ตอนที่ 229 มียาแก้
ปัญหาที่พูดถึงย่อมหมายถึงการแก้พิษของ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการมาของคนคนนี้น่าจะมาเพราะเรื่องนี้
เขาแนะนำอาจารย์หลางเพียงคนเดียวก็พอแล้ว เพราะอีกคนย่อมต้องเป็นคังซ่า หนึ่งในหกแม่ทัพเทพแห่งวังพิฆาตมาร
ฉินอี๋มองสำรวจคังซ่าผู้ที่ดูท่าทางน่าเกรงขามเล็กน้อย แต่สายตาส่วนใหญ่ยังคงมองไปที่อาจารย์หลาง ในสายตาเต็มไปด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยแก้ไขเรื่องโรคร้ายที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ ไม่อย่างนั้นหอการค้าตระกูลฉินคงจะรับไม่ไหว
คังซ่าที่เข้ามาข้างในกวาดสายตาเย็นชามองไปรอบๆ โรงงานสร้างข่ายพลัง มือตบไปบนเขาของอสูรเกล็ดมังกรเบาๆ อสูรเกล็ดมังกรหยุดเคลื่อนไหวทันที
คังซ่าผายมือให้อาจารย์หลางเพื่อสื่อว่า ‘เชิญ’ ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทะยานออกไปพร้อมกับคังซ่า ไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกลั่วเทียนเหอ
เด็กหนุ่มสาวรูปงามอีกคู่บินลงมาจากหลังของอสูรเกล็ดมังกรเช่นกัน มายืนอยู่ด้านหลังของอาจารย์หลางอย่างว่าง่าย
“คารวะท่านแม่ทัพเทพ” พวกของลั่วเทียนเหอทำความเคารพ
คังซ่ามองสำรวจลั่วเทียนเหออยู่ครู่หนึ่ง เขาย่อมต้องรู้เรื่องที่กัวฉีสวินถูกหักหน้าครั้งที่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้หักหน้าลั่วเทียนเหอต่อหน้าทุกคน หากแต่ประสานมือแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองลั่ว”
ลั่วเทียนเหอเองก็ประสานมือให้อาจารย์หลางพร้อมกล่าวยิ้มๆ ด้วย “ไม่คิดเลยว่าอาจารย์จะมาด้วยตัวเอง”
อาจารย์หลางกล่าวยิ้มๆ “เทียนเหอ เราไม่ได้เจอกันมานานหลายปีเลยนะ”
“ใช่ครับ” ลั่วเทียนเหอโค้งตัวเล็กน้อย เมื่อก่อนเขาก็อยู่ในวังเซียนเช่นกัน ทั้งสองเรียกได้ว่ารู้จักคุ้นเคยกันดี
คังซ่ามองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถาม “ผบ.เว่ยอยู่ที่ไหนครับ?”
ลั่วเทียนเหอชี้ขึ้นไปยังถ้ำที่อยู่บนหน้าผา “ไม่รู้ว่าผบ.เว่ยทราบหรือไม่ว่าท่านแม่ทัพเทพมา”
คังซ่ามองตามมือไป เขาทราบดี ที่นี่ล้วนเป็นทหารของเว่ยผิงกง อีกฝ่ายจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าเขามาที่นี่แล้ว?
ได้ยินว่าหลังจากคนคนนั้นถูกลดขั้นก็กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันหน้ากลับมากล่าวว่า “เดี๋ยวผมจะไปพบผบ.เว่ยหน่อย อาจารย์หลาง ทางนี้ฝากอาจารย์ดูแลด้วยนะครับ”
อาจารย์หลางพยักหน้าพลางส่งเสียงอืม
คังซ่าพาลูกน้องสองคนบินขึ้นไป เพียงพริบตาก็ไปถึงที่ลานด้านนอกถ้ำบนหน้าผาแล้ว เขาเห็นหลัวคังอันที่ไอไม่หยุด มือไม้ปั่นป่วนถอยหลบไปด้านหนึ่ง
หลัวคังอันรู้จักเขา เคยเจออีกฝ่ายเมื่อครั้งที่อยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง แล้วก็ไม่ได้เจอกันแค่ครั้งเดียว หากแต่เคยเจอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่สายตาของอีกฝ่ายที่กวาดมองดูกลุ่มคนคงไม่มีทางสังเกตเห็นตัวเขาแน่
ผู้มาเยือนถูกโม่ซินยื่นมือออกมาขวางไว้
คังซ่ากล่าวทันที “ไปแจ้งผบ.เว่ย บอกว่าคังซ่ามาขอพบ”
“รอสักครู่ครับ” โม่ซินกล่าวจบก็หันหลังเข้าไปข้างใน
หลัวคังอันที่อยู่อีกด้านดูค่อนข้างคุ้นตา คังซ่าหันไปมองอย่างละเอียดจนจำได้ กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “หลัวคังอัน? ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
หลัวคังอันคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะภูมิใจดีหรือไม่ กังวลว่าที่อีกฝ่ายจดจำตัวเองได้จะเป็นเพราะเรื่องที่ตนไปเที่ยวคุยโวว่าช่วยเหลือท่านสองหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่เขาถูกเตะออกมาจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงนั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังพิฆาตมารอย่างแน่นอน เขาจึงกล่าวทำความเคารพอย่างกลัวๆ “หลัวคังอันคารวะท่านแม่ทัพเทพ ผมเป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉินครับ ได้รับคำสั่งจากหอการค้าให้มาคอยช่วยผบ.เว่ยจัดการงานในช่วงนี้…แค่กๆ!” เขาไออย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
คังซ่าพยักหน้าเล็กน้อย ถ้าหลัวคังอันแค่มีชื่อเสียงขึ้นมาจากงานประมูล เขาคงไม่มานั่งพูดคุยกับอีกฝ่ายขนาดนี้ แต่หลงซืออวี่ผู้เป็นอาจารย์ของหลัวคังอันนั้นเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุคคลที่เขาต้องให้ความเคารพ แม้ว่าหลงซืออวี่จะทำผิดจนถูกประหารไปแล้ว แต่จะมากจะน้อยหลัวคังอันก็ยังถือเป็นลูกศิษย์ของเขาอยู่
มนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะประสบความสำคัญหรือไม่ บางครั้งเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาก็ทำให้คนๆ นั้นไม่ธรรมดา
เขามองดูหลัวคังอันที่ไอจนหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยถามว่า “นายก็ติดเชื้อด้วยเหรอ?”
หลัวคังอันพยักหน้าอย่างทอดถอนใจ กล่าวว่า “ครับ!”
ภายในหัวหลัวคังอันพลันมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา อีกฝ่ายจะต้องมียาเซียนแก้พิษระดับสูงพกติดตัวมาด้วยแน่นอน จะเอ่ยปากร้องขอดีไหมนะ ถ้าเอ่ยปากขอ อีกฝ่ายน่าจะไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ ไม่แน่อาจจะมอบยาแก้พิษให้เขาก็ได้
ที่เขามีความคิดแบบนี้เพราะว่าอาการไอมันทรมานจริงๆ เป็นความรู้สึกที่จะอยู่ก็ลำบากจะตายก็ไม่ได้
แต่เขาก็เพียงแค่คิดเท่านั้น พอนึกถึงเรื่องที่ตนไปโอ้อวดว่าช่วยเหลือท่านสองขึ้นมา สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
ในเวลานี้โม่ซินก็เดินออกมา ผายมือกล่าว “เชิญครับ”
คังซ่ารีบก้าวเข้าไปทันที ส่วนผู้ติดตามสองคนถูกโม่ซินยกมือขวางไว้ คังซ่ายกมือขึ้นทั้งที่ยังหันหลังอยู่ ผู้ติดตามทั้งสองคนจึงทำได้เพียงรออยู่ที่ด้านนอกถ้ำ
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เว่ยผิงกงก็วางไหสุราแล้วเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะ รีบก้าวไปข้างหน้า ประสานมือแสดงความเคารพ “ผู้น้อยไม่ทราบมาก่อนว่าท่านแม่ทัพเทพจะมา จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ ขอท่านแม่ทัพเทพโปรดให้อภัยด้วยครับ!”
คังซ่ารีบพุ่งตัวเข้าไปใกล้ๆ สองมือประคองของเขาไว้ไม่ให้ทำความเคารพ กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เว่ยซยง อย่าทำแบบนี้สิ ทำไมต้องมาเสแสร้งทำอะไรแบบนี้ด้วย แบบนี้ฉันรู้สึกไม่ดีนะ”
“รู้สึกไม่ดีเหรอ?” เว่ยผิงกงเหลือบมองขึ้นมา แล้วก็ไม่ฝืนทำอีก ยืดตัวยืนตรงแล้วเอ่ยว่า “ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ช่างเถอะ แซ่เว่ยตำแหน่งต่ำต้อย ท่านแม่ทัพเทพไม่ถือโทษก็นับเป็นเรื่องดี”
คังซ่าถอนใจกล่าว “เว่ยซยง เราสองคนต่างก็รู้จักคุ้นเคยกันดี เมื่อก่อนตอนฉันไปทำงานที่ดินแดนหมิง เว่ยซยงก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี พวกเราอย่าทำตัวน่ากระอักกระอ่วนแบบนี้เลย ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน เทพเซียนก็เหมือนกัน มีขึ้นมีลงเป็นปกติธรรมดา กระทั่งท่านสองยังเคยถูกลดขั้นเลย องค์จักรพรรดิให้ความสำคัญกับเว่ยซยงมาก หากมีองค์จักรพรรดิคอยช่วยพี่พูดล่ะก็ ฉันว่าไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวนายต้องได้กลับไปรับตำแหน่งแน่นอน”
เว่ยผิงกงหมุนตัว เดินกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะผายมือเชิญเขานั่งเช่นกัน “เรื่องราวมันไม่เหมือนกัน เรื่องที่จะได้กลับไปคงไม่มีหวังแล้วล่ะ”
คังซ่าเดินมานั่งลง กล่าวอย่างแปลกใจ “พูดถึงเรื่องนี้ แซ่คังก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเว่ยซยงไปทำอะไรผิดกันแน่ จู่ๆ ก็บอกว่าเว่ยซยงทำผิด บอกลดตำแหน่งก็ลดเลย ทางฉันไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียวเลย”
เว่ยผิงกงพลันหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา กล่าว “นายอยากรู้จริงๆ เหรอ? ถ้านายกล้ารู้ ฉันก็กล้าบอก นายต้องคิดให้ดีล่ะ”
“เอ่อ…” คังซ่าได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกสับสนลังเลขึ้นมา ถามว่าตนเองกล้าจะรู้หรือเปล่าอย่างนั้นเหรอ? แบบนี้เขาก็ไม่มั่นใจแล้ว จึงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เอ่ยหยั่งเชิงว่า “เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้เหรอ?”
เว่ยผิงกงเอ่ยหยอกล้อว่า “ถึงยังไงฝ่าบาทก็ต้องทรงทราบอยู่แล้ว ท่านสองเป็นหลานชายของพระองค์ไม่ใช่หรือไง ให้ท่านสองไปถามดูก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ”
คังซ่าหยุดพูดเรื่องนี้ทันที เขาหยิบสุราชั้นดีออกมาจากแหวนสารพัดนึกสามสี่ไห “นี่คือสุราเลิศรสจากวังเซียน ท่านสองให้ฉันมา รู้ว่าช่วงนี้เว่ยซยงชอบ ก็เลยตั้งใจเอามาให้เว่ยซยงแก้กลุ้ม น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขอเว่ยซยงอย่าได้รังเกียจ”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธแล้วกัน” เว่ยผิงกงเปิดจุกสุราไหหนึ่งทันที ยื่นจมูกเข้าไปสูดดมกลิ่นหอมของสุราเล็กน้อย ก่อนจะยกขึ้นดื่มทันที ดื่มเสร็จก็หัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวชม “เหล้าดี! ไม่ได้ดื่มเหล้าดีๆ แบบนี้มานานแล้ว”
คังซ่ากล่าวยิ้มๆ “ถ้าเว่ยซยงชอบ เอาไว้ครั้งหน้ามีโอกาส เดี๋ยวฉันพยายามเอามาให้เว่ยซยงอีก”
“ฉันจำคำนี้ไว้แล้วนะ” เว่ยผิงกงวางไหสุราลง เอ่ยถาม “ทำไมวังพิฆาตมารถึงมาที่นี่เองล่ะ แถมยังให้นายนำทัพด้วยตัวเองอีก?”
คังซ่าอธิบาย “นี่ไม่ใช่ว่าวังพิฆาตมารข้ามเส้นหรืออย่างไร แต่เพราะเรื่องนี้มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกกบฏ จากที่เว่ยซยงรายงานทางสภาเซียนว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่อาจจะเป็นเพราะ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานานได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว เว่ยซยงก็น่าจะรู้ ว่ากันว่าในมือของ ‘เว่ยเต้า’ ที่เป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์มีของสิ่งนี้อยู่ในมือ แล้วสภาเซียนจะไม่ป้องกันได้อย่างไร?”
เว่ยผิงกงร้องโอ้ “อย่างนี้นี่เอง ฉันก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน”
คังซ่ากล่าว “ไม่ใช่แค่ฉัน แต่อาจารย์หลางที่เป็นหัวหน้าแพทย์ของวังเซียนก็ถูกส่งตัวมาตรวจสอบสถานการณ์ด้วยเช่นกัน เดิมทีท่านสองจะมาด้วยตัวเอง แต่กว่าเรื่องจะถูกส่งถึงสภาเซียนแล้วทำการตัดสินใจอีกที กว่าทางวังพิฆาตมารจะรวบรวมกำลังพลเสร็จเรียบร้อยอีกครั้ง เวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านสองจึงล้มเลิกความคิดที่จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ถึงอย่างนั้นทางนั้นก็เตรียมกองกำลังไว้แสนนาย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ท่านสองจะนำทัพมาด้วยตัวเอง ดังนั้น เว่ยซยงวางใจได้ แค่เตรียมพร้อมเอาไว้ ไม่มีอะไรต้องกังวล”
เว่ยผิงกงกล่าว “ฉันไม่กลัวคนมาก่อเรื่องหรอก แต่เรื่องคนที่ถูกพิษจำนวนมากนี่สิจะทำยังไง? ถูกพิษของ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ น่ะไม่กลัวหรอก กลัวก็แต่คนถูกพิษเป็นจำนวนมากนี่สิ ทหารของสภาเซียนกว่าหมื่นคนติดเชื้อกันหมด!”
คังซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จริงๆ อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน แล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันด้วย เดี๋ยวพออาจารย์หลางตรวจสอบและรายงานขึ้นไปแล้ว ทางสภาเซียนก็จะตัดสินใจเอง”
ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินออกมาจากถ้ำด้วยกัน
ช่วยไม่ได้ อาจารย์หลางคือคนที่วังเซียนส่งมาตรวจสอบสถานการณ์ ในฐานะที่เว่ยผิงกงเป็นคนดูแลที่นี่ เขาไม่เพียงแต่จะต้องไปทักทายเท่านั้น แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องไปบอกเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย จะไปทำวางท่ากับคนของทางวังเซียนก็คงไม่เหมาะ ถ้าเรื่องไปถึงวังเซียนมันจะไม่ดี
กระทั่งทั้งสองคนเดินมาถึง อาจารย์หลางก็ตรวจอาการผู้ติดเชื้อไปหลายคนแล้ว พอเห็นเว่ยผิงกงเดินมา อาจารย์หลางจึงโบกมือให้คนพาผู้ป่วยกลับไปส่ง จากนั้นหันกลับมากล่าว “เรื่องที่ผบ.เว่ยรายงานไปนั้นไม่ผิดเลย เกิดจาก ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จริงๆ ด้วย” เขาโบกมือไปรอบๆ “ผบ.เว่ยเองก็จัดการสถานการณ์ที่นี่ได้ดีทีเดียว น่าจะกำจัด ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ที่อยู่ที่นี่ไปหมดแล้ว”
เว่ยผิงกง “ไม่มีอะไรจัดการดีไม่ดีหรอกครับ ผมป้องกันดูแลที่นี่ไม่รอบคอบเอง ปล่อยให้คนฉวยโอกาสมาทำเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำความดีความชอบอะไร ขอเพียงไม่ทำงานผิดพลาดก็พอแล้ว วิธีจัดการนี้ผมก็ได้มาจากท่านอาจารย์นั่นแหละครับ จากที่ผมรู้มา ในตอนที่ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ระบาดเมื่อครั้งที่แล้ว อาจารย์หลางเคยเข้าไปลงมือจัดการด้วยตัวเอง ตอนนี้มีผู้ป่วยอยู่ตรงหน้ามากมายแบบนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์พอมีวิธีช่วยไหมครับ?”
ฉินอี๋ที่อยู่ข้างๆ อยากจะถามคำถามนี้พอดี แววตาจึงปรากฏความหวังขึ้นมาทันที
อาจารย์หลางกล่าวว่า “ตอนที่ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ระบาดเมื่อครั้งก่อนมันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ถึงแม้วิธีการรักษาตามปกติจะใช้การได้ แต่ยาเซียนแก้พิษระดับสูงนั้นผลิตได้ไม่ง่ายเลย วัตถุดิบมีน้อยและราคาแพง ไม่สามารถผลิตออกมาให้เพียงพอสำหรับทุกๆ คนได้ เป็นเหตุให้ตอนนั้นจึงมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจนต้องตายไปนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ฉันถึงได้คอยคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด ภายใต้การสนับสนุนของสภาเซียน หลายปีมานี้ฉันศึกษาวิธีการแก้พิษมาตลอด สุดท้ายก็หาวิธีแก้พิษอีกวิธีหนึ่งเจอ เพียงแต่การจะผลิตยาแก้พิษเป็นจำนวนมากจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ พูดไปแล้วก็รู้สึกผิด แต่ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่ใช้จะรับมือกับ ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ได้อย่างสมบูรณ์ได้”
เว่ยผิงกง “ในเมื่อมีวิธีการรักษาอีกแบบแล้ว อย่างนั้นอาจารย์ก็น่าจะมียาแก้อยู่ในมือบ้างใช่ไหมครับ?”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของติดเชื้อกันเยอะขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับผิดชอบ จะให้มองคนตายไปโดยไม่ช่วยไม่ได้ เขาย่อมต้องเป็นกังวลอยู่แล้ว
อาจารย์หลางพยักหน้า “ฉันทำยาแก้ออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง”
เว่ยผิงกง “ที่นี่รวมๆ แล้วมีคนอยู่ประมาณสองหมื่นกว่าคน ยาแก้จะมีพอไหมครับ?”
อาจารย์หลางกล่าว “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าพอหรือไม่พอ ขอเพียงนำมาใช้งาน จะรักษาคนมากน้อยเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ยาแก้พิษนี้ค่อนข้างพิเศษ ถ้าเกิดใช้แล้วจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว ถ้าเกินเวลาไปยาจะหมดฤทธิ์ ตอนนี้มียาแก้อยู่เพียงชุดเดียวเท่านั้น”
มียาแก้? ฉินอี๋ได้ยินก็ดีใจมาก
เว่ยผิงกงเองก็กล่าวอย่างยินดี “ในเมื่อมียาแก้ อย่างนั้นรบกวนอาจารย์หลางรีบเอาออกมาช่วยคนเลยครับ จะได้ไม่มีใครต้องทรมานอีก”
อาจารย์หลางดล่าว “ยานั่นไม่ได้อยู่ในมือฉันน่ะสิ ในตอนที่ทำการทดลองตอนนั้น ฉันใช้ยาส่วนที่เหลือไปหมดแล้ว ยาแก้ที่เหลืออยู่เพียงชุดเดียวก็เก็บไว้ที่วังเซียน องค์ฮองเฮาทรงเก็บดูแลไว้เอง ถ้าจะใช้ก็ต้องขอให้ทางวังเซียนนำออกมา พวกเธอยื่นเรื่องขอขึ้นไปตามกฎได้เลย”
………………………………………………………………..