก็ ทันทีที่จูลี่เกิดเรื่อง ไม่ช้าก็ต้องมีคนสืบมาถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ลู่หงเยียนกล่าว “คืนนี้หม่อมฉันจะใช้วิชา ‘แยกจิตพันลี้’ ไปสืบเธออย่างละเอียดเพคะ พยายามดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรแล้วค่อยทำการตัดสินใจ ถ้าไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นเราก็ให้เหิงเทาเป็นคนจัดการเพคะ”
หลินยวนเอ่ย “ที่พักของเธอมีผู้พิทักษ์เมืองจำนวนมากคอยเฝ้าอยู่ วิชา ‘แยกจิตพันลี้’ ของเธอหลบเนตรทิพย์ของผู้บำเพ็ญเพียรไม่พ้น”
ลู่หงเยียนเอ่ย “หม่อมฉันจะติดต่อเหิงเทา ให้เขาจัดหม่อมฉันเข้าไปในทีมลาดตระเวนในพื้นที่นั้นคืนนี้เพคะ ขอเพียงไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ที่พักของจูลี่ เหิงเทาก็ไม่มีทางรู้ว่าหม่อมฉันจะทำอะไร ไม่มีทางมีปัญหาอะไรเพคะ”
หลินยวนส่งเสียงอืม
ตกกลางคืน ลู่หงเยียนใช้ข้ออ้างว่ารู้สึกเบื่อ ทักทายจางเลี่ยเฉินเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไปเที่ยวข้างนอก ขับรถออกไปเที่ยวเกือบสองชั่วยามถึงจะกลับมา ตอนที่กลับมาถึงก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
หลังจอดรถแล้วลงมาจากรถ ลู่หงเยียนก็เอ่ยทักทายจางเลี่ยเฉินที่นอนโบกพัดอยู่บนเก้าอี้ภายในสวน จากนั้นถึงจะกลับเข้าไปในห้อง
หลังกลับเข้ามาในห้อง ลู่หงเยียนก็พยักหน้าให้หลินยวน “ตรวจสอบแล้วเพคะ จูลี่กลับไปถึงบ้านแล้วเพคะ”
หลินยวนเอ่ยอย่างสงสัย “ดึกขนาดนี้เพิ่งจะกลับบ้าน?”
ลู่หงเยียนกล่าว “ปกติเพคะ ผู้หญิงคนนี้มักจะออกไปแต่เช้า ดึกๆ ถึงจะกลับมา วันนี้มีเรื่องงานแถลงข่าวของหอการค้าตระกูลฉิน เธอก็เลยต้องทำงานจนดึก น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เริ่มเลยไหมเพคะ?”
หลินยวนพยักหน้า
ลู่หงเยียนลอยตัวขึ้นมาทันที ลอยลงไปบนเตียง อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ พลิกมือขึ้นมา เผยให้เห็นใบไม้ใบหนึ่งที่เพิ่งเด็ดมาจากในสวนด้านนอกเมื่อครู่นี้
เธอใช้นิ้วคีบมุมหนึ่งของใบไม้ขึ้นมา ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย เป่าลมออกมายาวๆ อย่างแผ่วเบา ค่อยๆ เป่าเอาฝุ่นที่จับตัวอยู่บนผิวใบไม้ออกไป เป่าจนกระทั่งพื้นผิวที่ขรุขระของใบไม้ปรากฏขึ้นมาถึงได้หยุดลง จากนั้นหยิบใบไม้ขึ้นมาสะบัดเบาๆ ก่อนจะเห็นแสงสีขาวนวลไหลเข้าไปตามเส้นใยของใบไม้อย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปไม่นาน แสงสีขาวนวลก็ไปรวมตัวกันอยู่ตรงกึ่งกลางของใบไม้ ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างดวงตาดวงหนึ่งขึ้นมา
จากนั้นใบไม้ก็ลอยขึ้นมาจากนิ้วมือของเธอ ประเดี๋ยวก็ลอยไปลอยมา ประเดี๋ยวก็โบยบินอยู่ภายในห้อง
หลังจ้องมองอยู่พักหนึ่ง มือทั้งสองข้างของลู่หงเยียนทำสัญลักษณ์ประสานพลังขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ วางลงบนหัวเข่า ดวงตาเองก็ค่อยๆ หลับลง
ใบไม้ที่โบยบินลอยลงมา หลินยวนยื่นฝ่ามือออกไป ปล่อยให้ใบไม้ร่วงตกลงในฝ่ามือ จากนั้นกำเอาไว้ หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเห็นเขาออกมา จางเลี่ยเฉินที่นอนโบกพัดก็เอ่ยทักว่า “จะออกมาดูดาวเป็นเพื่อนฉันเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “เธอกำลังอาบน้ำอยู่ ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย”
“…..” จางเลี่ยเฉินหมดคำพูด เหลียวหน้ากลับไปมองดูห้องของหลินยวน
หลินยวนขับรถออกไป
“คนหนึ่งออกไป กลับมาแล้ว แล้วก็ออกไปอีกคน ทำอะไรกัน ดูเหมือนคืนนี้จะมีเรื่องสนุกแล้วสิ…” จางเลี่ยเฉินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง บิดขี้เกียจทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
เรื่องบางเรื่องไม่ได้เหนือความคาดหมาย หลังออกไปได้ไม่นาน หลินยวนก็พบว่าตัวเองถูกคนตามมาอีกครั้ง
เคยชินเสียแล้ว แล้วก็ไม่อาจเสียเวลาได้ หลินยวนขับรถตรงไปยังพื้นที่ที่ลู่หงเยียนระบุเอาไว้ เขาต้องรีบไปให้ถึงในเวลาที่กำหนดเอาไว้
หลังไปถึงพื้นที่เป้าหมาย หลินยวนก็จอดรถแล้วลงไป เดินเข้าไปซื้อของในร้านขายของฝากที่อยู่ข้างทาง จากนั้นกลับขึ้นรถ ขับกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลังรถคันแล้วคันเล่าแล่นผ่านร้านขายของฝากไปได้ไม่นาน ใบไม้ใบหนึ่งที่อยู่บนพื้นก็ถูกลมพัดลอยขึ้นมา ก่อนจะหายไปในค่ำคืนอันมืดมิด
ความจริงต่อให้หลินยวนไม่เอาใบไม้ใบนี้มาส่งที่นี่ ใบไม้ใบนี้ก็สามารถบินมาด้วยตัวเองได้เช่นกัน แต่พลังที่แฝงอยู่บนใบไม้ใบนี้ไม่อาจหลบหลีกเนตรทิพย์ของผู้บำเพ็ญเพียรได้ อีกทั้งในเมืองนี้ก็มีผู้พิทักษ์เมืองคอยลาดตระเวนหรือไม่ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรเดินทางไปๆ มาๆ อยู่เป็นระยะ จึงไม่ปลอดภัย หลินยวนถึงได้นำมันมาส่งยังพื้นที่ปลอดภัยด้วยตัวเอง
ใบไม้อาศัยสภาพแวดล้อมอำพรางตัวเอง เมื่อพบเจอคนก็จะลดความเร็วลงทันที โบยบินอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายถูกลมพัด
…..
หลินยวนที่กลับมาถึงโรงอีหลิวหิ้วของที่ซื้อมาลงจากรถ เห็นว่าจางเลี่ยเฉินไปพักผ่อนแล้ว จึงกวาดตามองไปรอบด้านเล็กน้อย จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
ลู่หงเยียนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
หลินยวนวางของลง ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เหมือนเป็นผู้คุ้มกัน
กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่หงเยียนที่หลับตาอยู่พลันเอ่ยออกมา “ถึงแล้วเพคะ”
หลินยวนส่งเสียงอืม “ระวังด้วย” จ้องมองดูปฏิกิริยาของเธอ
ภายใต้ความมืด ภายใต้แสงไฟข้างทางที่กระจัดกระจาย ใบไม้บินวนรอบที่พักของจูลี่ สุดท้ายก็เจอช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง จึงบินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ
ห้องรับแขกภายในบ้านปิดไฟแล้ว ใบไม้บินอย่างเงียบๆ อยู่ในความมืด
ทั่วทั้งบ้าน มีเพียงห้องห้องหนึ่งที่อยู่ด้านบนเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ ใบไม้ลอยตามแสงไฟไป ตรงไปยังห้องห้องนั้น
ตรงชั้นล่าง ภายในห้องห้องหนึ่งที่ดับไฟไปแล้ว หางตาของจิ้นเซียวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นภายในความมืดกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆ พลันสะบัดมือออกไป
กระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ด้านบนสุดของกองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะบินออกไปอย่างรวดเร็ว ลอดผ่านช่องใต้ประตูออกไป
ภายในห้องรับแขกมีเงาสีขาววูบไหวผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไปขวางอยู่ตรงหน้าประตูห้องของจูลี่ในพริบตา หยุดใบไม้ที่จะมุดผ่านช่องประตูเข้าไปเอาไว้
ใบหน้าของลู่หงเยียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันกระตุกขึ้นมา มือทั้งสองข้างร่ายพลังอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
มือทั้งสองข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังของหลินยวนวางลง จ้องมองลู่หงเยียน รู้ว่าเธอเจอเรื่องไม่คาดคิดเข้าแล้ว
กระดาษขาวแผ่นนั้นคล้ายกำลังหยอกล้อใบไม้ใบนั้น ใบไม้ใบนั้นเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงคิดจะหลบหนี กระดาษขาวบินวนไปรอบๆ ความเร็วในการโบยบินเร็วกว่าใบไม้อย่างเห็นได้ชัด ขวางทางใบไม้ใบนั้นไม่หยุด คล้ายต้องการจะขังใบไม้เอาไว้ในบ้านอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นใบไม้หรือว่ากระดาษขาวก็คล้ายไม่อยากทำให้เกิดเสียงกระทบกระทั่งใดๆ ขึ้นมา
สุดท้ายเหมือนจะเล่นพอแล้ว จู่ๆ กระดาษขาวพลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ในที่สุดใบไม้ก็สบโอกาส จึงบินหลบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่ในเวลานี้เอง กระดาษสีขาวที่ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศคล้ายกลายเป็นใบมีดใบหนึ่ง พุ่งโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ฉัวะ! มุมหนึ่งของใบไม้ถูกตัดขาด
ใบไม้สูญเสียการควบคุมไปทันที ลอยร่วงตกลง
…..
“อึก” ลู่หงเยียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลันส่งเสียงกระอักด้วยความเจ็บปวดออกมา มือข้างหนึ่งค้ำยันร่างกายที่ส่ายโงนเงนอย่างรุนแรงจนคล้ายจะล้มลงเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งกุมดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้
หลินยวนรีบก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว พยุงเธอเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ลู่หงเยียนค่อยๆ ปล่อยมือที่กุมดวงตาทั้งสองข้างออก ภายในดวงตาที่ปิดสนิทมีโลหิตไหลซึมออกมา เธอหอบหายใจพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรเพคะ อีกฝ่ายออมมือเอาไว้ เหมือนเพียงแค่จะสั่งสอนและตักเตือนหม่อมฉัน ไม่อย่างนั้นดวงตาของหม่อมฉันคงบอดไปแล้วเพคะ”
หลินยวนเอ่ยเสียงคร่ำเคร่ง “ใคร?”
ลู่หงเยียนว่า “ไม่ทราบเพคะ ไม่เห็นตัวเขา อีกฝ่ายไม่ได้เผยตัว เพียงแค่ควบคุมวัตถุเอาไว้ แล้วก็เป็นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ แข็งแกร่งกว่าหม่อมฉันอย่างมาก หม่อมฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยเพคะ”
ประตูห้องของจิ้นเซียวไม่รู้ว่าเปิดออกตั้งแต่เมื่อไร ตัวจิ้นเซียนเองก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขกตั้งแต่ตอนไหน
ในขณะที่ใบไม้ที่ถูกตัดขาดยังไม่ร่วงตกลงบนพื้น จู่ๆ เขาพลันปรากฏตัวขึ้น ฝ่ามือยื่นออกไป กำเศษใบไม้สองชิ้นที่ถูกตัดขาดเอาไว้ในมือ ปล่อยพลังบดขยี้จนใบไม้กลายเป็นผุยผง ภายในเศษใบไม้ที่แหลกละเอียดมีแสงสีขาวเส้นเล็กๆ สว่างวาบขึ้นมา
เขาพลันสูดหายใจลึกๆ สูดเอาพลังสายหนึ่งที่ยังคงอยู่ในเศษใบไม้เข้าไปในปอดของตัวเอง จากนั้นหลับตาลง มือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ อยู่ในความมืด รอบกายมีสายลมพัดเอื่อยขึ้นมา ชายเสื้อพลิ้วไหว
…..
หลินยวนที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดพลันเหลียวหน้ากลับไปมองรอบด้าน เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แปลกประหลาดสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในห้อง
สภาวะของเขาเสียหายไปอย่างมาก จึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหน
เพล้ง! แก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะพลันตกลงมาบนพื้น น้ำไหลออกมาจากในแก้ว แต่น้ำกลับเคลื่อนไหวไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตัวอักษรขึ้นมาแถวหนึ่ง ‘ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันอย่างสงบสุข!’
ตัวอักษรปรากฏอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จากนั้นคลื่นพลังภายในห้องพลันสลายหายไป
จางเลี่ยเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกห้องหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เอ่ยพึมพำว่า “คิดจะรังแกคนของโรงอีหลิวง่ายๆ เรอะ? อวดดีนัก!”
สองมือที่วางอยู่บนเข่าพลันยกขึ้นแล้ววางลง อากาศที่อยู่เบื้องหน้ากระเพื่อมขึ้นมาเหมือนผิวทะเลสาบที่ปั่นป่วน สองมือประกบเข้าด้วยกัน นิ้วชี้และนิ้วกลางของทั้งสองมือพลันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จิ้มเข้าไปในอากาศที่กำลังกระเพื่อมเหมือนดั่งเกลียวคลื่น
…..
จิ้นเซียวที่ลืมตาขึ้นเพิ่งจะเก็บพลังกลับมา ทันใดนั้นพลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่มาจากในความมืด สีหน้าเปลี่ยนไปทันที มือทั้งสองข้างรีบยกขึ้นมารวบรวมพลัง แต่ก็ยังช้าไป
ภายในความว่างเปล่าตรงเบื้องหน้ามีรอยแตกปรากฏขึ้นมา เงามืดสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วหายไป รอยแตกภายในอากาศปรากฏขึ้นมาเพียงแวบหนึ่งแล้วก็หายไป
ภายในบ้านมีเสียงครืนดังขึ้นมา คล้ายเสียงฟ้าคำรามที่มีความกดดันเป็นอย่างมาก
ในชั่วพริบตา จิ้นเซียวที่คล้ายถูกสายฟ้านับหมื่นสายฟาดเข้าใส่พลันกระอักเลือดออกมาดัง ‘พรูด’ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไป กระแทกเข้าใส่โต๊ะเก้าอี้ ก่อนจะพยายามใช้พลังหยุดร่างของตัวเองเอาไว้ โซซัดโซเซถอยหลังไปอีกหลายก้าว
ทำลายความว่างเปล่า? มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกของตัวเองเอาไว้ สายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง เรียกได้ว่าตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แต่รอบด้านก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการสั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างมาก ไม่ใช่คนที่เขาจะรับมือได้เลย
ในเวลานี้เอง เขาถึงได้รู้ว่าการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้ช่างอวดดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็ประมาทเป็นอย่างมาก
….
ภายในสำนักงานเจ้าเมือง เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งผ่านออกมาอย่างรวดเร็ว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ลั่วเทียนเหอที่อยู่ในชุดโบราณโปร่งสบายโบยบินอยู่ในอากาศ เนตรทิพย์กวาดมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง
เขาเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันของยอดฝีมือ
คลื่นพลังเหล่านั้นปรากฏขึ้นแค่เพียงพริบตาแล้วหายไป ไม่มีการพัวพันอะไรกันนานนัก แล้วก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้มากนัก ในเวลานี้เขาเองก็ยากจะพบร่องรอยอะไรได้
“ช่างเป็นการประมูลที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจริงๆ เสือสิงห์กระทิงแรดแห่มาที่นี่กันหมด” ลั่วเทียนเหอกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าคร่ำเคร่ง
คนของสำนักงานเจ้าเมืองพากันเงยหน้ามองดูเขาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
…..
ณ คฤหาสน์ตระกูลฉิน ชายชราสองคนก็พุ่งตัวขึ้นไปบนหลังคาด้วยเช่นกัน กวาดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นชา ทั้งสองคนคือยอดฝีมือที่ตระกูลหนานชีส่งมาคุ้มครองฉินอี๋
….
แอ๊ด! ประตูห้องด้านบนเปิดออก แสงไฟสาดออกมา ไฟตรงทางเดินชั้นบนสว่างขึ้นมา
จูลี่วิ่งออกมา บนร่างสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเอาไว้ ผมยังเปียกชุ่มอยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกเสียงอึกทึกครึกโครมภายในห้องรับแขกทำให้ตกใจจนต้องวิ่งออกมาดู
เสียงอึกทึกครึกโครมเพียงเท่านี้ คนด้านนอกอาจจะไม่ได้ยินอะไร แต่เธอที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันคงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ได้ยินเสียง
เมื่อเห็นสภาพภายในห้องรับแขกที่ข้าวของล้มระเนระนาด จูลี่พลันส่งเสียงร้องออกมา “จิ้นเซียว ดึกดื่นแบบนี้นายทำอะไร? เอ๋…” จู่ๆ เธอพบเห็นถึงความผิดปกติ จึงรีบวิ่งลงมาจากชั้นบนทันที เปิดไฟภายในห้องรับแขก จ้องมองจิ้นเซียวพลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมปากนายถึงมีเลือดไหลล่ะ?”
จิ้นเซียวรีบยกแขนเสื้อเช็ดปากตัวเอง ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ตอนบำเพ็ญเพียรหายใจติดขัดนิดหน่อย เส้นลมปราณภายในเลยได้รับบาดเจ็บ ก็เลยกระอักเลือดออกมาเท่านั้น”
………………………………………………………….