ตอนที่ 207 ตาแก่ลงมือโหดเหี้ยม
ตอนแรกทุกคนก็ไม่รู้ว่าเขากำลังเรียกใคร ตอนนี้พอเห็นเขาชี้นิ้ว ทุกคนจึงมองตามทิศทางที่นิ้วเขาชี้ไป สายตาจับจ้องอยู่ที่หลัวคังอันเป็นตาเดียว
หลินยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลัวคังอันประหลาดใจเล็กน้อย เจ้านี่รู้จักกับเว่ยผิงกงด้วยเหรอ?
หลังจากแน่ใจแล้วว่าคนที่เว่ยผิงกงเรียกคือหลัวคังอัน ทุกคนรวมถึงฉินอี๋ต่างรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัยเช่นเดียวกัน
หลัวคังอันยังคงเหลือบมองไปทางซ้ายทีขวาที หลังพบว่าทุกคนล้วนมองมาที่ตน เขาก็คล้ายจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังชี้มาที่ตัวเขา
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน ไม่รู้ว่าทวารบาลที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หมายความว่าอย่างไร
ทั้งสองไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน แล้วเขาจะไม่สงสัยได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเรียกตนเองหรือเปล่า
กระทั่งในเวลานี้เขาก็ยังอดชี้ไปที่หน้าของตัวเองไม่ได้ คล้ายกำลังถามว่า ‘ผมเหรอ? คุณแน่ใจเหรอว่ากำลังเรียกผม?’
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะดูเหมือนโจรด้วย ตั้งอกตั้งใจแต่งตัวจัดเต็มมาซะขนาดนี้ มีตรงไหนที่ดูเหมือนโจร?
เว่ยผิงกงถลึงตาขึ้นมาอย่างหงุดหงิดทันที “มัวทำซื่อบื้ออะไร คนที่มีหนวดจิ๋มสองเส้นอยู่บนปากนั่นแหละ นายนั่นแหละ!”
“…” เป็นตัวเองจริงๆ ด้วย หลัวคังอันหมดคำพูด ตนเองตั้งใจไว้หนวดอย่างสวย ทำไมอีกฝ่ายพูดซะเสียขนาดนั้นล่ะ?
ปัญหาคือตอนนี้เขาไม่แน่ใจ เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย ไม่ทราบว่าคนผู้นี้มาเรียกตนเองต่อหน้าทุกคนหมายความว่าอะไร จากนั้นอดเหลียวซ้ายแลขวาอีกทีไม่ได้ รู้สึกยากจะก้าวขาออกไปได้ เขารู้สึกกังวลว่ามันจะไม่ใช่เรื่องดี ภายในใจนึกหวาดกลัว
ผลคือเขาหันไปสบตาเข้ากับสายตาของฉินอี๋ที่หันมองมา ฉินอี๋หันหน้ามาส่งสัญญาณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกให้เขาเชื่อฟังเว่ยผิงกง ให้เขารีบเดินเข้าไป
ท่ามกลางสายตาทุกคนที่มองมา เมื่อเจอเรื่องแบบนี้จึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หลัวคังอันทำได้เพียงกัดฟันก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ
ลั่วเทียนเหอคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เว่ยผิงกง เขาเองก็แปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เว่ยผิงกงถึงเรียกหลัวคังอัน
เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าเว่ยผิงกง หลัวคังอันก็คารวะอย่างระมัดระวังด้วยความเคารพนบนอบ “หลัวคังอันคารวะท่านทวารบาล”
เว่ยผิงกงมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยถามว่า “นายคือหลัวคังอันที่เป็นลูกศิษย์ของหลงซืออวี่แห่งหลิงซานคนนั้นใช่ไหม?”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ผู้คนไม่น้อยที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนต่างรู้สึกประหลาดใจ
หลัวคังอันพยักหน้าเบาๆ ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช่ครับ” เขาไม่รู้เลยว่าการที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามเช่นนี้ออกมามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
เมื่อได้รับการยืนยัน เหล่าคนที่ไม่รู้เรื่องราวก็ตกใจกันไม่น้อย หลายคนต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก
โดยเฉพาะฉินอี๋ ดวงตาพลันเบิกโพลงขึ้นมาทันที นี่มันเกินความคาดหมายของเธอไปจริง ๆ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ในตอนนี้เช่นกัน
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ก่อนหน้านี้สืบไม่พบว่าหลัวคังอันเป็นศิษย์ของหลงซืออวี่แห่งหลิงซาน คิดไม่ถึงว่าหลัวคังอันจะปิดบังเบื้องหลังเช่นนี้เอาไว้ด้วย
ฉินอี๋หันกลับไปสบตาไป๋หลิงหลง อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ สื่อว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะเว่ยผิงกงโพล่งถามขึ้นมาที่นี่ ทั้งสองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้รู้ความจริงนี้เมื่อไหร่
ฉินอี๋หันกลับไปมองหลัวคังอันอีกครั้ง คล้ายว่าในที่สุดก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ก่อนนี้ยังรู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ หลัวคังอันก็แสดงความสามารถออกมาในตอนประมูล ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ที่แท้อีกฝ่ายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงแห่งหลิงซานที่เล่าลือกันผู้นั้นนี่เอง มิน่าถึงมีความสามารถแบบนี้!
อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าซ่อนเร้นไม่ให้ปรากฏ? วันนี้นับว่าฉินอี๋ได้เรียนรู้แล้ว คิดไม่ถึงว่าหลัวคังอันที่ดูเหมือนพึ่งพาไม่ได้จะปิดบังเบื้องหลังเอาไว้อย่างมิดชิดขนาดนี้
เรียกได้ว่าทำให้เธอทั้งตกใจและยินดี แต่เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นเป็นความรู้สึกตกใจหรือยินดีมากกว่ากัน เรื่องที่หลงซืออวี่หยามเกียรติจักรพรรดิเทียนอู่ในครั้งนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทั้งดินแดนเซียน เธอเองก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ไม่รู้จริงๆ ว่าเบื้องหลังนี้ของหลัวคังอันถือเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
เว่ยผิงกงถามอีกว่า “คนของหอการค้าตระกูลฉินที่ควบคุมเทพมหาวิญญาณตอนประมูลคือนายสินะ?”
หลัวคังอันฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ”
เขาค่อนข้างกลัว แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าไม่ใช่ จะให้ยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าตนเองให้การเท็จต่อสภาเซียนได้อย่างไร?
“ฉันเองก็ดูการถ่ายทอดสดการประมูลอยู่ สู้ได้ดีทีเดียวนี่ เหมือนจะมีความสามารถอยู่เหมือนกัน” ไม่รู้เหมือนกันว่าเว่ยผิงกงชมเขาหรือเปล่า พูดพลางยกมือขึ้นมาตบไหล่เขาไป สุดท้ายนิ้วทั้งห้าก็ออกแรงบีบ หลัวคังอันที่จู่ๆ ก็โดนบีบรู้สึกเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา รับรู้ได้ถึงพลังของอีกฝ่ายที่ไหลทะลักเข้าไปในร่างกายของตน
ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก ฉินอี๋กับพวกพนักงานหอการค้าตระกูลฉินสีหน้าเปลี่ยนไป หลินยวนขมวดคิ้วพลางขยับเท้าเล็กน้อย
แม้แต่นายทหารชั้นสูงที่ติดตามอยู่ข้างกายเว่ยผิงกงก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผบ.เว่ยถึงกลั่นแกล้งคนคนนี้
ลั่วเทียนเหอที่อยู่อีกด้านรีบเอ่ยเตือน “ผบ.เว่ยโปรดออมมือด้วย!”
เขาเป็นเจ้าเมืองปู๋เชวี่ย ที่แห่งนี้ยังอยู่ในอาณาเขตของเมืองปู๋เชวี่ย หากมีการทำร้ายกันโดยไร้เหตุผลต่อหน้าสาธารณชน ตัวเขาที่อยู่ข้างๆ จะไม่ยุ่งก็คงไม่ได้
ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ด้วยสถานะของอีกฝ่ายแล้ว การจะจัดการอย่างเป็นจริงเป็นจังก็เป็นเรื่องยุ่งยากเช่นเดียวกัน กองกำลังเก่าที่อยู่ดินแดนหมิงของคนคนนี้มีอยู่ไม่น้อย!
เว่ยผิงกงชำเลืองมองเขา คล้ายเห็นแก่หน้าเขา นิ้วมือทั้งห้าจึงคลายออก ถอยออกมาจากหลัวคังอัน จากนั้นหัวเราะหึหึใส่หลัวคังอัน “เวลาสู้ดูดี แต่สภาวะกลับไม่ได้เรื่อง” น้ำเสียงเจือความดูถูก สายตาที่มองไปก็แฝงไว้ด้วยความดูถูกเช่นกัน จากนั้นเดินไพล่หลังนำลูกน้องจากไป
หลัวคังอันยกมือขึ้นนวดไหล่ข้างที่เจ็บจนแทบแหลก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำเขาตกใจจริงๆ
จูลี่กับจิ้นเซียวมองหน้ากัน ครั้งนี้นับว่าเป็นการยืนยันอีกครั้งแล้วว่าหลัวคังอันเป็นศิษย์ของอาจารย์หลงจริงๆ
ลั่วเทียนเหอที่อยู่อีกด้านขยับเข้ามาใกล้ๆ เอ่ยถามว่า “นายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลัวคังอันฝืนยิ้มพลางกล่าว “แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เป็นไรครับ”
ในเมื่อเขาบอกว่าไม่เป็นไร ลั่วเทียนเหอจึงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ยุ่งอะไรอีก เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปถามหาความรับผิดชอบจากเว่ยผิงกงให้ทางนี้เช่นกัน จึงเดินออกไปอีกด้านหนึ่ง
เวลานี้ฉินอี๋เองก็รีบเดินเข้ามา “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลัวคังอันกล่าว “เรื่องเล็กครับ ไม่เป็นไร”
ฉินอี๋ “พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ?”
หลัวคังอันส่ายหน้า “ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนครับ”
ฉินอี๋เงียบไปเล็กน้อย ดูจากท่าทีที่เว่ยผิงกงมีต่อหลัวคังอันแล้ว เหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่ ต่อไปหลัวคังอันยังจะต้องข้องเกี่ยวกับเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินอย่างแน่นอน แต่เว่ยผิงกงประจำการอยู่ที่นี่ ตอนนี้เธอกำลังกังวลอยู่ว่าต่อไปหากให้หลัวคังอันมาที่นี่จะเหมาะหรือเปล่า
เห็นคนของหอการค้าตระกูลฉินถูกเว่ยผิงกงรังแกอยู่ตรงหน้า แต่ฉินอี๋ก็จำต้องอดทนเอาไว้ แล้วก็ไม่เหมาะจะไปสร้างปัญหาอะไรที่ไม่จำเป็นจริงๆ เธอจึงทำได้เพียงกระซิบเตือนหลัวคังอันว่าให้ระวังหน่อย หลังจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ เธอบอกให้ทุกคนจัดการเรื่องพิธีเปิดที่อยู่ตรงหน้าก่อน ก่อนจะพาคนกลุ่มหนึ่งออกไปก่อน
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมาให้ในตอนที่เดินผ่านหลัวคังอัน แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังมีสีหน้าประหลาดใจ อาจารย์หลงอย่างนั้นเหรอ? คนคนนี้คือศิษย์ของอาจารย์หลงอย่างนั้นเหรอ!
หลังจากกลุ่มของฉินอี๋เดินออกไป หลินยวนจึงเข้ามาหาหลัวคังอันพลางกระซิบถาม “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลัวคังอันกระซิบตอบ “ตาแก่นั่นลงมือโหดเหี้ยมมาก ไหล่ฉันเกือบถูกเขาบีบจนแหลก ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว แต่เมื่อกี้เขาหยั่งเชิงตรวจสอบสภาวะของฉัน”
หลินยวนนิ่งเงียบ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าการที่จู่ๆ เว่ยผิงกงทำแบบนี้มันหมายความว่าอะไร จึงทำได้เพียงปลอบไปว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เสียงของหลัวคังอันยิ่งเบาลงไปอีก “คงเป็นเพราะเห็นฉันดังล่ะมั้ง! น้องหลิน เรื่องการประมูลที่เขาถามนั่น ครั้งนี้ฉันเป็นแพะรับบาปแทนนายนะ!” ท่าทางเหมือนกำลังขอความเห็นใจ
หลินยวนไม่มีท่าทีเห็นใจอะไร เอ่ยถามว่า “แกไม่รู้จักเขามาก่อนจริงๆ เหรอ?”
หลัวคังอันกล่าว “ไม่เคยเจอหน้ากันเลยจริงๆ ครั้งนี้เจอกันครั้งแรก”
หลังจากหลินยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเตือนว่า “เรื่องงานสำคัญ รีบจัดการเรื่องที่ฉันมอบหมายให้ไป” กล่าวพลางพยักพเยิดหน้าไปทางจิ้นเซียวกับจูลี่ที่กำลังเดินออกไป
หลัวคังอันส่งเสียง “เห้อ” นวดไหล่เบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอียงศีรษะส่งสัญญาณแล้วบอกว่า “ไปเถอะ!”
ทั้งสองเดินตามกลุ่มคนไป
…..
จูลี่กำลังพูดคุยอยู่กับพนักงานของปู๋เชวี่ยวิดีโอที่เดินทางมาด้วยกัน เตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำ
หลัวคังอันเดินนำหลินยวนเข้ามาด้วยท่าทางจริงจัง คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง จิ้นเซียวเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นพวกเขาสองคน ส่วนจูลี่ยังคงสั่งงานพนักงานของทางสถานีอยู่
กระทั่งสั่งงานเสร็จเรียบร้อย พอจูลี่หันกลับมาถึงจะเห็นหลัวคังอันที่ยืนอยู่ข้างหลัง จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณหลัว ไหล่ของคุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
หลัวคังอันหัวเราะเหอะๆ พลางกล่าว “ไม่เป็นไรครับ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเรื่องการถ่ายทำ ทางคุณจัดการเป็นยังไงบ้างครับ?”
จูลี่ “ก็จัดการตามแผนที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
หลัวคังอันครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ว่า “คุณกับผมต่างรู้ดีว่าความจริงท่านประธานให้ความสำคัญกับการถ่ายทำครั้งนี้มาก ผมอยากเตรียมการอะไรนิดหน่อย หวังว่าผอ.จะให้ความร่วมมือครับ”
จูลี่กล่าวหยั่งเชิง “เตรียมการอะไรคะ?”
หลัวคังอันกล่าว “ก่อนที่จะมา ผมได้คุยเรื่องนี้กับท่านประธานในห้องทำงานของท่านประธานแล้ว ท่านประธานบอกว่างานในครั้งนี้มอบหมายให้ผมวางแผนให้ครอบคลุม บอกตามตรง ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพวกคุณในช่วงนี้ จู่ๆ ท่านประธานก็มอบหมายงานสำคัญมาให้ ตัวผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร แต่โชคดีที่มีคุณอยู่ด้วย”
“ทางฝั่งหอการค้าตระกูลฉินผมเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนทางฝั่งสถานีคุณเป็นคนรับผิดชอบ ผู้รับผิดชอบอย่างเราสองคนควรจะอยู่ด้วยกัน แล้วก็มอบหมายงานให้ลูกน้องไปทำ รบกวนให้ผอ.อยู่กับผมนะครับ ถ้าท่านประธานอยากรู้อะไร หรือจู่ๆ ต้องการปรับอะไรกะทันหัน เราจำเป็นต้องพร้อมทำตามคำสั่งตลอด กำลังคนและกำลังทรัพย์ของทางหอการค้าตระกูลฉิน แล้วก็สิ่งที่จำเป็นทุกอย่างที่ทางโรงงานสร้างข่ายพลังต้องการ ผมสามารถจัดมาให้ได้ตลอดเวลา ถ้าทางสถานีต้องการปรับอะไร คุณก็จะได้จัดการได้ทันท่วงที คุณคิดว่ายังไงครับ?”
จูลี่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก จิ้นเซียวก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ผอ.ต้องคอยจับตาดูการทำงานของทางสถานีครับ ถ้ารองประธานหลัวมีอะไรก็ติดต่อมาทางนี้ได้ตลอดเวลา” พูดชัดๆ ก็คือเขาไม่อยากให้จูลี่ไปอยู่กับคนพวกนี้ กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย
หลัวคังอันจ้องมองไปด้วยสายตาเย็นชาทันที “นายหมายความว่าความเห็นของนายถือเป็นตัวแทนของปู๋เชวี่ยวิดีโอได้เหรอ ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา นายรับผิดชอบทุกอย่างแทนคุณจูลี่ได้เหรอ? ปัญหาคือต่อให้พวกเราจะอยากผลักภาระไปให้นาย แต่นายก็ต้องถามตัวเองว่านายมีสิทธิ์ที่จะรับผิดชอบหรือเปล่า?” ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือนายเป็นใคร ที่นี่ใช่ที่ที่นายจะมาออกความเห็นได้เหรอ?
จิ้นเซียวมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
ใครจะรู้ว่าจูลี่จะจ้องมองเขาแล้วตะคอกใส่ “นายเงียบไปเลย!”
“…” จิ้นเซียวพลันจ้องเขม็งอย่างจนปัญญาทันที
จูลี่รีบหันกลับไปกล่าว “ได้ค่ะ ทำตามที่รองประธานหลัวว่ามาเลยค่ะ”
ประการแรกก็คือเธอรู้สึกว่าการที่หลัวคังอันจัดการแบบนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าทั้งสองคนร่วมมือกัน การที่มีหลัวคังอันผู้เป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉินมาคอยประสานงานอยู่ที่โรงงานสร้างข่ายพลังเทพมหาวิญญาณด้วยตัวเอง คนของทางหอการค้าตระกูลฉินก็ต้องให้เกียรติ แล้วก็ช่วยลดภาระไปได้หลายเรื่องจริงๆ ประสานงานขอความร่วมมือก็สะดวก แบบนี้เหมาะมาก
ประการต่อมาคือเธอคิดว่าจิ้นเซียวคิดมากไป ต่อให้หลัวคังอันคิดจะใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับจริงๆ แต่หลัวคังอันก็ต้องแยกแยะสถานการณ์หรือเปล่า ที่นี่มีคนมองอยู่ตั้งมากขนาดนี้ เธอไม่เชื่อว่าหลัวคังอันจะทำอะไรรุ่มร่ามกับเธอได้
“ดีครับ อย่างนั้นก็อยู่ด้วยกันเลย” หลัวคังอันผายมือเชิญ จูลี่เดินเคียงข้างไปกับเขาทันที หลินยวนก็ตามไปเช่นกัน
จิ้นเซียวยืนอึ้งอยู่ที่เดิม จ้องมองแผ่นหลังของจูลี่ที่เดินจากไป สุดท้ายเม้มปากอย่างจนใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามไป
…………………………………………………………