ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 179 ของหายไปแล้ว

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 179 ของหายไปแล้ว

หลิ่วจวินจวินมองออกว่าสีหน้าของเขาผิดปกติ อยู่ด้วยกันมาหลายปี จะมากจะน้อยก็พอจะคาดเดาความคิดบางอย่างของเขาออก จึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “ทำไม รู้สึกว่าคุมลูกสาวคนนี้ไม่อยู่หรือคะ?”

ฉินเต้าเปียนแค่นเสียงเหอะ “คุณคิดมากไปแล้ว”

หลิ่วจวินจวินรู้สึกว่าน่าขัน แต่สุดท้ายก็ยืนมือไปกุมมือของเขาเอาไว้ ถอนใจเอ่ยว่า “คุณต้องยอมรับนะคะว่าถ้าตอนนั้นคุณไม่ฟังเธอ หอการค้าตระกูลฉินก็ก้าวมาถึงจุดนี้ไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ลูกอี๋ไม่เพียงแต่จะจัดการภายในหอการค้าได้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เรื่องภายนอกหอการค้าก็ยังจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม มีลูกสาวแบบนี้ คุณควรดีใจถึงจะถูกนะ เต้าเปียน ปล่อยมืออย่างวางใจได้แล้ว แบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”

ฉินเต้าเปียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผมมีอะไรให้ต้องวางมือล่ะ ช้าเร็วหอการค้าตระกูลฉินก็ต้องเป็นของเธออยู่ดี”

หลิ่วจวินจวินยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เธอกลับเข้าใจถึงความรู้สึกของเขา สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนี้ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ยั่งยืน แต่มันกลับมักจะทำให้ใจคนเรารู้สึกเป็นกังวล บางทีอาจจะวางมือได้ ถึงแม้จะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่มันหาใช่การวางมืออย่างมีเกียรติไม่ หากแต่เป็นการจากไปอย่างเงียบๆ นั่นคือรสชาติของความพ่ายแพ้ เขาคนนี้อยากจะรักษาเกียรติของความเป็นพ่อ

…..

ณ อุโมงค์เคลื่อนย้ายของเมืองปู๋เชวี่ย แสงสว่างพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไม่นาน ประชาชนภายในเมืองก็พากันส่งเสียงฮือฮาตกตะลึงขึ้นมา ต่างเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเห็นกำลังพลของสภาเซียนจำนวนมากบินผ่านไปบนท้องฟ้า ในนั้นยังมีเทพมหาวิญญาณอีกเป็นร้อยตนด้วย

กำลังพลที่ทางสภาเซียนส่งมาประจำการณ์เดินทางมาถึงแล้ว เว่ยผิงกงที่เปนผู้บัญชาการไม่ได้ตอบรับการต้อนรับจากเมืองปู๋เชวี่ย ทันทีที่มาถึงก็เดินทางออกไปจากเมือง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ถูกหนดเอาไว้

ในตอนที่พวกเขามาถึง สถานที่เป้าหมายก็เต็มไปด้วยคนงานที่กำลังทำงานกันวุ่นวาย หอการค้าตระกูลฉินได้เริ่มทำการก่อสร้างแล้ว

เงินเข้าบัญชีมาแล้ว มีเงินทุนมากพอให้ใช้ หอการค้าตระกูลฉินไม่มีความกังวลใดๆ อีก เริ่มทำการก่อสร้างอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การสั่งการของเว่ยผิงกง กองทหารประจำการณ์ที่เดินทางมาถึงทำการจัดวางกำลังป้องกันในทันที เพื่อคุ้มครองให้การก่อสร้างดำเนินไปอย่างราบรื่น

….

ประตูหน้าของโรงอีหลิวเปิดออก หลินยวนขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา ลู่หงเยียนที่กำลังช่วยล้างผักรีบวางงานในมือลง สะบัดมือแล้วออกไปต้อนรับ ยิ้มหวานพลางเอ่ยว่า “กลับมาแล้วเหรอ”

หลินยวนที่ลงจากรถส่งเสียงอืม พยักหน้าให้กับทางจางเลี่ยเฉินที่กำลังเตรียมอาหารเย็นเล็กน้อย จากนั้นเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

ลู่หงเยียนที่เดินตามเข้ามาในห้องกำลังอยากจะพูดอะไร ทันใดนั้นสายตาพลันจ้องไปบนร่างของหลินยวน พบว่ามีรอยคราบเลือดหยดหนึ่ง จึงเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องเหรอเพคะ?”

หลินยวนก้มหน้ามอง พบว่าเป็นตัวเองที่ประมาทเลินเล่อไป ตอบว่า “ไม่มีอะไร เลือดของหลัวคังอัน”

ก่อนกลับมา เขาได้จัดการหลัวคังอันไปอีกยกหนึ่ง พูดอีกอย่างคือหลัวคังอันกลับบ้านไปในสภาพที่บาดเจ็บอีกแล้ว

ในเมื่อเขาตอบอย่างมั่นใจว่าไม่มีอะไร เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแน่นอน ลู่หงเยียนเองก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก ยื่นมือไปช่วยเขาถอดเสื้อตัวนอกออก เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ทางสถานีออกอากาศของเมืองหลวงเกิดเรื่องแล้วเพคะ”

หลินยวนที่ดึงแขนทั้งสองข้างออกมาจากเสื้อตัวนอกเหลียวหน้ากลับมา ดูค่อนข้างประหลาดใจ ไม่รู้ที่เธอพูดเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร “เกี่ยวกับพวกเราเหรอ?”

ลู่หงเยียนกล่าว “เหล่าโม่ที่เป็นคนแนะนำจิ้นเซียวให้กับจูลี่ ตายแล้วเพคะ! ไม่ใช่แค่เหล่าโม่เท่านั้น แต่คนที่เคยฟังเหล่าโม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ในตอนที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกันก็ตายหมดแล้วเพคะ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งหกคนตายหมดเลยเพคะ!”

เธอคิดอยากจะสืบประวัติความเป็นมาของจิ้นเซียว แล้วก็คิดจะสืบเรื่องความสัมพันธ์ของจิ้นเซียวกับจูลี่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอทราบถึงสถานการณ์บางอย่าง

หลินยวนเอ่ยด้วยความหวาดระแวง “คนที่เกี่ยวข้องหกคน ตายพร้อมกันในอุบัติเหตุรถยนต์?”

ลู่หงเยียนพยักหน้า “ใช่เพคะ! ทั้งหกคนทำงานอยู่คนละแผนกในสถานีออกอากาศ การที่พวกเขามาอยู่ในรถคันเดียวกันได้ หากเบื้องหลังไม่มีใครจัดการก็นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมากเพคะ”

หลินยวนเอ่ยถาม “สืบได้ไหมว่าเป็นฝีมือใคร?”

ลู่หงเยียนกล่าว “สืบไม่ได้เพคะ ไม่ว่าจะสืบยังไงก็พบว่าเป็นอุบัติเหตุ! แต่พระองค์กับหม่อมฉันต่างรู้ดีว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันไปถึงอะไรบางอย่างแน่ เราต่างรู้ว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ คนที่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เกรงว่าคงมีแค่คนที่ประมือกันในคืนนั้นเพคะ”

หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ดูเหมือนเบื้องหลังของจิ้นเซียวคนนี้จะซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ นี่เป็นการฆ่าปิดปากเพื่อบอกว่าเขาพูดได้ทำได้ ไม่มีทางปล่อยให้ความลับกระจายออกไป เหตุผลอีกข้อคือทำให้พวกเราดู เพื่อบอกพวกเราว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียว เตือนพวกเราว่าอย่าได้เหิมเกริมทำอะไรวู่วาม”

ลู่หงเยียนไม่เข้าใจ “ด้วยพลังและสภาวะของเขา จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้มาบอกพวกเราด้วยหรือเพคะ?”

หลินยวนกล่าว “ฉันเคยติดต่อเขา เขาเหมือนจะค่อนข้างหวาดกลัวพวกเรา”

ลู่หงเยียนประหลาดใจ “หรือว่าเขาจะรู้ถึงตัวตนของพระองค์เพคะ? เป็นไปไม่ได้นี่นา คนที่รู้ว่าพระองค์อยู่ที่นี่ก็มีแค่พวกเราไม่กี่คน นอกเสียจากในหมู่พวกเราจะมีคนทรยศ หรือว่าจะเป็นทางฝั่งผู้อาวุโสรุ่นก่อน หรือว่าเขาจะเป็นคนของผู้อาวุโสรุ่นก่อน? หากว่าใช่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องซ่อมกล้องวงจรปิดนั้นขึ้นมาเลย อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องให้จูลี่รู้เรื่องนี้”

หลินยวนกล่าว “ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่รับรู้ได้ว่าเขาค่อนข้างหวาดกลัวพวกเรา เบื้องหลังเรื่องนี้มีอะไรอยู่ เกรงว่าคงมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ ถ้ามีโอกาสฉันจะลองสืบมาอีก อย่างน้อยเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว คนคนนี้เข้ามาปะทะกับพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจ”

ลู่หงเยียนค่อยๆ ม้วนเสื้อตัวนอกที่อยู่ในมือ สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

…..

จูลี่ที่อยู่ในห้องทำงานของผู้อำนวยการปู๋เชวี่ยวิดีโอดูข่าวของเมืองหลวงที่อยู่ในฉากแสง อีกด้านหนึ่งก็ถือโทรศัพท์แนบเอาไว้ที่หู หลังได้รับการยืนยันเรื่องการตายของเหล่าโม่จากอดีตเพื่อนร่วมงานที่อยู่ที่เมืองหลวง สีหน้าเธอก็ดูมึนงงเหม่อลอยไปทันที เอ่ยพึมพำว่า “ตายแล้ว ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”

จิ้นเซียวที่อยู่ข้างๆ นิ่งเงียบ

จูลี่ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา เธอรีบลุกขึ้นมาจากด้านหลังโต๊ะทำงาน แทบจะวิ่งเหยาะๆ ออกไปจากห้องทำงาน ออกไปจากตึกทำงาน สอดตัวเข้าไปในรถของตัวเอง สตาร์ทรถขึ้นมา ประตูด้านข้างคนขับเปิดออก จิ้นเซียวที่เดินตามหลังมาก็ขึ้นมานั่งบนรถด้วยเช่นกัน

จูลี่ไม่ได้สนใจว่าเขานั่งเรียบร้อยหรือยัง รถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จิ้นเซียวที่นั่งอยู่ข้างๆ นิ่งเงียบ

เมื่อกลับมาถึงบ้านของตัวเอง จูลี่ที่เปิดประตูลงจากรถก็รีบวิ่งไปที่ประตูบ้าน หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน

ตัวเธอที่วิ่งขึ้นไปชั้นบนตรงเข้าไปในห้องของตัวเอง รื้อค้นข้าวของภายในห้อง คล้ายกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

จิ้นเซียวยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “คุณกำลังหาอะไร?”

จูลี่รื้อข้าวของพลางเอ่ยเสียงเศร้าขึ้นมาว่า “อุบัติเหตุ! อุบัติเหตุรถชนอีกแล้ว ฉู่ผิงเกิดอุบัติเหตุรถชน เหล่าโม่ก็เกิดอุบัติเหตุรถชน ทำไมถึงมีอุบัติเหตุรถชนอยู่เรื่อยเลยล่ะ?”

จิ้นเซียวมึนงงไปเล็กน้อย คล้ายรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน ทำไมถึงมีเรื่องฉู่ผิงเกิดอุบัติเหตุรถชนออกมาอีกล่ะ

จูลี่คล้ายคลุ้มคลั่งขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยตะโกนว่า “เป็นเพราะฉู่ผิงติดต่อกับฉัน ก็เลยถูกดึงไปพันพัวกับเรื่องการประมูลจนต้องตาย ส่วนเหล่าโม่ติดต่อกับฉันเพราะฉันเอากล้องวงจรปิดไปติดในเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน ทั้งสองคนเกิดอุบัติเหตุรถชน ทำไมถึงเกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้ขึ้นได้? ฉันไม่เชื่อว่านี่จะเป็นอุบัติเหตุ ที่สถานีออกอากาศของเมืองหลวงจะต้องมีปัญหาแน่ ฉันจะเอากล้องวงจรปิดไปให้ผู้พิทักษ์เมือง ฉันจะเอากล้องวงจรปิดไปให้ท่านเจ้าเมืองด้วยตัวเอง ให้สภาเซียนจับคนพวกนั้นออกมา!”

จิ้นเซียวเดินเข้ามา รั้งแขนของเธอเอาไว้ สองมือจับไหล่ของเธอ “คุณใจเย็นหน่อย ถ้าเรื่องนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ถ้ามีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังล่ะก็ คุณก็นึกภาพออกนี่ คนที่เข้าร่วมการประมูลได้พวกนั้นเป็นใคร พวกนั้นมีอิทธิพลอย่างมาก ไม่ใช่คนที่คุณจะไปขัดขวางได้ คุณคิดว่าคุณเอากล้องวงจรปิดให้ท่านเจ้าเมืองแล้วจะมีประโยชน์เหรอ? ถ้าเกิดพวกเขาเป็นพวกเดียวกันล่ะ?”

จูลี่มองเขาอย่างมึนงง “นายจะบอกว่าเจ้าเมืองกับพวกเขาเป็นพวกเดียวกันเหรอ?”

จิ้นเซียวกล่าว “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมแค่สมมติ หอการค้าแต่ละแห่งที่เข้าร่วมการประมูลของสภาเซียนได้ มีใครบ้างบ้างที่ไม่มีเงินและอำนาจ มีใครบ้างที่ไม่มีอิทธิพลไม่มีเส้นสาย คุณมั่นใจหรือว่าที่นี่จะไม่มีคนของพวกเขา? อย่างน้อยๆ หอการค้าตระกูลฉินที่เข้าร่วมการประมูลก็มีรากฐานที่หยั่งลึกอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับท่านเจ้าเมือง หากเรื่องพัวพันไปถึงหอการค้าตระกูลฉิน คุณมั่นใจหรือว่าท่านเจ้าเมืองจะยืนอยู่ข้างคุณ?”

“ฉันไม่สน ถ้าที่นี่ช่วยไม่ได้ ฉันจะไปที่เมืองหลวง เอากล้องวงจรปิดให้กับทางสภาเซียนเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าทั่วทั้งดินแดนเซียนจะหาความยุติธรรมไม่ได้!” จูลี่สะบัดไหล่ออกจากมือของเขา ค้นหาอะไรบางอย่างต่อเหมือนคนเสียสติ

เมื่อเห็นหญิงสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวาผู้นี้จู่ๆ ก็เหมือนถูกบีบให้ต้องกลายเป็นบ้า บนใบหน้าของจิ้นเซียวมีความรู้สึกปวดใจปรากฏออกมาให้เห็นเล็กน้อย เขาเอ่ยเตือนว่า “จูลี่ โลกนี้มันไม่มีความยุติธรรมหรอกนะ มันมีแต่กฎของเกม!”

แต่จูลี่ฟังไม่เข้าหูแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

แต่เธอหาไปหามา สุดท้ายก็หาไม่เจอ “หายไปไหนแล้วล่ะ? ฉันวางเอาไว้ตรงนี้ชัดๆ เมื่อหลายวันก่อนฉันยังเห็นมันอยู่เลย ไปไหนแล้วล่ะ ทำไมถึงหายไปล่ะ?” จู่ๆ เธอพลันหันกลับมาจ้องจิ้นเซียว “นายเอาไปเหรอ? มีแต่นายเท่านั้นที่รู้ว่าในกล้องวงจรปิดมีอะไร”

จิ้นเซียวรีบอธิบาย “ถ้าผมจะเอาไป ผมก็คงไม่ให้คุณหรอก ถ้าผมไม่อยากให้คุณเห็นสิ่งที่อยู่ในกล้องวงจรปิด ผมก็คงไม่ซ่อมให้คุณหรอก”

จูลี่คิดๆ ไปก็พบว่าใช่ จึงรื้อหาต่อ “ไปไหนแล้วล่ะ? ทำไมถึงหาไม่เจอ!”

จิ้นเซียวกล่าวว่า “ถ้าคุณเก็บเอาไว้ที่นี่จริง แต่ตอนนี้กลับหายไปแล้ว อย่างนั้นแสดงว่าจะต้องมีคนมาเอาไปแน่ๆ ถ้าการตายของเหล่าโม่เกี่ยวข้องกับคุณจริงๆ อย่างนั้นการที่อีกฝ่ายรู้จักเหล่าโม่ แสดงว่าเขาจะต้องรู้ว่าคุณคิดจะทำอะไร ที่กล้องวงจรปิดหายไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย นี่แสดงว่าจะต้องมีคนเข้ามาในบ้านแน่!”

จูลี่มึนงงไปทันที

จิ้นเซียวกล่าวต่อว่า “ถ้าที่คุณพูดมาเป็นความจริง อย่างนั้นคนเหล่านั้นก็ต้องมีอิทธิพลอย่างมาก ไม่ใช่คนที่คุณจะไปหาเรื่องได้ อีกฝ่ายฆ่าฉู่ผิงที่คุณพูดถึง แต่ไม่ได้ฆ่าคุณ ฆ่าเหล่าโม่ แต่ไม่ได้ฆ่าคุณ นี่นับว่าอีกฝ่ายปราณีคุณมากแล้ว วางมือเถอะ คนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่คุณจะไปยุ่งด้วยได้ อย่าบีบคนเหล่านั้นจนพวกเขาต้องมาฆ่าคุณเลยนะ”

จูลี่เหม่อลอยไป “ทำไมพวกเขาฆ่าฉู่ผิงกับเหล่าโม่แต่ไม่ฆ่าฉัน?” เธอเอ่ยพึมพำพลางน้ำตาไหล

เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของเธอ จิ้นเซียวจึงรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย อดยื่นมือออกมาไม่ได้ คิดจะเช็ดน้ำตาให้เธอ “คุณนึกว่าคุณสามารถจัดการอะไรๆ ได้ดี แต่ความจริงแล้วคุณมองไม่เห็น โลกนี้มันซับซ้อนกว่าที่คุณคิดเอาไว้มากนัก ไม่เป็นไรนะ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณ อย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่อยากทำอะไรคุณ ขอเพียงคุณไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอีกก็จะไม่เป็นอะไร”

ศีรษะของจูลี่ค่อยๆ ซบลงบนไหล่ของเขา อยากจะหาที่พักพิงซักแห่ง เธอร้องไห้ออกมา ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ “เป็นเพราะฉัน ฉันทำให้เหล่าโม่ต้องตาย….”

ร่างกายจิ้นเซียวแข็งทื่อไป คิดไม่ถึงว่าเธอจะซบลงมาบนร่างของตัวเอง สองมือยกขึ้น หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงลองโอบเธอเอาไว้อย่างช้าๆ เป็นการโอบที่นุ่มนวลเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมา จูลี่เองก็ซบลงไปบนร่างกายเขาโดยไม่รู้ตัว ร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

เมื่อไม่มีความผิดปกติที่น่ากระอักกระอ่วนอะไร ในที่สุดจิ้นเซียวก็โอบเธอเอาไว้อย่างวางใจ สูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายของเธอ เอ่ยเสียงสุขุมเยือกเย็นที่ข้างหูของเธอ “ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว มีผมอยู่ คุณไม่มีทางเป็นอะไร”

จูลี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของเขา “ฉันเป็นคนทำให้เหล่าโม่ต้องตาย ฉันไม่อาจอยู่เฉยได้ ฉันต้องลากตัวฆาตกรออกมาให้ได้…”

จิ้นเซียวนิ่งเงียบไป

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง จูลี่ที่อารมณ์ค่อยๆ เย็นลงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ พบว่าตัวเองซบอยู่ในอ้อมอกของผู้ชาย จึงผลักจิ้นเซียวออกไปทันที ถลึงตาแล้วเอ่ยว่า “นายทำอะไร? คิดจะฉวยโอกาสเหรอ?”

จิ้นเซียวมีสีหน้าลนลาน มือไม้ปั่นป่วน หันหน้าเดินหนีไปอย่างกระอักกระอ่วน

จูลี่เช็ดน้ำตา จู่ๆ พลันส่งเสียงหัวเราะ ‘คิกๆ’ ออกมา เธอนึกขึ้นมาได้แล้ว เหมือนจะเป็นตัวเองที่เป็นฝ่ายไปให้เขากอดเอง ดูสิ ตกใจจนเดินหนีไปแล้ว

……………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท