ตอนที่ 189 ตัวจริงออกแสดง
เรียบร้อย? หลินยวนไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ตอบ ‘อืม’ กลับไป
“เฮ้อ!” หลัวคังอันถอนใจออกมา สีหน้าท่าทางเหมือนไม่เป็นตัวเอง
หลินยวนเอ่ยเสียงเรียบเฉย “แกไปซี้ซั้วทำโน่นทำนี่ในแผนกโฆษณา มันจะดีหรือ?”
หลัวคังอันกล่าว “คอยดูผลลัพธ์ ถ้าทำซี้ซั้วไม่เหมาะ อย่างนั้นก็ตั้งใจทำหน่อย คนเราทำอะไรมันก็ต้องมีผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ ต่อให้เป็นจูลี่ก็ตาม ถ้าเธอไม่ไว้หน้าฉัน ฉันก็จะหาข้อผิดพลาดในโฆษณาของเธอออกมา นอกเสียจากเธอจะมั่นใจว่าโฆษณาที่พวกเธอทำมันสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะหาข้อผิดพลาดออกมาไม่ได้ ถ้ามีปัญญาก็ลองเตะฉันออกไปจากแผนกโฆษณาของหอการค้าตระกูลฉินดูสิ”
จูลี่ที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็มึนงงเช่นเดียวกัน ถูกหลัวคังอันทำให้มึนงง กำลังนึกทบทวนอยู่ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง
จิ้นเซียวเดินเข้ามาใกล้ๆ โต๊ะทำงานของเธอ เอ่ยถามว่า “ทำไมเหรอ หลัวคังอันคนนั้นมันกำลังสร้างปัญหาให้คุณเหรอ?”
จูลี่ไม่ค่อยมั่นใจ “เหมือนเขาจะเข้าใจฉันผิด”
จิ้นเซียวกล่าว “ร้ายแรงไหม?”
จูลี่ส่ายศีรษะ นึกอยากจะโทรไปหาหลัวคังอันอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็วางโทรศัพท์ลงไป
เธอลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง มองดูประตูหน้าที่อยู่ด้านนอกของสถานี หลัวคังอันบอกว่าเลิกงานแล้วจะมารับ ไม่รู้ว่าแค่พูดไปอย่างนั้นหรือว่าจะมาจริงๆ
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็เดินกลับมาที่หน้าโต๊ะทำงานอีกครั้ง เปิดเอกสารข้อเสนอแนะที่อยู่บนโต๊ะฉบับนั้นอ่านอีกครั้ง ครุ่นคิดว่าจะอธิบายเรื่องข้อเสนอแนะที่อยู่บนเอกสารให้หลัวคังอันฟังอย่างไรดี
เมื่อดูจากข้อเสนอแนะที่อยู่บนเอกสารแล้ว เธอมองออกว่าหลัวคังอันนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าหากเขายังดื้อรั้นไม่ฟังเหตุผลล่ะก็ เธอเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการ เธอไม่เพียงแต่จะมีท่านเจ้าเมืองคอยหนุนหลัง แต่เธอยังสนิทสนมกับฉินอี๋เป็นอย่างมากด้วย ความสัมพันธ์เรียกได้ว่าไม่เลวเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เธอจะไปทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเธอไปให้ท่านเจ้าเมืองเอ่ยปากเพราะเรื่องนี้ แบบนั้นจะกลายเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ กระทั่งเจรจาก็ยังไม่ทันได้เจรจาแล้วไปให้ท่านเจ้าเมืองออกปาก แบบนั้นมันไม่เหมาะสม
เพราะถ้าให้ฉินอี๋รู้เรื่องนี้เข้า จะให้ฉินอี๋คิดอย่างไร? รองประธานหอการค้าตระกูลฉินเสนอข้อคิดเห็นนิดหน่อยไม่ได้เลยหรือ? ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสมก็มาคุยกันสิ กระทั่งคุยก็ยังไม่คุยก็ไปหาฉินอี๋แล้ว แบบนั้นมันไม่เหมาะสมจริงๆ
สิ่งที่เธอค่อนข้างหงุดหงิดคือหลังจากที่ได้ดูกล้องวงจรปิดแล้ว เธอมีเหตุผลอย่างเต็มที่ที่จะสงสัยว่าคนที่ทำให้หอการค้าตระกูลฉินชนะการประมูลไม่ใช่หลัวคังอัน แต่คนที่โอ้อวดหลอกลวงแบบนี้กลับได้กลายเป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน แล้วตอนนี้ยังมายุ่งวุ่นวายกับงานของปู๋เชวี่ยวิดีโออีก
แต่เรื่องบางเรื่องเธอเองก็ไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีกล้องวงจรปิด แต่มันก็เป็นแค่เพียงข้อสงสัยของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กล้องวงจรปิดก็หายไปแล้ว
อีกทั้งเธอเองก็พูดเรื่องที่ตัวเองแอบไปติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ในเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลออกมาไม่ได้ด้วย
เมื่อถูกหลัวคังอันมาสร้างความวุ่นวายให้เช่นนี้ ทำเอาเธอไม่มีสมาธิจะไปทำงานอย่างอื่นเลย เอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องข้อเสนอแนะแก้ไขที่อยู่บนเอกสาร ครุ่นคิดว่าจะเจรจาอย่างไรดี
หลังครุ่นคิดไปพักหนึ่ง เธอก็ลุกขึ้นไปมองดูประตูหน้าของสถานี ไม่รู้ว่าหลัวคังอันจะมาจริงๆ หรือเปล่า วนไปวนมาเช่นนี้
เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งเลิกงาน รถขบวนหนึ่งแล่นเข้ามา หลัวคังอันมาจริงๆ
หลินยวนเองก็มาด้วย ตามหลัวคังอันลงจากรถ ในมือหลินยวนถือดอกไม้เอาไว้ช่อหนึ่ง
เหตุการณ์นี้ทำให้พนักงานจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสถานีพากันมองออกมาด้านนอก มองดูขบวนรถของรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน
จูลี่เองก็รีบเดินออกมาจากด้านในตึก จับมือกับหลัวคังอันพลางเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองเล็กน้อย เป็นตัวแทนทางปู๋เชวี่ยวิดีโอต้อนรับรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน สายตาเหลือบมองไปทางหลินยวนเป็นระยะ
หลังจากจับมือกันแล้ว หลัวคังอันยื่นมือออกไป หลินยวนรีบยื่นดอกไม้ไปให้ หลัวคังอันส่งดอกไม้ให้จูลี่ด้วยสองมือ
จิ้นเซียวที่ตามอยู่ข้างกายจูลี่ไม่ห่างจ้องมองการส่งมอบดอกไม้ของหลัวคังอันอย่างระแวดระวัง
ส่วนหลินยวนกลับจ้องมองดูปฏิกิริยาของจิ้นเซียว จิ้นเซียวคล้ายสัมผัสได้ จึงเหลือบมองขึ้นมา สบเข้าไปกับสายตาของหลินยวน ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับช่อดอกไม้ที่หลัวคังอันมอบให้ด้วยความจริงใจ จูลี่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ทว่าน้ำใจยากจะปฏิเสธได้ เธอไม่สะดวกจะหักหน้าหลัวคังอัน จึงทำได้เพียงรับช่อดอกไม้เอาไว้พร้อมเอ่ยขอบคุณ จากนั้นหมุนตัวเชิญหลัวคังอันเข้าไปเยี่ยมชมด้านในปู๋เชวี่ยวิดีโอ
หลัวคังอันมองซ้ายมองขวา เอ่ยว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว เรื่องเยี่ยมชมเอาไว้ก่อนแล้วกันครับ ต่อไปยังมีเวลาอีกเยอะ” กล่าวจบก็หมุนตัวผายมือเชิญจูลี่ขึ้นรถ
จูลี่มองดูรถหรูของเขา จากนั้นกวาดมองดูขบวนรถของเขา บอกให้เขาคอยสักครู่ ส่วนตัวเธอรีบวิ่งกลับเข้าไปในตึก หยิบเอากระเป๋าของตัวเอง แล้วก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอกสารข้อเสนอแนะฉบับนั้นมาด้วย จากนั้นถึงจะสอดตัวเข้าไปในรถของหลัวคังอันโดยมีหลัวคังอันคอยต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทั้งสองคนนั่งหัวเราะพูดคุยอยู่ภายในรถ
หลินยวนที่เดินมาตรงประตูด้านข้างคนขับเหลียวหน้ากลับไป สบตาเข้ากับจิ้นเซียวอีกครั้ง จากนั้นถึงจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ
ขบวนรถเลี้ยวออกไปจากสถานี จิ้นเซียวหมุนตัว รีบเดินไปยังรถของจูลี่ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ รีบขับตามขบวนรถออกไปอย่างรวดเร็ว คอยตามอยู่ด้านหลังขบวนรถไม่ห่าง
สถานที่สำหรับรับประทานอาหารเย็นหลัวคังอันก็จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ย่อมต้องเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างหรูหรา ร้านอาหารทั้งชั้นถูกเขาเหมาเอาไว้ทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่น อีกทั้งยังมีสถานที่โรแมนติกที่มีการตั้งใจจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า จูลี่ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
จิ้นเซียวที่อยากจะตามเข้าไปถูกขวางเข้าไป คนเฝ้าประตูกล่าวขอโทษ พร้อมบอกว่าชั้นนี้ถูกเหมาเอาไว้แล้ว
หลินยวนปรากฏตัวขึ้นพอดี บอกคนเฝ้าประตูว่า “มาด้วยกัน”
เช่นนี้แล้วจิ้นเซียวถึงจะเข้ามาได้ ในตอนที่เดินผ่านหลินยวนไป สายตาของทั้งสองคนก็สบเข้าด้วยกันอีกครั้ง
ทันทีที่เข้ามาในร้านอาหาร จิ้นเซียวเองก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันผิดปกติที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ก่อนจะเห็นจูลี่กับหลัวคังอันนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขานั่งรออย่างเงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง พนักงานเข้ามาถามเขาว่าจะทานอะไร เขาบอกว่าไม่ต้อง
หลินยวนเองก็ค่อยๆ เดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามเขา เป็นฝ่ายยื่นมือไปหาเขาก่อนพลางเอ่ยว่า “จิ้นเซียวใช่ไหมครับ? ผมเป็นผู้ช่วยของรองประธานหลัว หลินยวน!”
มือยื่นออกไปแล้ว เขาให้โอกาสจิ้นเซียวแล้ว สถานการณ์ต่างๆ ที่จัดเตรียมขึ้นมาในวันนี้ เขาจัดขึ้นมาเพื่อสร้างโอกาสให้แก่จิ้นเซียว โดยหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังว่าจะสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่อีกฝ่ายมีต่อตัวเองได้ อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่แน่ใจและไม่สามารถเอากล้องวงจรปิดอันนั้นออกมาได้ง่ายๆ
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาติดต่อกับจิ้นเซียวโดยไม่เปิดเผยตัวเอง
แล้วก็เป็นไปดั่งคาด อีกฝ่ายไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง
“ทราบแล้วครับ” จิ้นเซียวยื่นมืออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากจับมือกัน จู่ๆ เขาก็ถ่ายพลังเข้าไปในร่างของหลินยวน จับมือของหลินยวนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หลินยวนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาทันที “คุณทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร แค่รู้จักกันเอาไว้” จิ้นเซียวตอบกลับไป มือเองก็ค่อยๆ คลายออกเช่นเดียวกัน ในสายตาฉายแววสงสัยออกมาเล็กน้อย
เขาทำการตรวจสอบสภาวะของหลินยวนด้วยตัวเอง พบว่าสภาวะของอีกฝ่ายไม่เท่าไร
เขามีช่องทางข่าวสารของตัวเอง หลังจากที่เกิดการปะทะกันครั้งนั้น เขาก็ได้ไปทำการตรวจสอบประวัติของหลินยวนมา พบว่าหลินยวนคือไอกระจอกที่เรียนที่หลิงซานมาสามร้อยปีแล้วก็ยังเรียนไม่จบ แล้วก็มีสภาวะแค่ขั้นปัญญากระจ่างเท่านั้น จึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไร
ครั้งนี้เขาฉวยโอกาสลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าสภาวะของอีกฝ่ายนั้นอยู่แค่ระดับปัญญากระจ่างจริงๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สิ่งที่เรียกว่าสภาวะนี้สามารถปิดบังได้ เวลาปกติสามารถเก็บงำไม่เปิดเผยได้ แต่สภาวะที่คงอยู่ในร่างกายกลับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเก็บซ่อนได้ ไม่มีทางที่จะไม่มีอยู่ หรือพูดอีกอย่างก็คือคนผู้นี้อยู่ในสภาวะขั้นปัญญากระจ่างจริงๆ
เช่นนี้แล้ว ยอดฝีมือที่มีสภาวะน่าหวาดกลัวจนถึงขั้นที่สามารถ ‘ทำลายความว่างเปล่า’ ได้เป็นใคร? ใครเป็นคนลงมือกัน?
คืนนั้นเขาจับตำแหน่งของไอพลังของลู่หงเยียนและตามกลับไปที่โรงอีหลิวได้ เขามั่นใจว่าคนที่แอบใช้พลังเข้ามาในบ้านของจูลี่คือคนของโรงอีหลิว หลังจากนั้นที่ตัวเองถูกคนโจมตีก็น่าจะเป็นเพราะมีคนจับตำแหน่งไอพลังของเขาได้และไล่ตามกลับมาเช่นเดียวกัน
เขาเคยสงสัยคนอื่นที่ไม่ใช่หลินยวน ในโรงอีหลิวยังมีอีกคนหนึ่ง เจ้าของโรงอีหลิวจางเลี่ยเฉิน!
พูดอีกอย่างก็คือหลังจากคืนนั้น คนของโรงอีหลิวทั้งหมดล้วนแต่น่าสงสัยสำหรับเขา ทุกคนล้วนแต่ถูกเขาทำการตรวจสอบ
จางเลี่ยเฉินเป็นคนแรกที่ถูกเขาตัดทิ้งไป เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าจางเลี่ยเฉินอาศัยอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยมาโดยตลอด ข้อมูลบางอย่างของเขามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ สามารถยืนยันได้ว่าสภาวะของเขาค่อนข้างธรรมดา
ตอนนี้หลินยวนก็ถูกเขาตัดทิ้งไปเช่นเดียวกัน คนที่ลงมือในคืนนั้นเป็นใคร? หรือว่าในละแวกใกล้เคียงโรงอีหลิวในคืนนั้นจะยังมียอดฝีมืออยู่อีก? แล้วก็จำเป็นต้องอยู่ในละแวกใกล้เคียงด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางจับไอพลังของเขาได้เร็วขนาดนั้น เขาคิดว่าถ้ามีความจำเป็นล่ะก็ เกรงว่าเขาคงต้องหาโอกาสไปทำการตรวจสอบจางเลี่ยเฉินคนนั้นดูอีกครั้งแล้ว
เมื่อรู้แล้วว่าสภาวะของหลินยวนอยู่ในระดับใด เขาก็เริ่มสงสัยสิ่งที่อยู่ในกล้องวงจรปิดอันนั้นขึ้นมา ตัวเองกับจูลี่อาจจะวิเคราะห์ผิดพลาดไป
แต่ทำไมทางโรงอีหลิวถึงต้องจับตาดูจูลี่ด้วย ทำไมถึงต้องตามหากล้องวงจรปิดอันนั้นด้วย?
เขาหันหน้ามองไปทางหลัวคังอันที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับจูลี่ หรือว่าหลัวคังอันจะเป็นคนลงมือในการประมูลครั้งนั้นจริงๆ?
ภายในใจเขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัยขึ้นมา สำหรับประวัติของหลัวคังอันคนนี้ เขาคิดว่าคงต้องทำการสืบให้ลึกลงไปเสียหน่อยซะแล้ว
ความสงสัยของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่เขากลับไม่ได้รู้เลยว่าการที่สามารถเก็บซ่อนสภาวะภายในร่างกายได้นั้นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลินยวนและจางเลี่ยเฉินไม่ถูกใครสงสัยมาเป็นเวลานานหลายปี แม้นจะถูกตรวจสอบมาหลายครั้ง แต่ก็ถูกมองข้ามไปทันที
จูลี่รับประทานอาหารเย็นมื้อนี้อย่างกระอักกระอ่วน เธออยากจะคุยเรื่องงาน แต่หลัวคังอันกลับเอาแต่แสดงความเสน่หาอยากใกล้ชิดเธอ
ภายหลังด้วยการยืนกรานของจูลี่ หลัวคังอันจึงได้แต่ต้องคุยเรื่องงานกับเธอ แต่หลัวคังอันก็เปลี่ยนที่นั่งมานั่งอยู่ข้างๆ จูลี่ อีกทั้งยังใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนดูเอกสารข้อเสนอแนะด้วยกันและทำการหารือกัน ความจริงส่วนใหญ่เป็นจูลี่ที่อธิบายให้หลัวคังอันฟัง
หลัวคังอันพยักหน้าเป็นระยะ แต่อันที่จริงสมาธิของเขากลับไม่ได้อยู่ที่เอกสารเลยแม้แต่น้อย สายตามักจะฉวยโอกาสเหลือบมองดูผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาต้องยอมรับเลยว่าจูลี่นั้นมีเสน่ห์ของจูลี่อยู่ ทำให้เขาค่อนข้างหวั่นไหว เมื่อก่อนเขาเคยคิดจะจีบจูลี่ เวลานี้ความรู้สึกนั้นพลันผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้จีบจูลี่จริงๆ
…..
ทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของจิ้นเซียวที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างดูแย่ขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หลินยวนสั่งอาหารมาที่หนึ่ง ขณะที่กำลังค่อยๆ ลิ้มรสอาหาร เขาก็สังเกตดูท่าทีของจิ้นเซียวอย่างละเอียด บางครั้งก็เหลียวหน้ากลับไปมองทางหลัวคังอัน พบว่าเจ้านั่นแสดงได้ดีจริงๆ จู่ๆ จึงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “รองประธานของพวกเราชอบคุณจูลี่จริงๆ จำได้ว่าตอนนั้นที่นั่งเรือคุนมาที่เมืองปู๋เชวี่ยด้วยกัน ระหว่างทางถูกลอบโจมตี ทั้งสองคนกอดกัน เกิดความผูกพันเป็นโชคชะตาขึ้นมา ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงๆ ต่อไปก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” สายตาเหลือบมองดูกำปั้นที่กำแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวของจิ้นเซียว
โลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา หลัวคังอันเองก็ไม่สามารถอยู่กับจูลี่ไปตลอดได้ สุดท้ายก็ต้องบอกลากัน
สิ่งที่ทำให้จูลี่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คือเธอพบว่าสิ่งที่ตัวเองอธิบายไปตั้งนานสองนานล้วนเปล่าประโยชน์ สุดท้ายหลัวคังอันบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนในสายอาชีพ ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวเขากลับไปให้ทางแผนกโฆษณามาคุยกับปู๋เชวี่ยวิดีโอ
ตอนที่กำลังจะแยกจากกัน หลัวคังอันเสนอตัวจะมาส่งจูลี่ แต่ครั้งนี้จูลี่ปฏิเสธ เธอนั่งรถตัวเองกลับมาพร้อมกับจิ้นเซียว
ภายในสวน หลัวคังอันยังคงมองส่งจูลี่ตาละห้อย หลินยวนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “แสดงได้ไม่เลว”
“เอ่อ…” หลัวคังอันได้สติกลับมา รีบกล่าวถ่อมตัวว่า “เรื่องของน้องหลินก็คือเรื่องของฉัน ฉันย่อมต้องทำเต็มที่อยู่แล้ว แต่สายตาของผู้หญิงคนนี้มักจะเหลือบมองไปที่นายนะ สุดท้ายก็เป็นน้องหลินต่างหากที่มีเสน่ห์!” คำพูดยกหางนี้ไม่สามารถทำให้หลินยวนพึงพอใจได้
จากนั้นทางนี้ก็กลับเช่นเดียวกัน
ในตอนที่กลับมาถึงโรงอีหลิว ท้องฟ้าก็มืดมากแล้ว ลู่หงเยียนกำลังรอเขาอยู่ หลังกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับหลินยวนก็เอ่ยถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาดึกจังเลยเพคะ?”
หลินยวนไม่ได้อธิบาย “ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ ปล่อยข่าวไปทางพวกเขาว่าเคล็ดลับในการสร้างข่ายพลังของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินที่ถูกสำรองข้อมูลเอาไว้ถูกเก็บซ่อนอยู่ที่หลัวคังอัน”
…………………………………………………..