ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 206 นายนั่นแหละ มานี่!

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 206 นายนั่นแหละ มานี่!

จิ้นเซียวทำได้เพียงล้มเลิกความพยายาม ยืนหน้าคร่ำเคร่งอยู่ตรงนั้น ในใจเขานึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคิดว่าตอนนี้จูลี่ควรจะอยู่ข้างกายเขาถึงจะปลอดภัยที่สุด แต่เขาก็ไม่สะดวกจะฝืนบุกเข้าไป ในสถานการณ์แบบนี้เรียกได้ว่ารู้สึกจนปัญญาจริงๆ

กระทั่งจูลี่หันกลับแล้วเดินไปจนถึงประตูรถ ไป๋หลิงหลงจึงรีบผายมือเชิญให้เธอเข้าไปในรถพร้อมรอยยิ้มทันที

จูลี่ก้มตัวมุดเข้าไปในรถทันที หลัวคังอันเดินตามหลังไป ก้มตัวลงที่ประตูรถพลางกล่าวกับฉินอี๋ที่อยู่ในรถ “ท่านประธานครับ หากท่านประธานมีอะไรไม่แน่ใจเรื่องการถ่ายทำพิธีเปิดก็ถามคุณจูลี่ได้เลยนะครับ”

ฉินอี๋พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลัวคังอันกล่าวกับจูลี่อีกว่า “คุณรู้เรื่องแผนการถ่ายทำเป็นอย่างดี หากท่านประธานมีปัญหาอะไร รบกวนคุณจูลี่อธิบายให้ท่านประธานฟังด้วยนะครับ”

เมื่อกำชับมาแบบนี้ คนอื่นที่ไม่เข้าใจเรื่องราวจึงหลงนึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่

จูลี่ย่อมต้องพยักหน้ารับปากอยู่แล้ว “ได้ค่ะ”

“รองประธานหลัว สายแล้วนะคะ” ไป๋หลิงหลงเอ่ยเตือน ยื่นมือไปเชิญให้เขาถอยออกมา อย่าขวางการปิดประตูรถ

หลัวคังอันพยักหน้าแล้วโค้งตัวถอยหลังมา จากนั้นโบกมือให้กับคนในรถ

ไป๋หลิงหลงปิดประตูรถ ก่อนจะผายมือเชิญหลัวคังอันกลับไป ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปยังฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ดึงประตูเปิดออกแล้วมุดตัวเข้าไปในรถ

หลัวคังอันหมุนตัวเดินออกมาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าการสนทนากันของฉินอี๋กับจูลี่จะทำให้ความแตกหรือเปล่า

ถ้าเกิดฉินอี๋พูดออกไปว่า ‘ได้ยินรองประธานหลัวบอกว่าคุณอยากจะมานั่งรถคันเดียวกับฉันเหรอคะ?’ หรือจูลี่ถามฉินอี๋ว่า ‘ให้ฉันมานั่งด้วยมีอะไรจะสั่งเหรอคะ?’ แบบนั้นคงจะกระอักกระอ่วนน่าดู

ตอนนี้เขากำลังเดิมพันอยู่ในใจเล็กน้อย ขอให้สองคนนั้นไม่พูดอะไรแบบนี้

ต่อให้ความจะแตกก็น่าจะไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว ถ้าเกิดความแตก แล้วฉินอี๋จะมาคิดบัญชีจริงๆ เขาก็จะโยนไปให้หลินยวน บอกว่าหลินยวนเป็นคนบอกกับเขาแบบนี้

เขาคิดมานานแล้วว่าหลินยวนกับฉินอี๋มีความสัมพันธ์กัน ถ้าหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขาก็ได้แต่ต้องดึงเอาหลินยวนมาเป็นเกราะกำบังให้ตัวเองเท่านั้น

เขาเองก็ถูกหลินยวนบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกเช่นกัน การจะบรรลุเป้าหมายของหลินยวน เขาก็รู้สึกจนปัญญาจริงๆ เขาเองก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง จึงได้แต่ต้องคิดหาวิธีที่สามารถพลิกแพลงได้หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา

“ไปกันเถอะ” หลัวคังอันเดินกลับไปเรียกหลินยวนขึ้นรถ

หลินยวนเองก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก เดิมทีเขาอยากจะถามหลัวคังอันว่าใช้วิธีอะไรกันแน่ ถึงทำให้จูลี่ไปนั่งรถคันเดียวกับฉินอี๋ได้ แต่เมื่อเห็นจิ้นเซียวที่เดินหันหน้าหันหลังกลับมา เขาจึงหยุดความคิดนั้นไป กระทั่งจิ้นเซียวเดินเข้ามาใกล้ๆ เขาจึงเอ่ยออกไปว่า “ระหว่างการเดินทางนี้ รถของรองประธานของพวกเราจะอยู่ใกล้ๆ กับรถคุณจูลี่ ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ มานั่งรถคันเดียวกับพวกเราได้นะครับ”

หลัวคังอันที่กำลังจะก้มหัวเข้าไปในรถพลันหันหน้ากลับมาด้วยความมึนงง อยากถามหลินยวนนักว่าจะทำให้มันมากเรื่องไปทำไม จำเป็นต้องให้เจ้านี่มันขึ้นรถเรามาด้วยเหรอ?

ที่จริงเขาไม่ชอบหน้าจิ้นเซียวมานานแล้ว ก่อนหน้าก็รู้สึกขัดแข้งขัดขามาโดยตลอด แต่เขาถูกสายตาของหลินยวนปรามเอาไว้ จึงได้แต่ต้องรีบมุดตัวเข้าไปนั่งนิ่งๆ ในรถ

จิ้นเซียวเงียบไปเล็กน้อย หลินยวนผายมือไปตรงที่นั่งข้างคนขับ จิ้นเซียวหันกลับไปมองดูรถที่จูลี่นั่งไปด้วยใบหน้าคร่ำเคร่ง ก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่งเช่นกัน

หลินยวนขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง นั่งแถวเดียวกันกับหลัวคังอัน

หลังจากที่พนักงานที่จะไปเข้าร่วมพิธีเปิดโรงงานต่างเข้าประจำที่ของตัวเองแล้ว ด้านล่างของขบวนรถก็มีลมพัดกระโชกขึ้นมา พัดจนฝุ่นควันคละคลุ้ง ภายใต้การนำของรถที่อยู่หัวขบวน รถคันอื่นๆ ทยอยเปิดใช้งานโหมดการบินแล้วลอยขึ้นไปในอากาศ

รถธรรมดาทั่วไปนั้นไม่สามารถบินได้ นี่คือโหมดที่มีแต่เฉพาะรถยนต์ระดับสูงเท่านั้น ด้วยกำลังทรัพย์ของหอการค้าตระกูลฉินแล้ว พวกเขาย่อมต้องมีรถแบบนี้

ในสถานการณ์ปกติ รถแบบนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบินภายในเมือง แต่วันนี้ต่างออกไป ทางผู้พิทักษ์เมืองอนุญาตแล้ว เพราะเจ้าเมืองลั่วเทียนเหอออกเดินทางด้วยตัวเอง ดังนั้นทางผู้พิทักษ์เมืองย่อมต้องตอบตกลงแน่นอน

รถยนต์ยี่สิบกว่าคันลอยขึ้นไปบนอากาศ เคลื่อนตัวตามรถที่นำขบวนเป็นแถวยาวคล้ายมังกร มุ่งหน้าไปทางประตูเมือง

คนจำนวนมากกำลังบินอยู่ ผู้พิทักษ์เมืองจำนวนมาก รวมถึงผู้คุ้มกันของทางหอการค้าตระกูลฉินล้วนกำลังใช้พลังโบยบินประกบด้านซ้ายและด้านขวาของขบวนรถ

เหิงเทาที่อยู่บนพื้นดินมองดูขบวนรถเคลื่อนตัวจากไป เขาไม่ได้ไปด้วย แค่มาส่งเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองไม่อยู่ เขาต้องอยู่รักษาการณ์ในเมือง

……

ณ คฤหาสน์ตระกูลฉิน หลิ่วจวินจวินวางสายโทรศัพท์ ก่อนจะกล่าวกับฉินเต้าเปียนว่า “ทางนั้นออกเดินทางกันแล้วค่ะ”

ฉินเต้าเปียนพยักหน้าเงียบๆ ที่จริงเขาก็อยากจะไปดูโรงงานสร้างข่ายพลังที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน แต่พอคิดดูแล้วก็ทนไว้ดีกว่า วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก หากเขาไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะเท่าไร เพราะเขาเป็นพ่อของฉินอี๋ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหอการค้าตระกูลฉินด้วย ถ้าเขาไปแล้วฉินอี๋จะวางตัวยังไงล่ะ? เดี๋ยวจะโดนมองว่าไปแย่งบทบาทเจ้าของงานเสียเปล่าๆ

นอกจากนี้คือคำนึงถึงปัจจัยเรื่องความปลอดภัยด้วย เวลานี้เป็นเวลาที่พวกผู้ไม่หวังดีมีโอกาสจะลงมือมากที่สุด สองพ่อลูกจึงไม่อาจไปร่วมงานพร้อมกันได้

ไป๋ซานเป้าเอ่ยว่า “นายท่าน คุณผู้หญิง ตามแผนที่วางไว้ พอท่านประธานเคลื่อนตัว พวกเราต้องหลบซ่อนตัวสักพักหนึ่งครับ”

ผู้คุ้มกันที่เป็นยอดฝีมือส่วนใหญ่ติดตามฉินอี๋ไปหมดแล้ว ทางนี้กังวลว่าจะมีคนฉวยโอกาสบุกเข้ามา จึงเตรียมพื้นที่ลับสำหรับซ่อนตัวไว้แล้ว

“ไปกันเถอะ” ฉินเต้าเปียนถอนใจ คนทั่วไปก็มีปัญหาหนักใจของคนทั่วไป คนระดับเขาก็มีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้อยู่เช่นกัน

ทั้งสามคนออกไปพร้อมกัน

…..

ขบวนรถเคลื่อนตัวออกจากประตูเมือง บินออกไปจากข่ายพลังค้ำนภา ขบวนรถพุ่งลงไปข้างล่างทีหนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง

กระทั่งบินได้มั่นคงแล้ว ฉินอี๋ที่อยู่ในรถจึงเอ่ยถามว่า “คุณจูลี่ มีเรื่องอะไรจะพูดไหมคะ?”

จูลี่รีบพูด “ท่านประธานอยากจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องการบันทึกเทปพิธีเปิดโรงงานไหมคะ เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟังค่ะ”

แค่เพราะเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ? ฉินอี๋นิ่งเงียบ “ฉันเชื่อว่าพวกคุณจะจัดการได้ดีค่ะ” บทสนทนานี้จบลงตรงนี้ จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นไปว่า “รับสมัครผู้ช่วยมาใหม่เหรอคะ?”

จูลี่ “ใช่ค่ะ ชื่อจิ้นเซียว นิสัยดูเป็นเด็กนิดหน่อย ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร น่าอายจริงๆ เดี๋ยวกลับไปฉันจะไปต่อว่าเขาให้ค่ะ”

เธอยังรู้สึกกังวลว่าการเสียมารยาทของจิ้นเซียวก่อนหน้านี้จะทำให้ท่านประธานผู้นี้ไม่พอใจ

หอการค้าตระกูลฉินในเวลานี้ หรือพูดอีกอย่างคือฉินอี๋ในเวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้ไปมาหาสู่สนิทสนมกับทางฝ่ายทหาร มีเรื่องอะไรก็สามารถตรงไปที่ศูนย์กลางสภาเซียนได้เลย เกรงว่ากระทั่งลั่วเทียนเหอก็ยังไม่สะดวกจะว่ากล่าวตักเตือนอะไร

ฉินอี๋เข้าใจแล้ว เธอยิ้มบางๆ “เรื่องเล็กน้อยไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ จริงสิ ฉันได้ยินว่าจิ้นเซียวคนนั้นพักอยู่ที่เดียวกับคุณหรือคะ?”

ไป๋หลิงหลงที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับได้ยินดังนั้นจึงหันกลับมามองยิ้มๆ

จูลี่ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นี่ไม่ใช่คนแรกที่ถามถึงเรื่องนี้ เหิงเทาเคยถามแล้ว ลั่วเทียนเหอก็เคยถาม การที่หนุ่มโสดกับสาวโสดอาศัยอยู่ด้วยกันนั้นทำให้คนคิดไปไกลกันได้ง่ายจริงๆ เธอเองก็เคยคิดจะให้จิ้นเซียวออกไป แต่ในใจกลับมีความรู้สึกลังเล ไม่ยอมตัดสินใจเสียที

เธอเองก็มองออกว่าจิ้นเซียวชอบพอตนเอง อันที่จริงเธอเองก็กำลังรอเหตุผลที่จะทำพวกเธอสองคนได้อยู่ด้วยกันอย่างชอบธรรมอยู่เหมือนกัน เธอกำลังรอจิ้นเซียวสารภาพรักอยู่ แต่จิ้นเซียวไม่เอ่ยปากเสียที จนบางครั้งเธอค่อนข้างโมโห

“ถ้าหาที่อยู่ที่เหมาะสมเจอแล้ว เขาจะย้ายออกไปค่ะ” จูลี่ตอบแบบขอไปที

ฉินอี๋ยิ้มเล็กน้อย “ถ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็อยู่ด้วยกันเถอะค่ะ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป คนบางคนถ้าหลุดมือไปแล้ว…มันไม่ดีนะคะ!” ในรอยยิ้มนั้นเจือความขมขื่นเอาไว้เล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ หันหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง

เธอนึกถึงโรงอีหลิว เรื่องบางเรื่องปิดเธอเอาไว้ไม่ได้ เธอรู้แล้วว่าลู่หงเยียนกับหลินยวนค้างคืนอยู่ด้วยกันทุกวัน

หนุ่มสาวนอนอยู่ด้วยกันทุกคืนมันจะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ?

นิสัยของเธอเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้ เริ่มแรกเธอรู้สึกโกรธแค้น รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลัง แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ เมื่องานต่างๆ ยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการ เธอก็ค่อยๆ ใจเย็นลงไม่น้อย หากว่ากันตามจริงแล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรไปบอกว่าหลินยวนหักหลังล่ะ?

เป็นเธอเองที่ตอนนั้นไม่ได้ไปช่วงชิง เป็นเธอเองที่ยอมแพ้ในตอนนั้น ปล่อยผ่านไปนานสามร้อยปี ไม่เคยติดต่อไปเลย เธอมีสิทธิ์อะไรไปขอให้หลินยวนครองตัวเป็นโสดสามร้อยปีเพื่อเธอกันล่ะ? ในตอนที่ลู่หงเยียนยังไม่ปรากฏตัว เธอคิดเองเออเองว่าหลินยวนคือคนของเธอ ดื้อรั้นดึงดันอยู่แบบนั้น

กระทั่งลู่หงเยียนปรากฎตัวขึ้นจริงๆ เธอถึงได้มีความรู้สึกเหนื่อยหอบเหมือนปีนขึ้นโต๊ะหลังจากสำลักน้ำ เธอถึงได้พบว่าในเรื่องของความรักแล้ว ตนเองไม่ได้เข้มแข็งเหมือนอย่างที่คิดไว้

เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็รู้สึกท้อใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอรู้สึกไม่ค่อยอยากเจอหน้าหลินยวนแล้ว พอได้เจอก็จะรู้สึกลนลานจนน่ารำคาญ ถึงขนาดรู้สึกขยะแขยง สายตาเพียงชำเลืองแวบเดียวก็ผ่านไป มองเหมือนไม่ได้มอง นึกเสียใจว่าตัวเองไม่น่าไปสารภาพความในใจกับหลินยวนตอนอยู่ที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพในเมืองคุนกว่างเลย

ในช่วงเวลาที่เธอรู้สึกย่ำแย่ที่สุด เธอถึงขั้นมีความคิดว่าจะไปหาผู้ชายสักคนมาประชดหลินยวนให้รู้แล้วรู้รอด

…..

ขบวนรถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จิ้นเซียวที่นั่งอยู่ข้างคนขับคอยมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวังตลอดเวลา อีกทั้งคอยจับตามองรถคันที่จูลี่นั่งอยู่อย่างไม่วางตา

โชคดีที่การเดินทางราบรื่นตลอดทาง ระหว่างทางมีพวกสัตว์ปีกดุร้ายมาโจมตีบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ถูกผู้คุ้มกันที่ติดตามขบวนอยู่จัดการไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีผลกระทบต่อความเร็วในการเดินทาง

ณ โรงงานสร้างข่ายพลังเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน เรียกได้ว่ามีการประดับประดาผ้าสีแดงเพื่อเฉลิมฉลองไปทั่วทุกที่

ทั้งโรงงานได้ถูกกำลังทหารของสภาเซียนวางข่ายพลังป้องกันเอาไว้แล้ว ขบวนรถร่อนลงจอดตรงหน้าประตู มีคนออกมาต้อนรับ หลังจากตรวจสอบตัวตนของทุกคนเรียบร้อยแล้วถึงจะอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้

ขบวนบนเคลื่อนตัวเข้าไปด้านในข่ายพลัง กลุ่มคนที่อยู่ในรถทยอยลงจากรถ

คนงานก่อสร้างได้ถูกสั่งให้ออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พนักงานจำนวนมากที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสร้างข่ายพลังที่หอการค้าตระกูลฉินจ้างมา บ้างก็เป็นพนักงานทั่วไป

สำหรับกองทหารประจำการณ์นั้นไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะเข้ามาต้อนรับใดๆ ต่างคนต่างก็ยืนอยู่ในตำแหน่งของตัวเองและทำหน้าที่ของตัวเองไป ไม่มีท่าทีจะเข้ามาทำความเคารพใดๆ

ผู้บังคับบัญชาของกองทหารประจำการณ์คือเว่ยผิงกง แค่ดูท่าทีของกองทหารประจำการณ์ก็รู้ได้เลยว่าเป็นความคิดของใคร ลั่วเทียนเหอเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเช่นกัน

ทวารบาลแห่งดินแดนหมิง หากพูดถึงลำดับขั้นแล้ว อีกฝ่ายเคยเป็นถึงขุนนางระดับหนึ่ง แม้ว่าจะถูกลดขั้นให้มาอยู่ที่นี่ แต่ลั่วเทียนเหอก็ยังต้องเป็นฝ่ายเข้าไปแสดงความเคารพอีกฝ่ายก่อน อันที่จริงด้วยเบื้องหลังของลั่วเทียนเหอแล้ว นี่มิใช่ว่าเขาเกรงกลัวอีกฝ่าย หากแต่เป็นมารยาทบางอย่างที่ควรจะมี

เว่ยผิงกงกำลังดื่มเหล้าอยู่ในถ้ำบนหน้าผา ลั่วเทียนเหอบินขึ้นไปถึงหน้าผา มีทหารใต้บังคับบัญชาเข้าไปรายงานเว่ยผิงกง “ผบ.เว่ยครับ ท่านเจ้าเมืองลั่วมาครับ”

เว่ยผิงกงเห็นแล้ว เพียงแต่จงใจแสร้งทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น เมื่อได้ยินดังนั้นเขาถึงจะชายตาขึ้นมามอง กล่าวเอื่อยเฉื่อยว่า “ท่านเจ้าเมืองลั่วมาเยือน ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะให้อภัย!”

“มิกล้า” ลั่วเทียนเหอประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อย “คารวะท่านผบ.เว่ย”

เว่ยผิงกงกล่าว “ยังมีเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองไม่กล้าอีกเหรอ? หากไม่ได้รับความยินยอมจากท่านเจ้าเมือง เกรงว่าทหารของผมคงจะเข้าไปซื้อของในเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมต้องเป็นฝ่ายไม่กล้าถึงจะถูก ผมไม่ได้ออกไปต้อนรับท่าน ท่านเจ้าเมืองคงจะไม่ถือสาใช่ไหมครับ?” เห็นได้ชัดว่ากำลังแสดงออกถึงความไม่พอใจ

ลั่วเทียนเหอกล่าว “ท่านผบ.เว่ยเป็นคนฉลาด คาดว่าท่านผบ.คงจะทราบดีเช่นกัน ที่เทียนเหอทำเช่นนี้ก็เพื่อแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจน จะได้ไม่เกิดความสับสน ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เกิดความวุ่นวายจนผิดใจกัน หาได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือกลั่นแกล้งท่านผบ.ไม่ ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นมาดูแลที่นี่ เทียนเหอก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน”

เว่ยผิงกงวางขวดเหล้า กล่าวโดยมีกลิ่นสุราลอยหึ่งออกมา “พอเถอะ คนดวงซวยสองคนถูกลดขั้นมาอยู่ที่นี่ มานั่งเถียงกันอยู่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเราก็คือดูแลความปลอดภัย ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก พวกท่านไปจัดการธุระของพวกท่านเถอะ”

ลั่วเทียนเหอกล่าวอย่างลังเล “ท่านผบ.เว่ย วันนี้เป็นวันมงคลเปิดโรงงานสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉิน หากท่านเอาแต่นั่งอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปปรากฏตัวล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่กล้าทำอะไรเอิกเกริกเหมือนกัน ท่านดูสิว่าข้างล่างนี่เงียบกันหมดเลย ท่านควรจะออกไปปรากฏตัวทักทายพวกเขาสักหน่อยหรือเปล่า ให้พวกเขาจัดการธุระให้เสร็จโดยเร็ว จะได้ไม่เสียเวลาที่ท่านจะได้ดื่มด่ำกับรสสุราด้วย”

เว่ยผิงกงเหลือบมองลงไปด้านล่างหน้าผา ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปสิ”

คนกลุ่มหนึ่งบินลงมาจากบนหน้าผา ลงมาตรงหน้าพวกหอการค้าตระกูลฉิน ฉินอี๋รีบเข้าไปคารวะทันที

เว่ยผิงกงกล่าวอะไรสองสามคำพอเป็นพิธี บอกให้พวกเขาทำธุระของตัวเองไปไม่ต้องสนใจเขา แต่ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป สายตาเขาพลันไปหยุดอยู่ที่หลัวคังอัน มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังคลายออกข้างหนึ่ง กวักมือไปทางหลัวคังอัน

หลัวคังอันมึนงงเล็กน้อย มองซ้ายมองขวา สีหน้าดูฉงน เรียกฉันเหรอ?

เว่ยผิงกงชี้ตรงมาเขา “ไอคนที่หันมองซ้ายมองขวานั่นแหละ นายนั่นแหละ มานี่!”

……………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน