ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 186 ไม่รู้ว่าเป็นสหายคนไหนที่มา

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 186 ไม่รู้ว่าเป็นสหายคนไหนที่มา

เมื่อเจรจากันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แขกและเจ้าบ้านแยกกันชั่วคราว ฉินอี๋ให้ไป๋หลิงหลงพาแขกคนสำคัญทั้งสองท่านไปพักผ่อน

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว หนานชีหรูอันก็ลุกขึ้นมา เดินมาข้างกายฉินอี๋ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนงานเลี้ยงกลางวันของวันนี้จะเป็นงานเลี้ยงแห่งความตายสินะครับ ถ้าหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงจะกลัวจนตัวสั่นเป็นแน่” กล่าวจบก็หันมองไปทางสาวงามที่อยู่ข้างกาย สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม

ทั้งเชิญคู่ค้าของหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานมา ทั้งเชิญประธานหลินกับประธานจินมา ประธานสองคนนี้สามารถสร้างแรงกดดันให้กับคู่ค้าเหล่านั้นได้ เร่งให้คู่ค้าเหล่านั้นตัดสินใจได้เร็วขึ้น มิน่าถึงเจอแขกบ่อยๆ อีกทั้งยังลากเอาทุกคนมาเจอกันในวันเดียวกันด้วย ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าผู้หญิงคนนี้ลงมืออย่างเป็นขั้นเป็นตอน แผนซ้อนแผน

เห็นได้ชัดว่าเตรียมการเอาไว้แต่แรกแล้ว!

เมื่อตามมาดูจนถึงตอนนี้ ฟังมาจนถึงตอนนี้ เขาย่อมต้องรู้แล้วว่าฉินอี๋ต้องการจะทำอะไร เธอต้องการจะบดขยี้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพาน ต้องการตัดทางถอยของหอการค้าทั้งสองแห่ง ส่วนตระกูลหนานชี หากไม่อยากจะให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากหอการค้าตระกูลฉิน เกรงว่าตระกูลหนานชีคงจำเป็นต้องลงแรงเช่นเดียวกัน

ฉินอี๋ส่ายศีรษะเล็กน้อย “หากยังไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”

เธอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนประมูล ความไร้ยางอายของคนบางคนได้เหนือไปจากการคาดการณ์ของเธอ แล้วก็ยังมีเรื่องที่ห้ามไม่ให้หลัวคังอันเปลี่ยนตัวอีก หากไม่เป็นเพราะหลัวคังอันแสดงฝีมือออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยความบังเอิญ ผลลัพธ์ในตอนนั้นคงจะต้องเลวร้ายอย่างมากแน่

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงถือเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียนมาโดยตลอด

ประสบการณ์คือสิ่งที่ค่อยๆ สะสมขึ้นมา คนเราล้วนแต่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความผิดพลาด โดยเฉพาะคนที่ทำอาชีพอย่างเธอ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค มักจะฆ่าฟันกันไปมา เต็มไปด้วยอันตราย

…..

ในงานเลี้ยงช่วงกลางวัน ในตอนที่ฉินอี๋พาประธานหลินและประธานจินมาปรากฏตัวในงานเลี้ยง ในตอนที่ทุกคนมองเห็นประธานหลินและประธานจินเดินตามหลังอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของฉินอี๋เข้ามาในงานเลี้ยง เรียกได้ว่าสร้างความตกตะลึงให้แก่ประธานหอการค้าอื่นๆ ที่อยู่ภายในงานเลี้ยงอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก พวกเขาจับมือกันแล้ว จับมือกันเพื่อเล่นงานหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพาน!

จบแล้ว! การเดินหมากตานี้ของฉินอี๋เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ทุกคนนึกภาพออกว่าหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ทุกคนควรจะเลือกอย่างไร ภายในใจต่างก็มีข้อสรุปตั้งแต่ตอนที่เห็นทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงด้วยกันแล้ว

บรรยากาศไม่เหมือนกับภายในห้องประชุมก่อนหน้านี้ คำพูดคำจาของทุกคนเหมือนจะมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ดูยิ้มแย้มเป็นมิตรขึ้นมาก

ผู้หญิงคนนี้กำลังจะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของทุกคน แล้วจะไม่ให้ทุกคนยิ้มแย้มเป็นมิตรกับเธอได้อย่างไร?

ฉินอี๋ยกแก้วเดินไปทางไหนก็เป็นเหมือนดั่งเดือนที่ห้อมล้อมไปด้วยดวงดาว คำพูดเอาอกเอาใจดังขึ้นที่ข้างหูของเธอไม่ขาดสาย

แต่ฉินอี๋เองก็แสดงท่าทีกลับไปอย่างเหมาะสม ไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งอะไรออกมา

….

หลังงานเลี้ยงจบลง ไป๋หลิงหลงได้รับโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะต่อสายไปให้ฉินอี๋

หลังจากฉินอี๋ส่งคำเชิญไปแล้ว ประธานหอการค้าบางคนที่ไม่ได้มาร่วมงานเพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีกับหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานต่างพากันติดต่อมาหาฉินอี๋หลังจบงานเลี้ยง พวกเขาโทรมาแสดงความขอโทษ แล้วก็ถือเป็นการหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง

พวกเขาบอกทำนองว่าหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวยังติดเงินค่าสินค้าของพวกเขาอยู่ ก็เลยเป็นกังวล บอกว่าจะรีบมาเยี่ยมเยือนฉินอี๋อะไรทำนองนั้น

น้ำเสียงและคำพูดฟังดูมีความจริงใจ เห็นได้ว่าพวกเขาก็คอยจับตาดูสถานการณ์ของทางนี้อยู่ แล้วก็คอยดูทิศทางลมอยู่เช่นกัน

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนอะไรนั่น ในสนามการค้าต้องดูว่าอะไรมาก่อนมาหลัง อะไรสำคัญกว่าอะไร การที่ไว้หน้าและแสดงน้ำใจให้อภัยโจวหม่านเชากับพานชิ่งก็ถือเป็นการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว พวกเขาไม่มีทางตัดหนทางทำการค้าของตัวเองเพื่อสองคนนั้นเด็ดขาด การทำแบบนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการทุบหม้อข้าวตัวเองแล้วตายเป็นเพื่อนพานชิ่งกับโจวหม่านเชา เดิมทีในสนามการค้ามันก็คือการแสวงหาผลประโยชน์อยู่แล้ว มีใครมานั่งเสียสละเพื่อเพื่อนโดยไม่สนใจความเป็นความตายของตัวเองบ้าง ไม่มี!

ไม่ว่าคนเหล่านี้กำลังหาข้ออ้างอยู่หรือไม่ นั่นล้วนแต่ไม่สำคัญ!

สำหรับฉินอี๋แล้ว การมานั่งคิดเล็กคิดน้อยกับคนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไร การบีบให้คนเหล่านี้ไปยืนอยู่ฝั่งพานชิ่งกับโจวหม่านเชายิ่งไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรวบรวมพันธมิตรให้ได้มากๆ แล้วก็บดขยี้หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวให้สิ้นซาก เธอเองก็ปลอบใจอีกฝ่ายไป แสดงออกว่ารอคอยที่จะพบหน้าพวกเขา แล้วก็รอคอยที่จะได้ร่วมมือกับพวกเขา

…..

สำหรับหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวแล้ว สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือหอการค้าตระกูลฉินจะโยนหินลงมาในบ่อในเวลานี้ กลัวหอการค้าตระกูลฉินจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิงในเวลานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะดึงเอาหอการค้าตระกูลเผย หอการค้าตระกูลอูและหอการค้าตระกูลฉวี่เข้ามาเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวก็มาเยือนเข้าจริงๆ

หอการค้าตระกูลฉินเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ไม่มีทางที่หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวจะไม่จับตาดู พวกเขาคอยจับตาดูรายละเอียดในการประชุมอยู่ไกลๆ

การปรากฏตัวในงานเลี้ยงของหอการค้าตระกูลหลินกับหอการค้าตระกูลจินทำให้โจวหม่านเชาและพานชิ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก เต้นเร่าๆ เหมือนดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อนๆ

แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาในตอนนี้จะเอาอะไรไปหยุดความร่วมมือของคู่ค้าเหล่านั้นกับหอการค้าตระกูลฉินไดั?

สำหรับพวกเขาแล้ว รสชาติของความทุกข์ทรมาณเช่นนี้โหดร้ายทารุณและน่ากลัวกว่าการฆ่าฟันกันเสียอีก

ทั้งสองคนไปหาตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวแทบจะในทันที ขอร้องอ้อนวอนให้พวกเขาช่วยสนับสนุนเรื่องเงินทุนอีกครั้ง

…….

ความเคลื่อนไหวอันเกริกเช่นนี้ของหอการค้าตระกูลฉินไม่อาจปิดบังลั่วเทียนเหอได้

อีกฝ่ายดำเนินธุรกิจไปตามปกติ ลั่วเทียนเหอเองก็ไม่มีทางว่าอะไร การเข้าไปแทรกแซงโดยไม่มีเหตุผลนั้นนับเป็นการทำผิดกฎเช่นกัน ลั่วเทียนเหอจึงได้แต่มองดูอยู่เฉยๆ

มองดูหอการค้าตระกูลฉินเรียกเพื่อนฝูงมากินเลี้ยง มองดูหอการค้าตระกูลฉินแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มองดูหอการค้าตระกูลนำพาความเสี่ยงมาให้เมืองปู๋เชวี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ

ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ให้เหิงเทาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในเมืองปู๋เชวี่ยอย่างลับๆ

จับตาดูภายในเมืองปู๋เชวี่ย จับตาดูพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัย จับตาดูพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย จับตาดูเขตต่างๆ ของเมือง จับตาดูความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทุกอย่าง

ความจริงไม่จำเป็นต้องให้เขาสั่งการ เหิงเทาก็กำลังระมัดระวังอย่างมากอยู่แล้ว เพียงแต่หลังจากที่ลั่วเทียนเหอสั่งการลงมา มันทำให้เขาสามารถเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังได้อย่างชอบธรรมมากขึ้นเท่านั้น

สัญญาณความผิดปกติเริ่มมีปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว

คนที่อยู่ในมุมๆ หนึ่งอาจจะรับรู้ถึงอะไรไม่ได้ แต่เมื่อดูจากข้อมูลที่ทำการสรุปมาจากสถานที่ต่างๆ แล้ว มันก็ทำให้เห็นว่าจำนวนคนภายในเมืองปู๋เชวี่ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ก็ถูกส่งมาให้ลู่หงเยียนที่กำลังจับตาดูเรื่องนี้อยู่เช่นเดียวกัน

ลู่หงเยียนรู้แล้ว หลินยวนเองก็รู้แล้ว

ทั้งสองคนขับรถออกมาเที่ยวข้างนอกในเวลากลางคืน เรื่องบางเรื่องหารือกันบ่อยๆ ก็กลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน เพราะว่าจางเลี่ยเฉินก็พักอยู่ในโรงอีหลิวเช่นเดียวกัน

หลังหลินยวนที่ได้ฟังรายงานเสร็จเรียบร้อยก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นจู่ๆ พลันเอ่ยว่า “ดูท่าแล้ว สุดท้ายก็มีคนรับงานไป เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะตัดสินใจได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นสหายเก่าคนไหนที่มาทำงานนี้”

ลู่หงเยียนกล่าว “เรื่องนี้ เกรงว่าทางเถ้าแก่เหมยคงจะไม่ยอมบอกเพคะ กฎเกณฑ์เหล่านี้เขายังคงให้ความสำคัญอยู่เพคะ”

หลินยวนกล่าว “ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ แต่ทันทีที่ลงมือ ก็ไม่มีทางถ่วงเวลาเพื่อรอให้กองหนุนมาช่วยแน่ พวกเขาจะต้องลงมือจัดการให้สำเร็จในครั้งเดียวอย่างแน่นอน แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะทำแบบนั้นได้?”

ลู่หงเยียนกล่าว “ค่าใช้จ่ายหนึ่งหมื่นล้านมุก หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวในตอนนี้ยังมีปัญญาควักเงินจำนวนนี้ออกมาได้หรือเพคะ? ถ้าหากว่าควักออกมาได้ พวกเขาก็คงจะไม่ต้องลำบากทำถึงขนาดนี้เพคะ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝีมือของหอการค้าตระกูลเผย หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลอูที่เป็นผู้มีผลประโยชน์อยู่แต่เดิม หากมีพวกเขาคอยส่งข้อมูลให้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่คนที่รับงานมาจะผลีผลามลงมือ ต่อให้เป้าหมายของพวกเขาไม่อาจบรรลุได้อย่างสมบูรณ์ มันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสร้างความเสียหายให้กับหอการค้าตระกูลฉินอย่างหนักแล้วหาผลประโยชน์จากความเสียหายที่เกิดขึ้น เผลอๆ หลังจากสร้างความวุ่นวายขึ้นมาแล้วอาจจะมาเจรจราร่วมมือกับหอการค้าตระกูลฉินก็ได้เพคะ”

หลินยวนฟังการวิเคราะห์ของเธออย่างละเอียด ในด้านนี้ เขารู้ว่าลู่หงเยียนกับฉินอี๋มีจุดที่เหมือนกันอยู่ ตระกูลลู่เองก็ทำธุรกิจ ลู่หงเยียนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้นตั้งแต่เล็ก ซึมซับทุกวันๆ เข้า จะมากจะน้อยก็พอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง

เรื่องบางเรื่องถึงแม้เขาจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากจะฟังความเห็นของคนข้างๆ อยู่ ในอดีตตัวคนเดียวจึงไม่สามารถไปขอความเห็นจากใครได้ เวลานี้มีคนอยู่ข้างกาย ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองฟังความเห็นหน่อย

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือก็ไม่มีทางที่จะเร่งร้อนลงมืออย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้ามาเป็นอย่างดีแน่ อย่างน้อยก็ไม่มีทางหลับหูหลับตาเชื่อข้อมูลอะไรง่ายๆ จะต้องทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวังจนแน่ใจ ดังนั้นไม่ว่าเป้าหมายของคนที่คอยออกเงินอยู่เบื้องหลังจะเป็นอะไร หรือว่าคนของใครจะเป็นคนลงมือ พวกเขาก็ล้วนแต่ไม่มีทางที่จะทำอะไรผลีผลาม แต่การก่อสร้างของหอการค้าตระกูลฉินกลับคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว”

หลินยวนหมุนพวงมาลัยให้รถเลี้ยว “เธอจะบอกว่าช่วงเวลาลงมืออาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่โรงงานผลิตข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินก่อสร้างเสร็จแล้ว?”

ลู่หงเยียนกล่าว “เรื่องใหญ่แบบนี้พวกเขาไม่มีทางรีบร้อนลงมือเด็ดขาด จะต้องมีการเตรียมพร้อมแน่นอนเพคะ อย่างน้อยตอนที่จะลงมือ โรงงานผลิตข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินก็น่าจะก่อสร้างเสร็จแล้ว และก็น่าจะเริ่มทำการผลิตไปแล้วเพคะ หากนี่เป็นแผนการของหอการค้าพวกนั้น พวกเขาจะต้องอยากจัดการเว่ยผิงกงไปด้วยกันแน่นอน ต่อให้ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ แต่ถ้าสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่หอการค้าตระกูลฉินได้ พวกเขาก็อาจจะยังมีโอกาสเช่นเดียวกัน แต่เงินกลับไม่สามารถควบคุมกลุ่มคนที่ถูกว่าจ้างให้ลงมือโจมตีเหล่านั้นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ พวกเขาไม่แน่ว่าจะทำทุกอย่างตามที่หอการค้าเหล่านั้นต้องการ แล้วก็ไม่มีทางเชื่อฟังพวกเขาทุกอย่าง เผลอๆ อาจจะกำลังใช้ประโยชน์จากพวกเขาอยู่ ทันทีที่สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเขาอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายก็เป็นได้ เพราะถ้าหากได้เคล็ดลับการสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินมา มันก็สามารถใช้ต่อกรกับสภาเซียนได้เช่นกัน!”

หลินยวนกล่าว “หากอยากจะได้เคล็ดลับการสร้างข่ายพลัง ทางหนึ่งคือบีบให้หอการค้าตระกูลฉินมอบมันออกมา อีกทางหนึ่งคือได้ตัวเจออู๋จื่อที่เป็นผู้กุมเคล็ดลับนั้น”

ลู่หงเยียนกล่าว “หอการค้าตระกูลฉินไม่มีทางเอาความเสี่ยงทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเจออู๋จื่อเพียงผู้เดียว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเจออู๋จื่อเป็นอะไรขึ้นมา หอการค้าตระกูลฉินเองก็จะไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหอการค้าตระกูลฉินจะต้องเอาเคล็ดลับการสร้างข่ายพลังที่ได้ทำการสำรองข้อมูลเอาไว้ไปแยกเก็บไว้คนละที่อย่างแน่นอน ส่วนจะเอาเคล็ดลับไปเก็บไว้ที่ไหน คงจะไม่มีใครคนอื่นรู้ นี่จะต้องเป็นความลับระดับสูงสุดแน่ๆ แต่ฉินอี๋จะต้องรู้อย่างแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือฉินอี๋กับเจออู๋จื่อล้วนแต่อาจจะตกเป็นเป้าหมายได้เพคะ”

หลินยวนจ้องมองไปเบื้องหน้า “ในเมื่อขนคนมาลงมือเป็นจำนวนมาก อย่างนั้นก็ต้องหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ถ้าได้ทั้งเคล็ดในการสร้างข่ายพลังไป แล้วก็ทำให้สภาเซียนหมดโอกาสที่จะได้เคล็ดลับในการสร้างข่ายพลัง นั่นต่างหากถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และถ้าหากลงมือไปแล้ว มันก็จะทำให้เกิดการเฝ้าระวังขึ้นมา แล้วก็ยากจะมีโอกาสที่สองได้ ดังนั้นถ้าหากพวกเขาจะลงมือ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะลงมือจัดการทั้งฉินอี๋และเจออู๋จื่อไปพร้อมกัน”

ลู่หงเยียนกล่าว “ในเรื่องการสร้างโรงงาน ต่อไปคงจะต้องเป็นเจออู๋จื่อที่มาคอยดูควบคุมความคืบหน้าในการก่อสร้างเป็นแน่ ส่วนฉินอี๋ก็จะคอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ตอนนี้ฉินอี๋เองก็จะพาเจออู๋จื่อไปตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างอยู่บ่อยๆ หากเป็นพวกเราลงมือล่ะก็ พวกเราจะต้องเลือกลงมือในตอนที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นอย่างที่พระองค์ว่ามา หากครั้งแรกลงมือไม่สำเร็จ มันก็ยากจะมีโอกาสครั้งที่สองได้ ทันทีที่ลงมือก็ต้องจัดการให้สำเร็จในครั้งเดียว!”

จู่ๆ หลินยวนพลันจอดรถ จอดตรงข้างร้านค้าร้านหนึ่ง หันหน้ามองไปทางร้านนั้น

ลู่หงเยียนมองตามไป ไม่ต้องสั่งอะไรก็เข้าใจในความหมายของเขา เธอลงจากรถ เข้าไปซื้อของในร้านนิดหน่อย

กระทั่งเธอหิ้วของขึ้นมาบนรถ หลินยวนเลี้ยวรถออกไป

ระหว่างทางที่กลับไปยังโรงอีหลิว ลู่หงเยียนถามว่า “ที่พระองค์กังวล เป็นเพราะพวกเราไม่มีคนที่สามารถใช้งรนได้ อย่างนั้นตอนนี้พระองค์ที่แผนยังไงคะ?”

หลินยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลองลงมือจากจิ้นเซียวก่อน”

ลู่หงเยียนไม่รู้ว่าจิ้นเซียวเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ “พระองค์สงสัยว่าจิ้นเซียวจะมีเจตนาอื่นอยู่ หรือว่ากำลังกังวลเรื่องกล้องวงจรปิดเพคะ?”

หลินยวนกล่าว “ก็ทั้งคู่ ช่วงเวลาที่เขาปรากฏตัวขึ้นมามันคือหลังจากที่หอการค้าตระกูลฉินเอาชนะการประมูลได้พอดี ไม่มีใครรู้ได้ว่านี่เป็นความบังเอิญหรือว่าเขากำลังวางแผนอะไรเอาไว้อยู่ ฉันนับถือในความสามารถของเขา ยอมเปิดทางให้เขา บอกให้เขาออกไป นี่นับว่าไว้หน้าเขามากแล้ว แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะไป มาทำตัวอวดดีอยู่ตรงหน้าฉันอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ในเมื่อจะอยู่ขวางหูขวางตาฉันให้ได้ อย่างนั้นก็โทษฉันไม่ได้ ฉันก็อยากจะรู้นักว่าเขากับจูลี่จะมีโชคชะตาระหว่างกันจริงๆ หรือเปล่า!”

………………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน