ตอนที่ 225 เทพเจ้าแห่งโรคระบาด
คนอื่นๆ ก็เข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกัน ไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด เพียงแต่คนที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ล้วนแต่ไอออกมาเป็นระยะ
ลั่วเทียนเหอเปิดกล่องออก พบว่าข้างในเป็นของเหลวเหนียวๆ โปร่งแสง ด้านในของเหลวเหนียวๆ นั้นมีไข่มุกสีแดงขนาดประมาณไข่ไก่อยู่เม็ดหนึ่ง เขาลองดมกลิ่นดู เมื่อดมดูดีๆ ก็พบว่ามีกลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกสบาย เขายื่นนิ้วไปสัมผัสของเหลวเหนียวๆ ที่โปร่งแสงนั้น ไอออกมาอีกครั้งแล้วจึงกล่าวด้วยความสงสัยว่า “ของเหลวเหนียวๆ นี้ดูเหมือนจะเป็นโคลนเมฆนะ เพียงแต่ปกติโคลนเมฆจะเย็นสบาย แต่โคลนเมฆอันนี้กลับค่อนข้างอุ่น”
เว่ยผิงกงมองเขาราวกับมองคนโง่
จู่ๆ หนานชีหรูอันที่ทำตัวเหมือนคนไร้ตัวตนมาโดยตลอดก็กล่าวแทรกขึ้นมา “ไข่มุกสีแดงที่อยู่ในนั้นน่าจะเป็นหินเปลวเพลิงครับ อุณหภูมิอุ่นๆ น่าจะมาจากหินก้อนนั้นนั่นแหละครับ”
คนคนนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในโคลนเมฆคืออะไร เว่ยผิงกงหันไปมอง เอ่ยถามว่า “นายเป็นใคร?”
หนานชีหรูอันประสานมือขึ้นมาทันที กล่าวว่า “ผู้น้อยหนานชีหรูอันจากตระกูลหนานชีครับ”
เว่ยผิงกงร้องอ้อ “นายคือลูกนอกสมรสของหนานชีเหวินคนนั้นนี่เอง!”
สีหน้าของหนานชีหรูอันเปลี่ยนไปทันที คิดจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป สีหน้าเขาดูกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าหลังจากที่คนคนนี้ได้รับโทษก็มีความคับแค้นใจ พูดจาไม่ค่อยเกรงใจใครเท่าไร เขาถึงได้พยายามทำตัวเสมือนไร้ตัวตนมาโดยตลอด ใครจะไปรู้ว่าแค่ไม่ทันระวังเพียงนิดเดียว จะทำให้อีกฝ่ายสบโอกาสพูดจาหยาบคายออกมาแบบนี้ เรียกได้ว่าทำให้เขารู้สึกอับอายขึ้นมาทันที
แต่เขาก็ไม่กล้าต่อว่าอะไรอีกฝ่าย คนที่ผ่านโลกมาเยอะอย่างเว่ยผิงกงไม่มีทางเกรงกลัวตระกูลใหญ่โตเหล่านั้น อาศัยเพียงเส้นสายจากดินแดนหมิง หากเขาคิดจะเล่นงานตระกูลหนานชีจริงๆ เขาก็อาจเอาวิญญาณของคนตระกูลหนานชีที่ล่วงลับไปแล้วไปใส่ไว้ในท้องของสัตว์เดรัจฉานได้โดยไม่ยากเย็นอะไร เรียกได้ว่าน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก
เจียงซั่งซานกับจู๋เม่าที่ติดตามมาด้วยต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเขาเป็นคนของตระกูลหนานชี เว่ยผิงกงพูดจาดูหมิ่นผู้นำตระกูลเช่นนี้ ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะออกหน้าสักหน่อย แต่ก็หวั่นเกรงสถานะในอดีตของอีกฝ่าย พวกเขาจึงต้องอดทนไว้
ฉินอี๋พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ครั้งนี้ก็นับว่าได้รู้จักนิสัยใจคอของเว่ยผิงกงมากขึ้นอีกหน่อย ต่อไปหากมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา คงต้องเตรียมสภาพจิตใจมาให้พร้อมถึงจะคุยได้
หลินยวนยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนอย่างที่ผ่านมา เพียงแค่มองดูหนานชีหรูอันเล็กน้อยเท่านั้น
ไป๋หลิงหลงเองก็มองดูหนานชีหรูอันเช่นกัน
แต่สีหน้าของหลัวคังอันกลับดูสนอกสนใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพบว่าคำพูดคำจาของเว่ยผิงกงผู้นี้ไม่เหมือนใครเลย
ส่วนลั่วเทียนเหอกลับรู้สึกละอายใจ พยายามแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร แต่ในใจยังคงรู้สึกว่าคำพูดของเว่ยผิงกงหยาบคายไปหน่อย
บางเรื่องเป็นเพียงคำเล่าลือของสังคมภายนอกเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย แต่ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ หรือต่อให้เป็นเรื่องจริง บางเรื่องต่อให้ทางสภาเซียนจะปิดตาข้างหนึ่ง ไม่มานั่งตรวจสอบอย่างเป็นจริงเป็นจังอะไร เนื่องเพราะความดีความชอบเมื่อในอดีตและอิทธิพลในปัจจุบันของตระกูลหนานชีปรากฏอยู่ในเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นการจะมานั่งจัดการหนานชีเหวินเพียงคนเดียวจึงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
เพราะว่าตระกูลหนานชีไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ หากสภาเซียนคิดจะสั่นคลอนตระกูลหนานชีจริงๆ อย่างนั้นความผิดนี้ก็นับเป็นแค่หนึ่งในความผิดที่สามารถใช้เล่นงานตระกูลหนานชีได้เท่านั้น ไม่มีทางเป็นความผิดที่ร้ายแรงเด็ดขาด ความผิดเล็กๆ แบบนี้อาจจะถือเป็นหายนะร้ายแรงสำหรับตระกูลเล็กๆ แต่สำหรับตระกูลหนานชีแล้ว นั่นกลับเป็นเพียงการตัดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งไปเท่านั้น
ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสของหนานชีเหวินจริงๆ เรื่องแบบนี้ในดินแดนเซียนก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย
การที่ตั้งกฎเหล่านี้ขึ้นมา เป้าหมายก็เพื่อเป็นวิธีการควบคุมประชากรในดินแดนเซียนไม่ให้มีล้นจนเกินไป
พูดให้ชัดก็คือกฏส่วนมากนั้นมีไว้เพื่อพันธนาการคนที่ไม่มีความสามารถในการหาช่องโหว่ของกฏได้
กฏที่สามารถควบคุมคนส่วนใหญ่ได้ก็ถือว่าเป็นกฏที่ประสบความสำเร็จแล้ว
แต่แน่นอน กฎก็คือกฎ และไม่มีใครกล้าลองดีเอาตัวเองไปทดลองดู หากสภาเซียนไม่จัดการ สภาเซียนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? แล้วจะเอากฎไปไว้ที่ไหน?
การที่เปิดโปงออกมาตรงๆ อย่างเว่ยผิงกงนี้ มันทำให้คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเว่ยผิงกง มันก็ทำให้ความคิดเชื่อมโยงบางอย่างผุดขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยในใจของลั่วเทียนเหอก็กำลังเอ่ยพึมพำกับตัวเองอยู่ หรือว่าหนานชีหรูอันผู้นี้จะเป็นลูกชายแท้ๆ ของหนานชีเหวินจริงๆ?
และนี่ก็คือเหตุผลที่หนานชีหรูอันกลัวเว่ยผิงกง หนึ่งในบุคคลระดับสูงของดินแดนหมิงเมื่อในอดีต ย่อมต้องล่วงรู้ความลับบางอย่างได้ไม่ยากเย็นอะไร เป็นความลับที่ทำให้เขาหวาดกลัว
อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นลูกนอกสมรสของหนานชีเหวินจริงหรือเปล่า แต่บางเรื่องถ้าหากดินแดนหมิงต้องการสืบหาอย่างจริงจังขึ้นมาล่ะก็ เรื่องที่ว่าใครไปเกิดอยู่ในท้องของใครย่อมต้องสามารถสืบออกมาได้ไม่ยากเย็นอะไร เดิมทีเรื่องแบบนี้มันก็อยู่ในการควบคุมของดินแดนหมิงอยู่แล้ว
อย่างน้อยหนานชีเหวินก็กำชับเขามาเป็นพิเศษแล้วว่าพยายามอย่าไปมีเรื่องอะไรกับเว่ยผิงกง
แต่แน่นอน ในเวลาปกติแล้ว การเปิดเผยเรื่องเวียนว่ายตายเกิดถือเป็นเรื่องต้องห้าม หากว่าฝ่าฝืนกฎธรรมชาติจนธรรมชาติพิโรธขึ้นมา ไม่ว่าเทพองค์ไหนก็ไม่สามารถหยุดได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ กระทั่งสภาเซียนก็ไม่กล้าไปแตะต้องเรื่องแบบนั้น
แต่เรื่องบางเรื่อง ถ้าเกิดไปทำให้ใครบางคนโมโหขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นมันก็บอกได้ยากแล้ว
เมื่อถูกคนพูดตอกหน้าแบบนี้ หนานชีหรูอันไม่อาจยอมรับเงียบๆ ได้ เขาตอบเสียงอ่อยๆ กลับไปว่า “หนานชีเหวินเป็นพ่อบุญธรรมของผมครับ”
“หืม?” เว่ยผิงกงสองมือไพล่หลัง ส่งเสียงหึหึอย่างเย็นชาพลางกล่าว “นายคิดจะลองดีกับฉันให้ได้ใช่ไหม?”
หนานชีหรูอันตกใจ กลัวเขาจะพูดอะไรออกมาจริงๆ จึงรีบโค้งตัวก้มหน้า “ไม่กล้าครับ!”
หลัวคังอันแสยะยิ้มอย่างสนุกสนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคุณชายที่ดูสง่างามผู้นี้พินอบพิเทาถึงขนาดนี้ ปกติแล้วทำตัวสูงศักดิ์อยู่เป็นประจำ เหอะ ไม่เห็นเท่าไรเลยนี่นา
อันที่จริงแล้วหนานชีหรูอันเองก็ค่อนข้างกลุ้มใจ รู้สึกว่าตนเองเสียหน้าต่อหน้าฉินอี๋
เว่ยผิงกงแค่นเสียงเหอะ แล้วก็นับว่าละเว้นเขา “สมแล้วที่เป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวย ความรู้กว้างขวางใช้ได้ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าของที่อยู่ในโคลนเมฆคืออะไร ลั่วเทียนเหอ เสียแรงที่ท่านมาจากวังเซียน กระทั่งความรู้แค่นี้ก็ยังสู้เขาไม่ได้เลย”
ลั่วเทียนเหอกระแอมเล็กน้อย ดึงประเด็นสนทนากลับมา “ของพวกนี้เกี่ยวข้องกับ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ หรือ?”
เว่ยผิงกง “ดูท่าทางท่านเจ้าเมืองจะอ่านหนังสือมาน้อยจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็ไปอ่านบันทึกที่เกี่ยวกับ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ที่หอหนังสือสวรรค์ที่หลิงซานดูนะ ความสามารถในการอยู่รอดของ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ นั้นแข็งแกร่งมาก สิ่งที่สามารถสะกดมันได้อยู่หมัดที่สุดก็คือไฟ หากไม่เจอไฟล่ะก็ เจ้าสิ่งที่เล็กจ้อยเหมือนฝุ่นละอองนี้ก็ยากจะถูกกำจัดออกไปได้ หากเจ้าสิ่งนี้ไปอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิต มันจะเข้าสู่สภาวะจำศีล โคลนเมฆทำให้เก็บรักษามันเอาไว้ได้ เมื่อถูกเก็บรักษาอยู่ในโคลนเมฆมันก็เข้าสู่ในภาวะจำศีล และเมื่อได้เจอกับอุณหภูมิที่เหมาะสมมันก็จะตื่นขึ้นมา”
ลั่วเทียนเหอเข้าใจทันที เขาจ้องมองสิ่งของในมือ กล่าวเสียงเข้มว่า “มีคนเอาเจ้าสิ่งนี้เข้ามาไว้ในโรงงาน แล้วก็แอบปลุกมันขึ้นมา!”
เว่ยผิงกงพยักหน้าเล็กน้อย “ทันทีที่ได้เห็นอาการของทุกคน ผมก็นึกสงสัยแล้วว่าจะเป็น ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ และเมื่อรวมกับเรื่องที่คนที่เข้ามาในโรงงานวันนั้นต่างก็ติดเชื้อด้วยเหมือนกัน ผมกำลังคิดว่าการที่สามารถคำนวณเวลามาดีขนาดนี้ได้ มันก็มีความเป็นไปได้แค่สองกรณีเท่านั้น นั่นคือถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนำเอาเจ้าสิ่งนี้เข้ามาในวันนั้น ก็แสดงว่าต้องมีคนแอบเอาเจ้าสิ่งนี่เข้ามาวางไว้ในโรงงานก่อนล่วงหน้าแล้ว”
“วันนั้นมีคนเข้ามาตั้งมากมายขนาดนั้น ถ้าจะต้องตรวจค้นหาทุกคนคงจะยุ่งยากน่าดู ผมเองก็ไม่ได้มีอำนาจไปสืบหาอะไรในเมืองปู๋เชวี่ย จึงเพียงแค่ทำในสิ่งที่ผมสามารถทำได้ ผมจึงลงมือตรวจสอบตามสมมติฐานอีกข้อหนึ่งทันที นั่นคือถ้ามีคนแอบเอามาเจ้าสิ่งนี้มาวางไว้ในโรงงานล่วงหน้า เช่นนั้นมันก็จะต้องมีพาหะอย่างแน่นอน ผมจึงสั่งให้คนตรวจค้นทั่วทั้งโรงงานทันที จนกระทั่งเจอเจ้าสิ่งนี้อยู่ในใต้ดิน นี่จึงเป็นการยืนยันว่าการคาดเดาของผมถูกต้อง”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “แบบนี้ก็แสดงว่าเรามั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่าเป็นเพราะ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จริงๆ ไม่ใช่โรคระบาดอื่นๆ?”
เว่ยผิงกง “มั่นใจได้แล้ว ผมรายงานทางสภาเซียนไปแล้ว”
ลั่วเทียนเหอเอ่ยถาม “ดังนั้นลูกน้องหลายคนของผบ.เว่ยกินยาแก้ไปแล้วเหรอครับ?” เรื่องนี้ เว่ยผิงกงไอแห้งๆ ทำเหมือนไม่ได้ยิน ก่อนหน้านี้เพิ่งคุยโวไป จะมาถูกเปิดโปงต่อหน้าทุกคนแบบนี้ก็คงไม่ดีมั้ง
เมื่อเห็นเขาเงียบไป นี่เท่ากับเป็นใช้ฤทธิ์ยามาพิสูจน์แล้ว ลั่วเทียนเหอถอนหายใจหนักๆ อย่างโล่งอก “นับเป็นความโชคดีในความโชคร้าย ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้จะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้ง่าย แต่ขอแค่ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ไม่ขยับไปไหน เรากลับไม่ต้องกังวลว่ามันจะแพร่ระบาด”
หลัวคังอันอดกล่าวไม่ได้ “อย่างนั้นก็แสดงว่ามียาแก้พิษสินะครับ ไม่ใช่ว่าไม่มียาที่แก้ได้?” เขาเป็นห่วงชีวิตน้อยๆ ของตัวเองอย่างมาก
เว่ยผิงกงเหลือบมองเขา ส่งเสียงอืมตอบ
หลัวคังอันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาแสยะยิ้มให้หลินยวนด้วยท่าทางยินดี
แต่ฉินอี๋กลับถาม “อะไรคือ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ หรือคะ?”
ลั่วเทียนเหอถอนใจ “มันคือชื่อของเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อน เป็นเพราะเทพคนนี้ถนัดเรื่องการสร้างโรคระบาด ก็เลยถูกเรียกว่าเทพเจ้าแห่งโรคระบาด เขาน่ากลัวมากๆ หากเทพคนนี้โกรธขึ้นมา เขาสามารถทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนได้เลย ในตอนที่เกิดศึกเปลี่ยนผ่านราชวงศ์นั้น เทพเจ้าแห่งโรคระบาดถูกสังหาร ก่อนที่จะตาย เขาได้แสดงอิทธิฤทธิ์ครั้งสุดท้ายออกมา ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร แต่เขาทำให้ร่างกายตัวเองแตกกระจาย กลายเป็นแมลงตัวเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน”
“ตอนนั้นทุกคนล้วนคิดว่าร่างกายของเขาสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว แต่หลังจากนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เกิดปัญหา กระทั่งมีคนล้มตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน สภาเซียนถึงจะพบสาเหตุ แมลงที่แตกกระจายออกมาจากร่างกายของเขาสามารถปล่อยพิษชนิดหนึ่งได้ เป็นเพราะแมลงนี้ตัวเล็กมากๆ แม้แต่ตัวของแมลงเองก็มักจะถูกมองข้ามไปเพราะนึกว่าเป็นฝุ่นผง เพราะฉะนั้นพิษที่มันปล่อยออกมาจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหน เนื่องเพราะมีคนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นสภาเซียนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดมัน แต่ก็เพราะว่าตัวมันเล็กเกินไป ยากที่จะเห็นตำแหน่งทิศทางที่แน่ชัดของมันได้ ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะกำจัดได้หมด จนทำให้ยังมีพิษหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้”
ฉินอี๋เอ่ยอย่างกังวล “ยารักษาคืออะไรคะ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ขอแค่เป็นยาเซียนแก้พิษที่มีประสิทธิภาพสูงก็ล้วนแก้พิษได้ทั้งสิ้น” กล่าวจบก็พลิกมือหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด บีบเปลือกให้แตกออก กลิ่นหอมชวนให้รู้สึกปลอดโปร่งสายหนึ่งลอยออกมา เขากลืนยานั้นลงไป ใช้พลังสลายยาที่อยู่ในท้องอย่างเงียบๆ
เจียงซั่งซานกับจู๋เม่าเองก็หยิบยาแก้พิษออกมา ขณะที่เตรียมจะกินลงไป พวกเขาก็มองไปทางหนานชีหรูอันพร้อมกัน จู๋เม่าเอ่ยถาม “คุณชายมียาแก้พิษพกติดตัวไหมครับ?”
หนานชีหรูอันพยักหน้า “มี” เขาเองก็หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด ทั้งสามคนทยอยกินยาลงไป
เว่ยผิงกงที่มองอยู่อีกด้านด้วยสายตาเย็นชาพลันเอ่ยเตือนลั่วเทียนเหอเสียงเบาๆ “เรื่องยารักษาอย่าเพิ่งพูดออกไปจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนแตกตื่นเอาได้ เอาไว้เดี๋ยวค่อยคิดวิธีกันอีกทีแล้วกัน”
“เห้อ!” ลั่วเทียนเหอมองไปรอบๆ พลางถอนหายใจ
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ สายตาฉินอี๋ก็เป็นประกายขึ้นมา
หลัวคังอันเองก็รีบหยิบเอาขวดยาขวดเล็กๆ ที่สามารถถืออยู่ในฝ่ามือได้ขวดหนึ่งออกมาจากแหวนสารพัดนึก เปิดจุกขวดออก จากนั้นกวักมือเรียกหลินยวน บอกให้เขายื่นมืออกมา ส่งเสียงฮี่ๆ พลางเอ่ยว่า “โชคดีที่ตัวฉันมียาแก้พิษพกติดตัวอยู่ มา เรากินสองเม็ดเลย ป้องกันไว้หน่อย”
หลินยวนมองยาสีแดงที่เขาเอาออกมา รู้สึกหมดคำพูด ในใจรู้ว่ายาแก้พิษของเขาใช้ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังกัดฟันฝืนยื่นมือออกไปรับมา
เว่ยผิงกงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเหอะๆ ด้วยเสียงเย็นชา “ทำไมหลงซืออวี่ถึงได้มีลูกศิษย์อย่างนายได้นะ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าตอนอยู่หลิงซานไม่ตั้งใจเรียน ยาของนายถ้ากินไปแล้วแข็งแรงได้ก็แปลกแล้ว เจ้าโง่ ยาแก้ของนายมันไร้ประโยชน์”
หลัวคังอันเงยหน้าขึ้นทันที “ทำไมล่ะ? ฤทธิ์ยาไม่พอเหรอครับ เรากินเยอะหน่อยก็ไม่ได้เหรอครับ?”
เว่ยผิงกงกล่าว “สมองก็ไม่มีแล้วหูยังไม่ดีอีกเหรอ? ท่านเจ้าเมืองลั่วก็พูดไปแล้วไงว่าต้องเป็นยาแก้พิษประสิทธิภาพสูงเท่านั้นถึงจะใช้ได้ ของนายนี่มันยาบ้าอะไรเนี่ย?”
หลัวคังอันยิ้มกระอักกระอ่วนกล่าว “ดูท่านผบ. พูดเข้าสิครับ คงไม่ขนาดนั้นมั้งครับ ยาของผมก็ถือว่าเป็นยาวิเศษระดับสูงเหมือนกัน พวกพิษปกติก็ช่วยกำจัดพิษออกไปได้ ประสิทธิภาพสูงนะครับ”
เว่ยผิงกงกล่าวอย่างดูแคลน “แล้วนี่มันคือพิษปกติเหรอ? อยากจะแก้พิษจาก ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ก็ต้องยาเซียนแก้พิษระดับโอสถสีทองถึงจะได้ผล”
“โอสถทอง?” หลัวคังอันยิ้มไม่ออกทันที หน้าพลันถอดสี กล่าวว่า “ยาระดับนั้นราคาอย่างน้อยๆ ก็เป็นสิบล้านเลยนะครับ!”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป สีหน้าของฉินอี๋ก็เปลี่ยนทันที “ยาระดับโอสถทอง?”
…………………………………………………………………………..