ตอนที่ 239 ดาบในมือของฝ่าบาท
หลังจากที่โทรคุยกับหลัวคังอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินยวนที่วางสายไปก็หันมากำชับลู่หงเยียนอีกครั้ง “หาคนที่ไว้ใจได้ให้ติดต่อพวกลักลอบขนของเถื่อนจากโลกมนุษย์ที่ตลาดมืด ดูว่าโลกมนุษย์มีของอะไรใหม่ๆ บ้าง ซื้อพวกเครื่องหอมจากโลกมนุษย์มาหน่อย แล้วไปรอเจอกับฉันที่เมืองหมอก”
ลู่หงเยียนที่ได้ยินเขากับหลัวคังอันคุยกันรู้เจตนาของเขาแล้ว จึงพยักหน้าเงียบๆ
…..
หลัวคังอันที่หลบไปรับโทรศัพท์อยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้านค่อนข้างตื่นเต้น ให้หาเครื่องหอม? เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลินยวนกำลังทำอะไรอยู่ จะหานางพญาหนอนแห่งความฝันแล้วเอาเครื่องหอมมาทำไม?
แต่นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น ยิ่งเป็นการเตรียมการที่ดูแปลกๆ แบบนี้ มันก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าหลินยวนไม่ได้ทำอะไรแบบไม่มีเป้าหมาย
เขากดโทรศัพท์โทรไปหาฉินอี๋ หลังจากนั้นก็กลับไปที่ห้องนอนของตนเองด้วยท่าทีครึ้มอกครึ้มใจ
เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเองหานางพญาหนอนแห่งความฝันมาได้ นึกถึงภาพที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือในตอนที่ตนเองเป็นวีรบุรุษผู้พลิกสถานการณ์ให้หอการค้าตระกูลฉินอีกครั้ง ในใจเขาก็อดเคลิบเคลิ้มมีความสุขขึ้นมาไม่ได้
จูเก่อม่านที่นั่งดูแลผิวพรรณหลังอาบน้ำเสร็จอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งกรีดร้องออกมา จู่ๆ เธอก็ถูกหลัวคังอันอุ้มขึ้นมาแล้วโยนลงบนเตียง สุดท้ายเสื้อผ้าก็ปลิวกระจัดกระจาย ร่างกายของทั้งสองคนเกี่ยวกระหวัดกันอย่างมีความสุข
……
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านพ้นไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ จูเก่อม่านที่นอนอิงแอบอยู่บนร่างของหลัวคังอันเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ทำไมพอรับโทรศัพท์กลับมาแล้วถึงดูตื่นเต้นขึ้นมาล่ะคะ?”
เวลานี้ขวัญกำลังใจของเหล่าพนักงานในหอการค้าตระกูลฉินค่อนข้างตกต่ำ ต่างกังวลว่าหอการค้าจะไปไม่รอด ต่างกำลังเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง เธอไม่เข้าใจว่าคนคนนี้มีความสุขเรื่องอะไร
แต่ถ้าหลัวคังอันมีความสุข เธอก็มีความสุขด้วย ขอเพียงคนคนนี้สามารถผ่านพ้นมันไปได้ ตัวเธอที่อยู่กับเขาก็ย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว
หลัวคังอันเป็นที่พึ่งพิงของเธอ ในสายตาของเธอ หลัวคังอันเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ
เธอรู้สึกว่าชีวิตในตอนนี้ดีมาก รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก พวกผู้หญิงที่เคยเที่ยวเล่นอยู่กับเธอเหล่านั้นต่างตามเธอไม่ทันแล้ว ล้วนพาอิจฉาเธอกันหมด
หลัวคังอันส่ายหน้า เรื่องบางเรื่องไม่สามารถพูดได้ แต่หลังจากเงียบไปเล็กน้อย สุดท้ายก็บอกเล่าอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งก็จำเป็นต้องบอกอยู่แล้วด้วย เขาลูบใบหน้าของเธอพลางกล่าว “เสี่ยวม่าน ฉันต้องไปทำงานที่อื่นสักระยะนะ พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว”
จูเก่อม่านมึนงง เงยหน้ามองเขาพลางถาม “ไปไหนคะ?”
หลัวคังอันแสร้งทำตัวลึกลับ “อย่าถามอะไรที่ไม่ควรถาม” ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขาถามหลินยวนไปแล้ว แต่หลินยวนก็ไม่ยอมบอกเขานี่นา!
จูเก่อม่านกังวลเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉินหลายคนออกเดินทางกันไปแล้ว นี่คุณก็ต้องไปวิ่งเต้นให้หอการค้าด้วยเหรอคะ?”
หลัวคังอันถอนใจพลางกล่าว “ในเมื่ออุปสรรคมันเข้ามาแล้ว เราก็ทำได้แค่ต้องร่วมมือกันผ่านไปให้ได้”
สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จูเก่อม่านรู้ว่าผู้บริหารระดับสูงอย่างเขาจำเป็นต้องรักษาความลับทางธุรกิจบางอย่างเอาไว้ จึงทำได้เพียงเอ่ยถาม “จะกลับมาเมื่อไหร่คะ?”
หลัวคังอัน “ภายในสามเดือนแหละ”
“เฮ้อ!” จูเก่อม่านที่ก้มหน้าซบอกหลัวคังอันลงไปอีกครั้งก็อดถอนใจออกมาไม่ได้เช่นกัน “ทำไมหอการค้าตระกูลฉินถึงได้เจออุปสรรคมากมายขนาดนี้กันนะ”
หลัวคังอัน “ไม่ต้องเป็นห่วง มีฉันอยู่ทั้งคน ต่อให้หอการค้าตระกูลฉินไปไม่รอด เธอก็ไม่เป็นไรหรอก”
“อื้อ” จูเก่อม่านเชื่อเขา เธอกอดเขาแน่นขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
เธอแค่นึกเสียดายที่ตนเองยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ ถ้าหากแต่งงานกับเขาได้จริงๆ เธอก็จะสบายใจได้จริงๆ เสียที
……
ฉินอี๋ที่เพิ่งจะรับโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนของตนเองตะโกนเรียกไป๋หลิงหลงให้เข้ามาหา บอกเรื่องความต้องการของหลัวคังอัน ทั้งสองหารือกันสักพักหนึ่ง ไม่รู้เช่นกันว่าหลัวคังอันจะให้ทางนี้รวบรวมเครื่องหอมไปทำอะไร
จำนวนเครื่องหอมที่เขาต้องการก็ไม่ถือว่าน้อย อีกทั้งยังต้องการหลากหลายชนิดด้วย ยิ่งแปลกยิ่งดี แล้วก็ยังบอกให้ทางนี้หานักปรุงเครื่องหอมฝีมือดีมาปรุงกลิ่นหอมที่พิเศษให้จำนวนหนึ่งด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือต้องเก็บเป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
ไป๋หลิงหลงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “ไม่ได้ระบุอะไรมาเลย บอกให้เราจัดการตามสบาย วุ่นวายซับซ้อนเช่นนี้ เขาคิดจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าคิดจะเปิดร้านเครื่องหอม? หรือว่านางพญาหนอนแห่งความฝันจะชอบกลิ่นหอม?”
นี่ก็คือสิ่งที่ฉินอี๋คิดไม่ตก “หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องเก็บเป็นความลับเลย แล้วยังจะออกเดินทางอย่างเงียบๆ อีก”
ไป๋หลิงหลงถอนใจพลางกล่าว “ถ้าทำเพื่อไปตามหานางพญาหนอนแห่งความฝันก็ดี การที่เขาต้องการของพวกนี้ ดูน่าไว้ใจกว่าเขาต้องการเงินเสียอีก คนคนนี้ในหลายครั้งดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าเขาต้องการเงินก้อนโตในช่วงเวลานี้จริงๆ ล่ะก็ แบบนั้นฉันกลับกลัวว่าเขาจะเชิดเงินหนีไปจริงๆ”
ฉินอี๋ “ครั้งที่แล้วเขายังไม่เอาเงินรางวัลพันล้านมุกเลย เรื่องเชิดเงินหนีน่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เอาล่ะ ฉันบอกเธอไปหมดแล้ว เธอก็รีบไปจัดการตามที่เขาบอกแล้วกัน”
“ได้” ไป๋หลิงหลงพยักหน้า
……
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเหมือนเคย แสงแดดสีทองเจิดจ้า
ด้านนอกเมืองทางใต้ รถคันหนึ่งจอดลงตรงด้านนอกที่ราบหนานผิงที่มีผู้คนพลุกพล่าน หลินยวนและหลัวคังอันที่ทำการแปลงโฉมกันมาแล้วก้าวลงจากรถ รอคอยการมาถึงของเรือคุน
เรื่องตั๋วเรือ ทางหอการค้าตระกูลฉินได้ช่วยเตรียมการไว้ให้พวกเขาก่อนล่วงหน้าแล้ว
รถที่มาส่งคนเลี้ยวออกไปแล้ว หลัวคังอันดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ กล่าวว่า “ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดล่ะก็ อีกราวๆ สิบห้านาทีก็น่าจะมาถึงแล้ว”
หลินยวนตอบอืม กวาดตาสำรวจไปรอบด้านอย่างช้าๆ โดยไม่แสดงท่าทีอะไร
หลัวคังอันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอีกครั้ง “ครั้งนี้เราจะไปที่ไหนกันแน่? นี่จะออกเดินทางอยู่แล้ว นายยังไม่ยอมบอกฉันอีกเหรอ?”
หลินยวน “ในตั๋วบอกไปที่ไหนก็ไปที่นั่นแหละ”
หลัวคังอันกล่าวอย่างสงสัย “เมืองเซินยวน[1]? เราจะไปที่นั่นทำไม?”
หลินยวนกล่าวเสริม “หุบเขาหมอกวิญญาณอยู่แถวนั้น”
“หุบเขาหมอกวิญญาณ?” หลัวคังอันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่ามันคือที่ไหน ก่อนจะกล่าวอย่างมึนงง “เมืองหมอก? เราจะไปเมืองหมอกกันเหรอ? ไปตลาดมืดทำไมกัน?” เขาถามคำถามติดๆ กัน เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเข้าใจ
หลินยวนกล่าว “หลับหูหลับตาไปดินแดนแห่งความฝันแล้วจะหาดวงตาแห่งความฝันเจอไหม? ต้องไปเตรียมตัวกันที่เมืองหมอกก่อน”
“เตรียมอะไร?” คำถามของหลัวคังอันเยอะมากจริงๆ เวลาทำงานกับคนคนนี้ทีไร อีกฝ่ายมักจะไม่ให้ตนเองรู้รายละเอียดอะไรเลย บางครั้งทำให้ตนเองรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าจริงๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด หลินยวนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่บอกอะไรเขาอีกแล้ว เขาจึงทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ ไม่ถามแล้วก็ได้
เรือคุนนับว่ามาตรงเวลา หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที ก็มีเสียง ‘มอ’ คล้ายเสียงร้องของวัวดังขึ้นในอากาศ เงาสีดำจุดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง คุนที่กำลังกระพือปีกอยู่ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นโครงร่างที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วย มันหยุดอยู่ตรงริมผาของที่ราบหนานผิง อ้าปากกว้างปล่อยผู้โดยสารที่อยู่ข้างในออกมา
ทั้งสองก็เดินไปทางนั้นด้วยเช่นกัน หลังจากส่งตั๋วเรือให้ผู้พิทักษ์เมืองตรวจสอบแล้วถึงจะไปรอขึ้นเรือ
กระทั่งคนในเรือที่จะลงที่นี่พากันลงจนหมดแล้ว ทั้งสองคนจึงได้ขึ้นเรือไปพร้อมกับคนอื่นๆ เข้าไปข้างในแล้วหาที่นั่ง สามารถมองดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกผ่านร่างกายของคุนได้อย่างชัดเจน
หลัวคังอันที่นั่งลงแล้วหัวเราะฮี่ๆ “มาเมืองปู๋เชวี่ยตั้งนานแล้ว นอกจากที่ไปเมืองคุนกว่างครั้งนั้น ฉันก็ยังไม่ได้ไปไหนเลย ครั้งนี้นับว่าได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างแล้ว”
ในคำพูดนั้นฟังดูค่อนข้างตื่นเต้น คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะต้องปลอมตัวออกเดินทาง นั่นก็หมายความว่าสามารถปิดบังตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้ ปิดบังชื่อ ‘หลัวคังอัน’ ที่โด่งดังเอาไว้ เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะออกไปหาอะไรสนุกๆ ทำได้ไหม ช่วงนี้สะกดสันดานของตนเองเอาไว้จนอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว แค่จูเก่อม่านคนเดียวเพียงพอสำหรับเขาที่ไหนกัน
หลินยวนจ้องเขาอย่างเย็นชา ก่อนกวาดสายตามองคนอื่นๆ บนเรือคุนอีกครั้ง
หลัวคังอันรู้สึกตัวทันที รีบทำมือขอโทษขอโพยอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนออกเดินทางหลินยวนได้กำชับไว้แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ต้องระวังปากของตนเองเอาไว้ อย่าเผยตัวตนออกมา
ทั้งสองคนนิ่งเงียบ เรือคุนออกเดินทางอีกครั้ง ค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง จากนั้นก็กระพือปีกบินไปข้างหน้า ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาพภูเขาและสายน้ำด้านล่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
…..
ณ วังพิฆาตมาร ภายในตำหนักประจัญบาน จื๋อเวย กัวฉีสวิน เหยาเทียนมี่ หลี่หรูเยียน จางเต้ากว่าง คังซ่า หกแม่ทัพเทพอยู่กันครบ ต่างเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในตำหนัก
ไม่นานนัก ด้านนอกตำหนักก็มีคนร่อนลงมาจากฟ้า
หยางเจินสวมมงกุฎสีทองที่ประดับด้วยขนนกสีม่วง แต่งกายด้วยชุดแพรเฉียนคุน สวมเท้ารองสีม่วงทองก้าวอาดๆ เข้ามาด้วยท่าทีคร่ำเคร่ง
“ท่านสอง” แม่ทัพเทพทั้งหกเข้าไปต้อนรับ เดินตามเขาไปจนถึงหน้าแท่นไพศาล จื๋อเวยผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยถามว่า “ท่านสอง จู่ๆ ฝ่าบาทก็เรียกตัวท่านเข้าไปเป็นการด่วน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
หยางเจินขึ้นไปบนแท่น หันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง จ้องมองคังซ่าพลางเอ่ยถาม “น้องเจ็ด คนที่ทางเมืองปู๋เชวี่ยจับมา ตรวจสอบแน่ชัดแล้วใช่ไหม?”
คังซ่าประสานมือพลางกล่าว “ไม่มีทางผิดพลาดครับ ตรวจสอบซ้ำดูแล้ว เป็นลูกน้องของ ‘เว่ยเต้า’ ที่เป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์จริงๆ ครับ เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ที่โรงงานสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินเป็นฝีมือของเว่ยเต้า เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องค่อยๆ ตรวจสอบดูอีกครั้งครับ”
หยางเจินกล่าว “แต่มีหลักฐานยืนยันว่าการก่อความวุ่นวายในครั้งนี้ของคนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลอู หอการค้าตระกูลฉวี่ และหอการค้าตระกูลเผยใช่ไหม?”
คังซ่าว่า “เราจับตัวพวกลูกน้องคนสำคัญของเว่ยเต้าไม่ได้ จับได้เพียงพวกปลาซิวปลาสร้อยบางส่วน คนพวกนี้แค่ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนนี้ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหอการค้าทั้งสามแห่งนั้นครับ เมื่อคนเหล่านี้ถูกจับแล้ว เกรงว่าทางเว่ยเต้าจะต้องตัดการติดต่อกับพวกเขาทุกทางอย่างแน่นอน คิดว่าท้ายที่สุดก็คงหาหลักฐานอะไรไม่เจอ หากต้องการหลักฐาน เกรงว่าต้องใช้เวลาค่อยๆ สืบค้นครับ”
หยางเจินกล่าวอย่างเฉยชา “รอไม่ได้แล้ว ไม่มีหลักฐานก็จับตัวไว้ก่อน จากนั้นค่อยเค้นหลักฐานออกมา!”
ทั้งหกคนตกใจเล็กน้อย จางเต้ากว่างกล่าวอย่างลังเล “ท่านสอง ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะนะครับ? เกรงว่าเดี๋ยวพวกคนในสภาเซียนพวกนั้นจะต้องมาโจมตีท่านสองอีกแน่”
หยางเจินไม่หวั่นไหว เอ่ยเสียงขรึมว่า “เรียกรวมกำลังพล เตรียมการเงียบๆ จับกุมตัวพวกพนักงานทั้งหมดไม่ว่าจะตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ของหอการค้าตระกูลอู หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลเผยมาทันที นอกจากนั้น พวกตระกูลฉี่หลิง ตระกูลผูซาง และตระกูลกู่มู่ที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าทั้งสามแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง คนแก่หรือว่าเด็ก จับให้หมด! อย่าปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว! คนที่ขัดขืน ฆ่า!”
ทั้งหกคนตกใจเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงสามหอการค้าก็ว่าไปอย่าง แต่นี่จะลงดาบทั้งสามตระกูลใหญ่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?
หลี่หรูเยียนกล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านสองโปรดไตร่ตรองด้วย ถ้าเกิดลงมือไป พวกคนของสามตระกูลที่อยู่ในสภาเซียนจะปล่อยท่านสองไปเหรอครับ?”
หยางเจินกล่าว “น้องเจ็ดรับผิดชอบเรื่องการจับกุมสามหอการค้า น้องห้ากับน้องหกรับผิดชอบเรื่องการจับกุมสามตระกูลใหญ่ พี่ใหญ่กับน้องสามรับผิดชอบเรื่องการจับกุมสมาชิกในราชสำนักของสามตระกูลใหญ่ ฉันกับน้องสี่จะคอยประสานงานอยู่ตรงกลาง ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เพื่อจะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าเกิดทั้งสามกลุ่มเตรียมพร้อมแล้ว ให้รอฟังคำสั่งจากฉัน แล้วค่อยลงมือพร้อมกัน!”
กระทั่งคนที่อยู่ในสภาเซียนก็จะจับไปด้วย ทั้งหกคนเข้าใจทันที นี่ไม่ใช่ความคิดของท่านสอง เกรงว่าเขาคงจะได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมา ทุกคนจึงประสานมือกล่าวพร้อมกัน “รับทราบ!”
หลังจากทั้งหกคนเอามือลง พี่ใหญ่จื๋อเวยก็เอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านสอง นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทเหรอครับ?”
หยางเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาท นี่เป็นหน้าที่ของวังพิฆาตมารของเราอยู่แล้ว สืบหาคนที่เกี่ยวข้องกับพวกกบฏ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ทั้งนั้น!”
ทั้งหกคนมองหน้ากันไปมา จื๋อเวยกล่าวอย่างลังเล “ท่านสอง แต่นี่ยังไม่มีหลักฐานเลยนะครับ? ถ้าเรื่องแพร่ออกไป พวกเราจะไม่ถูกคนพวกนั้นถ่มน้ำลายใส่จนตายเหรอครับ?”
เหยาเทียนมี่ที่เป็นน้องสี่พลันถอนใจออกมา “พี่ใหญ่ ท่านสองไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพิ่งกลับมา พี่ก็อย่าถามมากเลย”
หลังจากที่คนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ก็ครุ่นคิดทันที แต่ยังคงเห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่จะลงมือจับกุมสามตระกูลใหญ่พร้อมกัน
หยางเจินกวาดสายตามองทั้งหกคน คิดว่าจำเป็นต้องเผยอะไรออกมาบ้าง จึงกล่าวอย่างเนิบๆ “ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลต่างจับจ้องเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดกันตาเป็นมัน จนไม่ได้มีความเกรงใจอะไรกันแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะร่วมมือกันกดดันสภาเซียนเพื่อจะเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน ควรจะต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียบ้าง! ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เกี่ยวของกับใครทั้งนั้น เป็นเพียงหน้าที่รับผิดชอบของวังพิฆาตมารของเรา ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดคือต้องมีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยเราไปแน่ เข้าใจไหม?”
คำพูดหยุดลงเท่านี้ แต่ทุกคนกลับเข้าใจกันหมด ครั้งนี้ฝ่าบาททรงกริ้วแล้ว ทรงต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู
จื๋อเวยยิ้มขมขื่น “เป็นดาบในมือของฝ่าบาทนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”
……………………………………………………….
[1] เมืองเซินยวน หมายถึงเมืองแห่งหุบเหวลึก