ตอนที่ 193 ปริศนา
จูลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เธอคิดถึงคนบนเรือคุนที่กอดขาของเธอเอาไว้ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา นั่นคือสิ่งที่เขาแกล้งแสดงออกมาอย่างนั้นหรือ? ดูไม่เหมือนว่าแสดงออกมาเลย กลับดูเหมือนเป็นความหวาดกลัวจริงๆ มากกว่า
ในตอนที่เธอออกมาจากหอการค้าตระกูลฉิน เธอก็นึกสงสัยอยู่ตลอดว่าสิ่งที่หลัวคังอันพูดมานั้นจะเป็นเรื่องโกหก ที่เธอมาขอให้ลั่วเทียนเหอสืบเรื่องนี้ให้ ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่หลัวคังอันพูดมานั้นเป็นเรื่องโกหก แล้วก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตนเองวิเคราะห์เนื้อหาที่อยู่ในกล้องวงจรปิดได้ถูกต้อง
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นความจริง คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่หลัวคังอันพูดมาจะเป็นความจริง คิดไม่ถึงว่าคนที่กอดขาตัวเองด้วยความหวาดกลัวและถูกตนเองใช้เท้ายันหน้าไปสองสามทีจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้นจริงๆ มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
อาจารย์หลงที่ยิ่งใหญ่และได้รับความเคารพยกย่องไปทั่วทั้งดินแดนเซียน ทำไมถึงได้มีลูกศิษย์ที่ทำเรื่องสกปรกแบบนั้นกับเสวี่ยหลานและยังคิดจะเหยียบเรือสองแคมได้?
แม้ว่าคําพูดของลั่วเทียนเหอจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ อีกทั้งคำพูดบางอย่างเองก็ไม่สะดวกจะพูดออกมาจนหมด แต่สําหรับเธอแล้ว สิ่งที่เกี่ยวพันกับประเด็นสนทนานี้มันทําให้เธอรู้สึกค่อนข้างตกตะลึงจริงๆ
หลัวคังอันไม่เพียงแต่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงเท่านั้น แต่ยังอาจจะมีเบื้องหลังอย่างอื่นด้วย!”
เธอไม่ได้โง่ แน่นอนว่าย่อมเข้าใจในความหมายของลั่วเทียนเหอ
อาจารย์หลงล่วงเกินจักรพรรดิเทียนอู่จนถูกประหารชีวิต นอกจากบุคคลระดับสูงสุดอย่างจักรพรรดิเทียนอู่แล้ว ยังจะมีใครทำอะไรคนอย่างอาจารย์หลงได้อีก?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทียนอู่ เหล่าลูกศิษย์ของอาจารย์หลงย่อมไม่อาจทำอะไรได้ แต่ถ้าจะจัดการกับคนตัวเล็กๆ อย่างเธอนั้นใช่เรื่องยากลำบากหรือ?
ถ้าไปล่วงเกินเข้าจริงๆ กระทั่งไปล่วงเกินใครเข้าเธอก็ยังไม่รู้เลย หากวันใดถูกคนจัดการ เกรงว่าเธอคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงถูกจัดการ
ในแววตาของเหิงเทาที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมีความรู้สึกประหลาดใจวูบไหวขึ้นมาเล็กน้อย เขาเองก็รู้สึกตกใจกับคำพูดนี้ อดเหลือบมองไปทางลั่วเทียนเหอไม่ได้
เขาติดตามลั่วเทียนเหอมานานหลายปี รู้จักนิสัยของลั่วเทียนเหอเป็นอย่างดี อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล แล้วก็เป็นคนหัวโบราณด้วย เวลานี้รู้ว่าหลัวคังอันคุกคามจูลี่ แทนที่จะกล่าวคำพูดให้กําลังใจเธอ ลั่วเทียนเหอกลับแนะนําเธอว่าอย่าไปมีปัญหากับเขา นี่จะต้องมีสาเหตุอยู่เป็นแน่
เขาคิดถึงภูมิหลังภายในวังเซียนของลั่วเทียนเหอ อีกฝ่ายน่าจะรู้ข้อมูลบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จูลี่ตอบว่า “ฉันเข้าใจความหมายของท่านเจ้าเมืองค่ะ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าศิษย์คนอื่นๆ ของอาจารย์หลงเป็นใครเลยหรือคะ?”
ลั่วเทียนเหอตอบว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าคนอื่นรู้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่รู้ และนี่ก็ไม่ใช่คําถามที่เธอควรจะถามด้วยเช่นกัน เธอควรจะแก้ไขนิสัยที่ชอบขุดคุ้ยอะไรต่างๆ จนถึงที่สุดของเธอบ้างนะ เรื่องบางเรื่องมันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรจะถาม หากเธอแก้นิสัยตรงนี้ไม่ได้ มันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองได้”
จูลี่ไม่ได้บอกว่าเธอจะไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะเปลี่ยน เธอเอ่ยพึมพําว่า “สภาเซียนยอมปล่อยให้หลิงซานเกิดเรื่องที่คลุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ได้อย่างไร”
ลั่วเทียนเหอตอบว่า “ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจทำจนสุดโต่งได้ ต้องเหลือทางรอดแก่ผู้สืบทอดเอาไว้บ้าง ถ้าเธอเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าไปคิดมาก”
จูลี่นิ่งเงียบ กำลังไตร่ตรองว่าคำพูดนี้มันความหมายว่าอย่างไร
ลั่วเทียนเหอกล่าวต่อว่า “แต่แน่นอน ถ้าหลัวคังอันคนนั้นทำอะไรที่ข้ามเส้นจริงๆ เธอเองก็ไม่จําเป็นต้องทน และฉันก็จะไม่มีทางยอมปล่อยไปแน่นอน เอาล่ะ ฉันได้ยินว่าเธอก็มีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเยอะ อย่ามัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่เลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานของเธอเถอะ”
จูลี่มุ่ยปาก ไม่ได้รีรออยู่ที่นี่ ขอตัวลาแล้วออกไป
เธอเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่เหิงเทาที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างกลับเข้าใจ
หลังสภาเซียนถูกก่อตั้งขึ้นมา เนื่องจากกังวลว่าสำนักนิกายบางกลุ่มจะรวมกําลังกันก่อความวุ่นวาย กังวลว่าจะควบคุมสำนักนิกายที่มีอิทธิพลบางกลุ่มได้ยาก ทางสภาเซียนถึงได้ตัดสินใจก่อตั้งหลิงซานขึ้นมา และทำการรับสมัครผู้ที่มีความสามารถในการบำเพ็ญเพียรจำนวนมากเพื่อรับใช้สภาเซียน และเพื่อที่จะสะกดอิทธิพลของสำนักนิกายเหล่านั้นแล้ว ทางสภาเซียนได้มีการใช้ระบบคัดเลือกผู้ที่จะเข้าไปทำงานในสภาเซียนระบบหนึ่งขึ้นมา นั่นคือผู้ที่จะเข้าไปทำงานอยู่ในสภาเซียนหรือผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อเซียนจะต้องมาจากหลิงซานเท่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่เติบโตขึ้นมาจากสำนักนิกายอื่นๆ ล้วนไม่ได้รับการยอมรับ
แม้จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากทางสภาเซียน ก็จำเป็นต้องเข้าไปบำเพ็ญเพียรในหลิงซานก่อนถึงจะสามารถเข้าไปทำงานในสภาเซียนได้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้คนที่อยากมีอนาคตสดใส เป็นเหตุให้คนที่อยากประสบความสําเร็จอยู่ในดินแดนเซียน ล้วนแต่ต้องเข้าไปเรียนที่หลิงซานก่อน ต่อให้เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่เหล่านั้น หากคิดอยากจะเข้าไปทำงานในสภาเซียน ก็จำเป็นต้องเข้าไปเรียนที่หลิงซานก่อนเช่นกัน และนี่อาจจะกลายเป็นอุปสรรคทำให้ตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่มีผู้สืบทอดอำนาจในสภาเซียนอันเป็นศูนย์กลางอำนาจของดินแดนเซียนได้ทุกเมื่อ
การทำแบบนี้ส่งผลให้สำนักนิกายต่างๆ ค่อยๆ ลดจำนวนลง ผู้ที่มีศักยภาพในการบำเพ็ญเพียร หากมีคุณสมบัติที่จะบำเพ็ญเพียรได้และอยากจะประสบความสำเร็จก็ต้องเข้าไปเรียนที่หลิงซาน หากไม่อับจนหนทางจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก
ด้วยการปรับเปลี่ยนและการควบคุมอย่างเงียบๆ โดยสภาเซียน ภายในดินแดนเซียนในปัจจุบันจึงแทบจะไม่มีสำนักนิกายอะไรพวกนั้นหลงเหลืออยู่อีก
เพื่อจะได้ถ่ายทอดวิชา เพื่อจะได้เจอผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม คนที่มีความสามารถบางคนจึงต้องเข้าไปเป็นอาจารย์อยู่ที่หลิงซานอย่างไม่มีทางเลือก
และเมื่อเข้าไปในหลิงซานแล้ว นั่นก็นับว่าได้ถูกผูกมัดอยู่ในกรอบอย่างแท้จริง ในเมื่อเข้ามาแล้วก็ย่อมต้องถูกกฎเกณฑ์และข้อบังคับพันธนาการเอาไว้
กล่าวได้ว่าหลิงซานได้ตัดหนทางที่จะเติบโตขึ้นมามีอำนาจของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่นอกสภาเซียนเอาไว้หมดแล้ว
ก็เหมือนกับที่ลั่วเทียนเหอกล่าวเอาไว้ จะต้องเหลือทางรอดให้มีผู้สืบทอดเอาไว้บ้าง หากไม่เหลือทางรอดเอาไว้เลยอาจจะเกิดผลกระทบในทิศทางตรงข้ามได้ หากอาจารย์ไม่ทำงาน แล้วจะเอาลูกศิษย์มาจากไหน แล้วหลิงซานจะมีประโยชน์อะไร?
การเหลือทางรอดเอาไว้ ก็เพื่อให้ทุกอย่างมันดำเนินไปได้
ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์แบบนั้นขึ้นมาในหลิงซาน แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่อยากให้ลูกศิษย์ของตัวเองมีอนาคตที่ดีกันทั้งนั้น จึงย่อมต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ออกมาโดยปริยาย ดังนั้นการที่หลงซืออวี่ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับลูกศิษย์ออกมา ไม่สนใจว่าลูกศิษย์จะเป็นจะตายอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าหลงซืออวี่นั้นคิดอะไรอยู่
กระทั่งจูลี่ออกไปแล้ว เหิงเทาจึงถามขึ้นมาว่า “ท่านเจ้าเมือง อาจารย์หลงยังมีลูกศิษย์คนอื่นอยู่จริงๆ หรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอส่ายศีรษะ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนที่ฉันยังอยู่ในวังเซียน ในวังเซียนเหมือนจะได้เบาะสบางอย่างมาว่าหลงซืออวี่น่าจะยังมีลูกศิษย์คนอื่นอยู่ ส่วนจะเป็นใครก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน ด้วยสถานะของหลงซืออวี่ในเวลานั้น ไม่ว่าใครก็ยากจะไปตรวจสอบเขาได้ หลังหลงซืออวี่เกิดเรื่องขึ้น เหมือนว่าจักรพรรดิเทียนอู่จะอยากสืบเรื่องนี้ แต่สภาเซียนเข้ามาหยุดเอาไว้โดยให้เหตุผลว่า ‘ให้พิจารณากันเป็นเรื่องๆ ไป’ ทางสภาเซียนเหมือนจะไม่อยากให้เรื่องราวมันวุ่นวายไปมากกว่านี้”
เป็นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวมันวุ่นวายไปมากกว่านี้จริงๆ เหรอ? เมื่อพูดถึงจักรพรรดิเทียนอู่ เหิงเทาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “การตายของหลงซืออวี่เหมือนจะคลุมเครือไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าไปทำให้จักรพรรดิเทียนอู่พิโรธเพราะเรื่องอะไรกันแน่?”
ลั่วเทียนเหอเหลือบมองพลางเอ่ยว่า “ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนก็ย่อมเป็นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายควรถาม”
เรื่องบางเรื่องมันเกี่ยวพันไปถึงความลับของจักรพรรดิเทียนอู่ เขาไม่สามารถเที่ยวประกาศไปทั่วได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการชักนำภัยมาให้ตัวเองได้
“ครับ” เหิงเทาตอบ
จูลี่ที่ออกจากสำนักงานเจ้าเมืองสอดตัวเข้าไปในรถที่จอดรออยู่ด้านนอกแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
จิ้นเซียวขับรถไประยะหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าจูลี่ยังคงขมวดคิ้วนิ่งเงียบ จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามว่า “ถามมาแล้วเหรอ?”
จูลี่ถอนใจเบา ๆ “ที่แท้ท่านเจ้าเมืองรู้อยู่ก่อนแล้ว หลัวคังอันเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงจริงๆ ด้วย!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้จิ้นเซียวจะไม่เชื่อว่าหลัวคังอันจะกล้าเอาเรื่องนี้มาโกหกได้ มันก็เหมือนกับที่หลายๆ คนไม่คิดว่าเรื่องที่หลัวคังอันบอกว่าเขาเป็นคนช่วยเหลือท่านสองจะเป็นเรื่องโกหก แต่หลังจากที่ได้รับการยืนยันเขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อย “เขาเป็นศิษย์ของอาจารย์หลงจริงๆ หรือนี่!”
จูลี่เอ่ยอย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองลั่วยังแนะนำฉันด้วยว่าพยายามอย่าไปมีเรื่องกับหลัวคังอัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองได้”
จิ้นเซียวรู้สึกแปลกใจ “หลงซืออวี่ไม่ใช่ว่าล่วงเกินจักรพรรดิเทียนอู่จนถูกประหารชีวิตไปแล้วเหรอ? หรือว่าท่านเจ้าเมืองลั่วจงใจเข้าข้างหอการค้าตระกูลฉิน?”
จูลี่ถอนใจ “ไม่ใช่เพราะหอการค้าตระกูลฉิน ท่านเจ้าเมืองลั่วบอกว่าหลงซืออวี่อาจจะยังมีลูกศิษย์คนอื่นอยู่ หลัวคังอันอาจมีศิษย์พี่บางส่วนคอยหนุนหลังเขาอยู่ ความหมายของท่านเจ้าเมืองคือหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าไปมีปัญหากับเขา”
สายตาของจิ้นเซียววูบไหว “หลงซืออวี่ยังมีลูกศิษย์คนอื่นอยู่อีกเหรอ? เป็นใครกัน?”
จูลี่กล่าวว่า “ฉันไม่รู้ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ายังมีใครอีกบ้าง แต่กระทั่งท่านเจ้าเมืองลั่วก็ยังไม่รู้เลย ท่านเจ้าเมืองบอกว่าหากไม่เป็นเพราะหลัวคังอันถูกหลงซืออวี่แนะนำเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ว่าหลัวคังอันเป็นลูกศิษย์ของเขา พูดอีกอย่างก็คือหลงซืออวี่อยู่ในหลิงซานมาเป็นเวลานานขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะมีลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียวได้ ความหมายของท่านเจ้าเมืองก็ประมาณนี้”
จิ้นเซียวเงียบไป นี่เป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ หลังนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็มีความเป็นไปได้ที่หลัวคังอันจะเป็นคนทำการประมูลให้หอการค้าตระกูลฉินจริงๆ”
“ก็อาจจะใช่!” จูลี่เอ่ยพึมพำ จากนั้นเธอพลันตะโกนขึ้นมาอีกว่า “แต่หลินยวนคนนั้นจะต้องมีปัญหาแน่นอน ขอเพียงเป็นจิ้งจอก ช้าเร็วหางก็ต้องโผล่ออกมา!”
เมื่อเห็นเธอยังคงกัดหลินยวนไม่ปล่อย จิ้นเซียวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเธอจริงๆ หลังจากได้ปะทะกับโรงอีหลิวในครั้งนั้นแล้ว ลึกๆ เขารู้ดีว่าหลินยวนผู้นั้นอันตรายกว่าหลัวคังอันเสียอีก
คำพูดบางอย่างเขาพูดไปก็เพราะอยากจะทำให้จูลี่ล้มเลิกความคิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับหลินยวน เพราะตัวเขาเองก็สงสัยเช่นเดียวกันว่าตัวหลินยวนอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ถ้าหากหลัวคังอันเป็นคนลงมือในการประมูลจริงๆ อย่างนั้นทำไมคืนนั้นเขาถึงยังต้องลงมืออีก? แล้วหลังจากนั้นทำไมเขาถึงยังต้องติดต่อตนเองอีก มาบอกให้ตัวเองมอบกล้องวงจรปิดให้?
เรื่องนี้มันมีปัญหาอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งตัวเขาก็เริ่มสับสนแล้ว
…..
ภายในสวนของโรงอีหลิว จางเลี่ยเฉินและลู่หงเยียนกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างเตาไฟ หัวเราะพูดคุยพลางต้มโจ๊กไปด้วย โรงอีหลิวได้กลับมาสู่สภาพที่ต้มโจ๊กวันละมื้ออีกครั้ง
โทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังขึ้นมา ลู่หงเยียนหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความจากเหิงเทา หลังจากอ่านข้อความแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง
หลังจากปิดประตู ลู่หงเยียนก็กดเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไปหาเหิงเทา ก่อนจะเปลี่ยนเสียงแล้วเอ่ยถามว่า “หลัวคังอันเป็นศิษย์ของหลงซืออวี่ นายแน่ใจใช่ไหม?”
หลังจบการสนทนา ลู่หงเยียนก็ออกมาด้านนอกอีกครั้ง มาพูดคุยพลางต้มโจ๊กเป็นเพื่อนจางเลี่ยเฉินอีกครั้ง เพียงแต่เวลาที่ได้ยินเสียงรถแล่นผ่านไปด้านนอกประตู เธอมักจะเหลียวหน้าไปดูทุกครั้ง
ในที่สุดประตูหน้าก็เปิดออก หลินยวนที่เลิกงานขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาแล้ว เธอรีบลุกขึ้นไปทักทายเขา
เมื่อเห็นเธอส่งสายตามา หลินยวนที่จอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
ลู่หงเยียนที่ปิดประตูห้องเดินเข้ามาหาหลินยวน กล่าวกระซิบเบาๆ ว่า “เหิงเทาส่งข้อความมาเพคะ ระบุตัวเป้าหมายที่น่าสงสัยได้แล้ว เขาไม่รู้ว่าพวกเรากำลังทำอะไร แต่เขาเตือนพวกเราว่าน่าจะเป็นเพียงเป้าหมายขนาดเล็ก ต่อให้ลงมือก็น่าจะทำอะไรไม่ได้มาก หากเราไปทำอะไรกลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ เขาแนะนำให้พวกเราอย่าเพิ่งไปทำอะไรเพคะ”
หลินยวนว่า “เราแค่จะยืมมือไปปล่อยข่าวลือเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรซับซ้อนอย่างที่เขาคิด”
ลู่หงเยียนพยักหน้า เธอย่อมต้องรู้ เธอเพียงแค่บอกเล่าข้อมูลเป้าหมายให้หลินยวนฟังเท่านั้น “หม่อมฉันจะไปจัดการเพคะ ใช่แล้วเพคะ เหิงเทายังให้ข้อมูลมาอีกเรื่องหนึ่งเพคะ ที่แท้เขารู้เรื่องที่หลัวคังอันเป็นลูกศิษย์ของหลงซืออวี่จากปากลั่วเทียนเหอตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ลืมรายงานในส่วนนี้เพคะ”
ประเด็นสำคัญคือทางนี้ก็ไม่ได้ถามเหิงเทาตั้งแต่แรก แล้วก็เป็นเพราะไม่สะดวกระบุถึงใครเป็นการเฉพาะ ด้วยกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจจากเหิงเทาโดยไม่จำเป็น เพราะพวกเขายังไม่อาจวางใจเหิงเทาอย่างเต็มที่ หลายๆ เรื่องจึงไม่ได้เปิดเผยไปจนหมด
หลินยวนระแวงขึ้นมา “เขาจะลืมเรื่องของหลงซืออวี่ไปได้อย่างไร? อย่างนั้นทำไมจู่ๆ ตอนนี้เขาถึงนึกขึ้นมาได้”
ลู่หงเยียนอธิบายว่า “เขาบอกว่าจู่ๆ จูลี่ก็ไปหาลั่วเทียนเหอ บอกว่าหลัวคังอันเป็นคนพูดเรื่องนี้ เธออยากจะขอให้ลั่วเทียนเหอช่วยสืบเรื่องนี้เพื่อยืนยันหน่อย ลั่วเทียนเหอถึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาก็เลยนึกขึ้นมาได้เพคะ”
หลินยวนโล่งใจ “กระทั่งลั่วเทียนเหอก็ยังรู้เรื่องนี้ ดูเหมือนหลัวคังอันจะไม่ได้โกหกจริงๆ เขาเป็นศิษย์ของหลงซืออวี่แน่นอนแล้ว”
ลู่หงเยียนเสริมว่า “ในรายงานของเหิงเทาครั้งนี้เน้นรายงานในประเด็นนี้เพคะ เขาบอกว่าหลงซืออวี่อยู่ที่หลิงซานมานานหลายปี ศิษย์สายตรงของเขาอาจจะไม่ได้มีหลัวคังอันแค่เพียงคนเดียว ลั่วเทียนเหอบอกว่าเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ในวังเซียน ทางวังเซียนก็เหมือนจะมีเบาะแสว่าหลงซืออวี่น่าจะยังมีลูกศิษย์คนอื่นๆ อยู่อีก ลั่วเทียนเหอกำชับจูลี่ว่าถ้าไม่จำเป็น ก็พยายามอย่าไปมีปัญหากับหลัวคังอัน เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นเพคะ”
หลินยวนประหลาดใจ “เธอกำลังบอกว่าเจ้าหลัวคังอันยังมีศิษย์พี่จากอาจารย์คนเดียวกันอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
…………………………………………………