ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 175 ทายาให้ฉันหน่อย

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 175 ทายาให้ฉันหน่อย

หนานชีหรูอันเกาหลังมือ กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เปลี่ยนประเด็นไปว่า “ถ้าได้เงินจากหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวมาจริงๆ เกรงว่าคงจะไม่สะดวกที่จะมอบให้ทางหอการค้าตระกูลฉินตรงๆ เพราะจำนวนเงินมันเยอะเกินไป เกรงว่าคงต้องให้ทางตระกูลจัดการให้เล็กน้อยครับ”

หนานชีเหวินกล่าว “เรื่องนี้แกไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวจะมีคนเอาเงินก้อนนี้ไปฟอกให้สะอาดเอง จำเอาไว้ ตระกูลหนานชีสามารถยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้ แต่ห้ามทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้ ต้องจัดการให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย”

หนานชีหรูอันพยักหน้า “รับทราบครับ หากคุณพ่อไม่มีอะไรแล้ว อย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” กล่าวพลางประสานมือ เตรียมจะเดินออกไป

ก๊อกๆ! ไข่มุกที่อยู่ในมือของหนานชีเหวินเคาะลงไปบนโต๊ะ “จะไปไหน? ฉินอี๋คนนี้ไม่เลว ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ แกฟังเข้าใจหรือเปล่า?”

“เอ่อ…” หนานชีหรูอันจำต้องหยุดฝีเท้าแล้วเหลียวหน้ากลับมา รับคำอย่างเชื่อฟังว่า “เข้าใจครับ”

หนานชีเหวินที่นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้เหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เข้าใจงั้นหรือ? แล้วฉิงชุ่ยคนนั้นนี่มันยังไงกัน ทำไมถึงยังมั่วอยู่ด้วยกันอีก? แกเอาแต่มั่วอยู่กับผู้หญิงคนอื่นทั้งวันทั้งคืน ผู้หญิงคนไหนจะไปใจกว้างขนาดนั้น? อยากกินของอร่อย แต่ท้องอิ่มอยู่ แล้วมันจะไปกินได้ยังไง? กระทั่งความเหงาแค่นี้ก็ยังทนไม่ได้ แล้วจะไปทำงานใหญ่ได้ยังไง? แกลองดูฉินอี๋คนนั้นสิ เพื่อจะทำให้หอการค้าตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขึ้นมา ถึงขนาดตัดเรื่องความรักชายหญิงทิ้งไป ทุ่มเทมุ่งมั่นให้กับงานเพียงอย่างเดียว ถึงได้ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างวันนี้ได้ เรียกรู้จากเธอซะ!”

กล่าวจบก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่หน้าของหนานชีหรูอันพลางกล่าวเตือน “หรือว่าแกไม่รู้ถึงสถานะของแก? ในตระกูลแกถือว่าเป็นคนนอก ไม่รู้ว่าตัวเองขาดอะไรอยู่เหรอไง? ผู้หญิงอย่างฉินอี๋ไม่ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่ายๆ เธอมาชดเชยในสิ่งที่แกขาดได้พอดี ช้าเร็วฉันต้องส่งมอบอำนาจผู้นำตระกูลให้คนอื่นและลงจากตำแหน่ง ไม่สามารถดูแลแกไปตลอดชีวิตได้ ฉิงชุ่ยคนนั้น แกรีบตัดความสัมพันธ์กับเธอทิ้งซะ อย่าบีบให้ฉันต้องช่วยจัดการให้แก ไม่อย่างนั้นแกคงจะรู้ดีนะว่าจุดจบเธอจะเป็นยังไง!”

หนานชีหรูอันยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “คุณพ่อครับ ฉินอี๋คนนั้นแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก คุณพ่อเองก็เห็นแล้ว ฝืนบังคับเธอไม่ได้หรอกครับ คุณพ่อต้องให้เวลาผมได้ค่อยเป็นค่อยไปหรือเปล่าครับ?”

หนานชีเหวินกล่าว “ต่อให้แข็งกร้าวแค่ไหนก็ยังเป็นผู้หญิง รูปร่างหน้าตาเธอก็ไม่เลว เป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียว แบบนี้แกยังมัวรีรออะไรอีก? ฉันจะบอกแกไว้นะ ฉันจะเอาลูกสะใภ้คนนี้ ผู้หญิงคนอื่นฉันไม่เอา ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น!”

หนานชีหรูอันถอนหายใจ “คุณพ่อครับ หลีอู่ไม่ได้บอกคุณพ่อหรือครับ? ฉินอี๋ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพ่อคิดนะครับ เธอตัดเรื่องความรักชายหญิงทิ้งไปที่ไหนล่ะครับ เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นครับ เธอไม่ชอบผู้ชาย เธอชอบผู้หญิง!”

หนานชีเหวินกล่าว “นี่มันเหตุผลอะไร? คำพูดเหลวไหลแบบนี้แกก็เชื่อเหรอ? แกเคยเห็นเธอคบกับผู้หญิงเหรอ? ฉันว่าเธอไม่ชอบแก ก็เลยจงใจหาข้ออ้างมาบอกปัดแกมากกว่า แกไปคิดทบทวนดูดีๆ เถอะ!”

……

ณ คฤหาสน์ตระกูลพาน ขบวนรถขบวนหนึ่งแล่นเข้าไปจอดตรงหน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าเรียบเฉยผู้หนึ่งก้าวลงจากรถ

ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าเซียงหลัวชุน เป็นหนึ่งในสามผู้ดูแลหลักของตระกูลเซียงหลัว แล้วก็มาที่นี่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหอการค้าตระกูลพาน

เซียงหลัวเซ่อที่รออยู่ตรงทางเข้ารีบทำการคารวะ เอ่ยว่า “ท่านเลขา”

เซียงหลัวชุนส่งเสียงอืมรับคำ ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินตรงเข้าไปด้านใน เซียงหลัวเซ่อรีบเดินตามเข้าไป

ทั้งคู่เดินเข้าไปโถงที่อยู่ในส่วนลึกข้างในของตัวเรือน เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เซียงหลัวเซ่อจึงเปลี่ยนคำเรียกอีกฝ่ายใหม่ว่า “พี่ เป็นยังไงบ้าง?”

เซียงหลัวชุนคือพี่สาวแท้ๆ ของเขา

เซียงหลัวชุนเหลือบมองเขาเล็กน้อย พลิกมือยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา “ตอนนี้พานชิ่งระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก มู่ชิงโหรวเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน นี่เป็นเบอร์ติดต่อของพานชิ่งในตอนนี้ รีบติดต่อเขาซะ”

เธอเพิ่งจะออกมาจากสำนักงานเจ้าเมือง หลังพูดคุยอยู่กับมู่ชิงโหรวเป็นเวลาพักใหญ่ ซึ่งก็นับว่าได้เป็นตัวแทนตระกูลกงหู่สร้างความกดดันให้กับทางมู่ชิงโหรวแล้ว เธอจึงได้เบอร์ติดต่อพานชิ่งมาจากมู่ชิงโหรว

เซียงหลัวเซ่อพยักหน้าหงึกๆ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่บนกระดาษ หลังรออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็โทรติด

ภายในลำโพงมีเสียงแค่นหัวเราะเย็นชาที่แฝงไว้ด้วยความดุร้ายของพานชิ่งดังลอดออกมา “ท่านเสมียนใหญ่ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ”

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคุ้นเคยกับเบอร์โทรศัพท์ของเซียงหลัวเซ่อ พอเอ่ยปากก็เรียกชื่อได้ทันที

ความจริงหลังจากที่มู่ชิงโหรวให้เบอร์โทรศัพท์ของเขาไป เธอก็ติดต่อไปทางพานชิ่ง บอกพานชิ่งถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

เซียงหลัวเซ่อเอ่ยว่า “พานชิ่ง ในเมื่อออกมาจากคุกแล้ว ทำไมถึงไม่ติดต่อฉันล่ะ?”

พานชิ่งแค่นหัวเราะหึหึไม่หยุด “ท่านเสมียนใหญ่ยกตำแหน่งประธานหอการค้าตระกูลพานให้แซ่สวี่ไปแล้ว ลูกสาวสองคนของผมก็ถูกฆ่าไปแล้ว ผมยังจะไปกล้ารบกวนท่านเสมียนใหญ่ได้อย่างไรล่ะครับ”

เซียงหลัวเซ่อถอนใจ “พานชิ่ง เรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดว่านายเองก็คงจะรู้ถึงสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นฉันที่ประมาทเลินเล่อไป ฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าสวีเฉียนลงมือโหดเหี้ยมขนาดนี้ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าทุกคนยังสู้กันไปมาแบบนี้ มันไม่เป็นประโยชน์ต่อใครทั้งนั้น สิ่งที่เราควรทำคือคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาต่างหาก”

เสียงลมหายใจของพานชิ่งคล้ายถี่กระชั้นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็สะกดความโกรธนั้นเอาไว้ได้ “ท่านเสมียนใหญ่พูดมีเหตุผล อย่างนั้นไม่ทราบว่าท่านเสมียนใหญ่คิดจะแก้ไขอย่างไรครับ?”

เซียงหลัวเซ่อกล่าวว่า “ในเมื่อนายออกมาจากคุก หอการค้าตระกูลพานก็ย่อมต้องให้นายเป็นคนบริหาร แบบนั้นถึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ นายว่าไงล่ะ?”

พานชิ่งกล่าว “ท่านเสมียนใหญทราบดีว่าผมต้องการอะไร ผมเองก็ไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ผมต้องการชีวิตของสวีเฉียน!”

เซียงหลัวเซ่อมองไปทางพี่สาวของตัวเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบตกลง จึงรีบกล่าวทันทีว่า “ดี นายตรงไปตรงมาดี ฉันเองก็จะไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน ฉันจะเอาหัวของสวีเฉียนให้นาย!”

พานชิ่งกล่าว “ไม่! ผมไม่ต้องการหัวของมัน ผมต้องการตัวมันแบบเป็นๆ ผมจะจัดการสารเลวตัวนี้ด้วยตัวเอง!” ความรู้สึกเคียดแค้นที่แฝงอยู่ในคำพูดทำให้คนฟังรู้สึกขนลุก

เซียงหลัวเซ่อกล่าว “ไม่มีปัญหา”

พานชิ่งกล่าว “ตกลง! หลังจัดการคนเสร็จแล้ว ผมค่อยไปขอโทษท่านเสมียนใหญ่ต่อหน้า!”

เซียงหลัวเซ่อกล่าว “ตกลงตามนี้ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาฉันได้ทุกเมื่อ!”

หลังทั้งสองฝ่ายวางสายไป ในที่สุดเซียงหลัวเซ่อก็ถอนใจออกมา หันไปเอ่ยกับเซียงหลัวชุนว่า “พี่ พี่ก็ได้ยินแล้ว ตามหลักแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ”

เซียงหลัวชุนเอ่ยเนิบๆ ว่า “ครั้งนี้แกจัดการเรื่องราวจนเละเทะไปหมด ยากจะปัดความรับผิดชอบได้ เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ฉันเองก็ช่วยพูดให้แกไม่ได้ เห็นทีแกคงต้องสละตำแหน่งเสมียนใหญ่ของกลุ่มดาวโต่วให้คนอื่นแล้วล่ะ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่ะ”

เซียงหลัวเซ่อเอ่ยอย่างซึมเซา “พี่ ผมเข้าใจ

……

“หน้าคุณเป็นอะไรเนี่ย?”

จูเก่อม่านที่เลิกงานกลับมาถึงบ้านก่อนลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงคนใช้ที่ออกไปต้อนรับหลัวคังอันทางด้านนอก เธอจึงรีบออกมาทันที ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่จะเห็นสีหน้าที่ดูแย่ของหลัวคังอันเท่านั้น แต่บนใบหน้ายังมีรอยบาดแผลอีกด้วย จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก อดร้องอุทานออกมาไม่ได้

หลัวคังอันไม่ได้พูดอะไร เดินขึ้นไปบนห้องของตัวเองก่อน

จูเก่อม่านสั่งกำชับคนใช้ให้เฝ้าในครัวเอาไว้ ส่วนตัวเองรีบเดินตามขึ้นไป เมื่อเข้าไปในห้องก็มองเห็นหลัวคังอันกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน เอามือกุมหลังค่อยๆ นั่งลงไปตรงมุมเตียง

จูเก่อม่านเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ฝึกจนบาดเจ็บอีกแล้วเหรอ?”

ครั้งที่แล้วพอหลัวคังอันกลับมาถึงบ้าน เธอก็เข้าไปโอบกอดอย่างรักใคร่ ทำเอาหลัวคังอันเจ็บจนร้องโอดโอยออกมา เธอช่วยหลัวคังอันถอดเสื้อออก ถึงได้เห็นบาดแผลที่ปรากฏอยู่เต็มร่างกายของหลัวคังอัน

หลัวคังอันส่งเสียงอืม ยกมือบอกให้เธอช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขา

ความจริงเขาอยากจะบอกว่าเป็นฝีมือของหลินยวน แต่ก็รู้สึกอาย ไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินยวน

ยิ่งกว่านั้นเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สะดวกพูดออกมาจริงๆ จึงทำได้เพียงบอกว่าเป็นฝีมือตัวเอง

จูเก่อม่านรีบช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นบนผ้าพันแผลที่อยู่ด้านในเต็มไปด้วยรอยคราบเลือด จึงกัดฟันช่วยเขาแกะผ้าพันแผลออกมาเพื่อจะได้ช่วยเขาทายา

หลัวคังอันแยกเขี้ยวออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง จูเก่อม่านมองเห็นบาดแผลที่มีเลือดไหลซึมออกมาเต็มร่างกายเขา จึงอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ “เพิ่งจะดีขึ้นนิดเดียวเอง ทำไมถึงทำตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ล่ะ ฝึกก็ฝึกไปสิ ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองบาดเจ็บแบบนี้ด้วย? ฉันไม่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นจะเป็นแบบนี้เลย!”

หลัวคังอันกล่าว “คนอื่นมันก็ส่วนคนอื่น ถ้าฉันไม่โหดร้ายกับตัวเองหน่อย ถ้าฉันไม่บีบให้ตัวเองขยันหน่อย แล้วฉันจะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ยังไง?”

เมื่อกล่าวคำพูดนี้ออกมา จูเก่อม่านพลันเอามือปิดปากแล้วร้องไห้หนักกว่าเดิมทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นรูบาดแผลที่อยู่ด้านหลังหลัวคังอัน

“ไม่ต้องร้องแล้ว ทายาให้ฉันหน่อย” หลัวคังอันกล่าวเรียกด้วยความเจ็บปวด ภายในใจกลับกำลังสบถด่า หลินยวนรับผิดชอบแต่เรื่องฆ่า ไม่รับผิดชอบเรื่องรักษา ไม่ช่วยทายาก็ว่าไปอย่าง แต่ยังเหมือนจงใจทรมานเขาอย่างนั้นแหละ ไม่ยอมให้เขาได้ค่อยๆ ทำแผล จงใจทำให้เขาทรมานชัดๆ ทำให้เขาต้องฝืนกัดฟันกลับมาบ้านในสภาพนี้

ถ้าไม่เป็นเพราะหวาดกลัวหลินยวน เขาก็นึกอยากจะแตกหักกับอีกฝ่ายจริงๆ มีใครเขาใช้ชีวิตกันแบบนี้บ้าง

คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนที่ต้องเดินเข้าไปในลานบำเพ็ญเพียรเลย ตัวเขาในเวลานั้นเรียกได้ว่าแข้งขาอ่อนแรง อยากจะคุกเข่าลงไปขอร้องวิงวอนให้หลินยวนปล่อยเขาไป ตัวเองคือมนุษย์ที่มีชีวิตนะ ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากเหล็ก ร่างกายที่มีเลือดเนื้อจะเที่ยวเอามีดดาบมาฟันส่งเดชได้ยังไง? แต่เขารู้ว่าหลินยวนเป็นสัตว์เลือดเย็น อ้อนวอนไปก็ไม่มีประโยชน์

เจ้านั่นมันเคยฟังเขาพูดที่ไหนล่ะ?

ตัวเขาที่เข้าไปในลานบำเพ็ญเพียรอีกครั้งไม่สนใจอะไรแล้ว ดิ้นรนสู้ตายแบบไม่คิดชีวิต เรียกได้ว่ามีความสามารถเท่าไรก็เค้นเอาออกมาใช้จนหมด

จะไม่ให้เขาดิ้นรน จะไม่ให้เขาสู้ตายก็ไม่ได้ หลินยวนไม่ได้มองเขาเป็นคน ทวนแล้วทวนเล่าถูกแทงออกมา เจ้านั่นคิดจะฟันแทงใส่ร่างกายเขาจริงๆ

แต่ความสามารถในการต่อสู้ของทั้งสองคนต่างกันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน ขนาดสู้กันจนถึงกระบวนท่าที่สามสิบแล้ว หลินยวนยังแทงทวนเข้าใส่หลังเขาจนเป็นบาดแผลสาหัสได้อีก

ระหว่างทางที่กลับมา เขาคิดมาตลอดทางว่าเจ้าสารเลวหลินยวนนั่นคงจะคิดคำนวณเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มียาวิเศษ เวลาสามวันเหมือนจะเพียงพอให้อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นพอสมควร จากนั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บอีกครั้ง นึกว่าร่างกายของเขาทำมาจากเหล็กอย่างนั้นเหรอ!

สิ่งสำคัญคือความสามารถในการต่อสู้ของหลินยวนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แล้วเขาจะสู้กับอีกฝ่ายสามสิบกระบวนท่าโดยไม่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?

และตอนนี้ หลินยวนยังทำให้เขาบาดเจ็บในช่วงท้ายของการต่อสู้สามสิบกระบวนท่าได้อีก ต่อให้เขาจะมีความก้าวหน้า แต่การต่อสู้สามสิบกระบวนท่าก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างมาก!

พูดอีกอย่างคือในวันเวลาหลังจากนี้ เขาแทบจะต้องทนใช้ชีวิตโดยมีบาดแผลเต็มร่างไปทุกวัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนอีกเป็นเวลานาน!

เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ตัวเขาที่ใช้ชีวิตสุขสบายจนเคยชินก็แทบจะกลายเป็นบ้า อยากจะทิ้งหน้าที่การงานแล้วหนีไปเสียพ้นๆ

แต่สุดท้ายก็ตัดใจทิ้งเกียรติยศและเงินทองไปไม่ได้ หากหนีไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหายไปทันที ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ว่าจะหนีพ้นด้วย

ความแตกต่างระหว่างได้รับบาดเจ็บกับตาย เขายังคงรู้ว่าควรจะเลือกอะไร

แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ตัวเขาเองก็ทราบดี นั่นคือเขารู้ว่าหลินยวนกำลังฝึกฝนเขาอยู่ ใช้การต่อสู้จริงๆ มาทำให้เขาพัฒนา ไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตเขาจริงๆ แต่ความรู้สึกที่ถูกคนใช้มีดดาบฟันแทงร่างกายจริงๆ มันช่างน่ากลัวเป็นอย่างมาก!

ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ อีกทั้งยังต้องบรรลุสภาวะขั้นเซียนนภาในหนึ่งปี อย่าว่าแต่จะออกไปสำมะเลเทเมาหาผู้หญิงเลย ตอนนี้กระทั่งเวลาที่จะจู๋จี๋อยู่กับจูเก่อม่านและร่างกายอันล้ำค่าของเขาก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ไหนเลยจะมีใจไปนั่งสนใจเรื่องอื่นได้

ในช่วงเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ หลัวคังอันต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายอย่างหวาดผวา ผ่านไปสองสามวันก็ต้องต่อสู้ด้วยสภาพจิตใจที่หวาดวิตก ไปดิ้นรนสู้ตาย บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังเลียบาดแผลตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ต้องไปดิ้นรนสู้ตายใหม่

ความจริงไม่มีใครยินดีหาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเอง หลินยวนเองก็ไม่อยากวุ่นวายไปกับเขาด้วย อยู่ดีๆ ใครมันอยากจะหาเรื่องให้ตัวเองกันล่ะ? แต่ประเด็นสำคัญคือตัวหลัวคังอันเองนั่นแหละที่ทำให้ตัวเองต้องลำบาก ใช้ชีวิตสบายจนเคยตัว เป็นคนที่หากไม่บีบบังคับจนถึงที่สุดก็ไม่รู้ตัว หลินยวนจึงได้แต่ต้องจัดการเขาอย่างเด็ดขาด

……………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท