ตอนที่ 254 หลัวคังอันยืนกรานจะไปดินแดนแห่งความฝัน
“เทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปด?” ฉินเต้าเปียนพลันอุทานตกใจออกมาหลังจากที่ได้ยิน
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ฉินอี๋ที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาเคยได้ยินหนานชีหรูอันพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าในดินแดนแห่งความฝันนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความลับในการสร้างเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดอยู่ ในจุดนี้หนานชีหรูอันไม่ได้บอกเธอหลังจากที่รู้เรื่อง
เรื่องบางเรื่องมันเกี่ยวพันถึงความลับของสภาเซียน หนานชีหรูอันเองก็ไม่มีทางเอาไปพูดส่งเดช อะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้ เรื่องที่ปลาหมอมักจะตายเพราะปากนั้นเขาพอจะรู้อยู่
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ใช่ครับ ข่าวลือว่ามาแบบนี้ครับ”
รอบๆ โต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบ เงียบเชียบไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
แม้จะเป็นเพียงข่าวลือที่ได้ยินมา แต่คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ สภาเซียนเพิ่งจะลงมือกับทั้งสามตระกูล ถ้าตระกูลอื่นยังเสนอหน้าเข้ามายุ่งในดินแดนแห่งความฝันอีก สภาเซียนก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำแบบนั้นอีก
ข่าวลือนี้ทำให้ทุกคนกดดันจนหายใจไม่ออก ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นี่ต้องการจะทำลายความหวังสุดท้ายของหอการค้าตระกูลฉินไปด้วยเหรอ?
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายหลิ่วจวินจวินก็เอ่ยปลอบใจทุกคนว่า “อันที่จริงมันก็เป็นแค่ข่าวลือ บางทีอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้”
ฉินอี๋ที่นิ่งเงียบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เกรงว่าถ้าไม่มีมูลก็คงไม่มีข่าวลือนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้หนูก็รู้สึกอยู่ว่ามันแปลกๆ ในเมื่อเป็นปากทางเข้าดินแดนแห่งความฝัน ทำไมถึงไม่จัดกำลังพลไว้ที่ด้านนอกทางเข้า แต่กลับจัดกำลังพลไว้ที่ด้านในทางเข้า ที่แท้ก็วางแผนเอาไว้แบบนี้นี่เอง คิดจะปล่อยให้คนที่ออกมาข้างนอกแย่งชิงกันเอง!”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกไป ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ถ้าไม่ได้ยินเรื่องข่าวลือนี้ ทุกคนก็ไม่มีทางคิดถึงว่าการกระดิกนิ้วเพียงเล็กน้อยของสภาเซียนจะแอบซ่อนแผนสังหารเช่นนี้เอาไว้
เป็นเพราะมุมมองของคนเหล่านี้ที่มีจำกัด ยังไม่เคยยืนอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นดินแดนเซียนทั้งหมด ในเวลานี้เพิ่งจะมาเข้าใจก็นับว่าช้าไปหน่อยแล้ว
จู่ๆ ฉินเต้าเปียนก็เงยหน้าขึ้นพลางทอดถอนใจ “หรือว่าหอการค้าตระกูลฉินที่เราสองคนพ่อลูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากจะต้องมาพังทลายลงแบบนี้?”
ฉินอี๋วางตะเกียบลง หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก ไม่กินแล้ว แล้วก็ไม่มีความอยากอาหารแล้วด้วย เธอหันไปกล่าวกับไป๋หลิงหลงว่า “รองประธานหลัวเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันหรือยัง?”
ไป๋หลิงหลงส่ายหน้า “น่าจะยังไม่ได้เข้าไปค่ะ ทางนั้นบอกว่าจะวางแผนเองว่าจะเข้าไปเมื่อไหร่ค่ะ”
ฉินอี๋กล่าว “บอกให้พวกเขากลับมาเถอะ เรื่องดวงตาแห่งความฝันนั่นช่างมัน ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์เถอะ! ได้แต่หวังว่าจะมีคนที่สามารถคว้าเงินรางวัลสามพันล้านมุกนั่นไปได้”
ไป๋หลิงหลงพยักหน้า
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ ฉินเต้าเปียนก็ออกปากห้ามไว้ เขาจ้องมองฉินอี๋พลางกล่าว “ถ้าไงให้หลัวคังอันได้ลองดูหน่อยไหม เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลง อาจารย์หลงไม่ใช่คนธรรมดานะ เป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลิงซาน สูงส่งล้ำลึกยากคาดเดาได้ ถ้าให้เขาไป บางทีอาจจะพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าเขาไม่ไป อย่างนั้นก็เท่ากับไม่เหลือความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว!”
ฉินอี๋กล่าวเรียบๆ “การให้พวกเขาเข้าไปในเวลาแบบนี้แทบจะไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จเลยค่ะ ไม่ได้ต่างอะไรกับการส่งพวกเขาไปตายเปล่าเลย!”
ฉินเต้าเปียนเองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นกัน “พ่อว่าลูกเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินยวนคนนั้นมากกว่ามั้ง! พ่อจะบอกให้นะ หอการค้าตระกูลฉินต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ อย่าปล่อยให้ความรักชายหญิงมาทำให้งานใหญ่ต้องเสีย อี๋เอ๋อร์ ขอเพียงครั้งนี้หลัวคังอันเอาดวงตาแห่งความฝันกลับมา ช่วยให้หอการค้าตระกูลฉินผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ พ่อจะไม่ยุ่งเรื่องของลูกกับหลินยวนอีกต่อไปเลย ต่อให้ลูกจะแต่งงานกับเขา พ่อก็จะเสนอสินสอดให้เขาด้วยสองมือของพ่อเลย ดีไหม?”
ฉินอี๋ลุกขึ้นทันที เอาเรื่องแต่งงานของเธอมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน เธอคือคนแรกที่ไม่มีทางยอมรับ เธอหันไปกล่าวกับไป๋หลิงหลงอย่างไม่ลังเล “หลิงหลง ไปทำตามที่ฉันบอก!”
ปัง! ฉินเต้าเปียนตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน มองเธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พลางกล่าวตะคอกออกว่า “ใครกล้าก็ลองดู!”
“เหล่าฉิน!” หลิ่วจวินจวินที่อยู่ข้างๆ รีบดึงเขาไว้ เขาสะบัดแขนออก ไม่สนใจแล้ว มองดูลูกสาวด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว หวังจะขู่ให้เธอกลัว!
ไป๋ซานเป้ากับไป๋หลิงหลงมองหน้ากันเลิกลั่ก โดยเฉพาะไป๋หลิงหลง คราวนี้เธอทำตัวไม่ถูกจริงๆ ฉินเต้าเปียนพูดถึงขนาดนี้ เธอจะกล้าไปขัดคำสั่งเขาได้อย่างไร ถ้าหอการค้าตระกูลฉินต้องเสียหายเพราะเหตุนี้จริงๆ แม้จะไม่ใช่ความรับผิดชอบของเธอ แต่เธอก็คงจะรู้สึกผิดอยู่ในใจเช่นกัน
แต่เธอเป็นคนของฉินอี๋ จะไม่ฟังคำสั่งของฉินอี๋ก็ไม่ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าจะไปทางซ้ายหรือขวาก็ล้วนแต่ลำบาก
“ต่อให้หอการค้าตระกูลฉินจะพังลงไป อย่างมากก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่ เดี๋ยวหนูโทรเองก็ได้!” ประโยคสุดท้ายฉินอี๋พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เธอหันหลังแล้วเตะเก้าอี้ เก้าอี้ล้มโครมครามลงไปกับพื้น จากนั้นก้าวอาดๆ เดินออกไป
“นี่…” ฉินเต้าเปียนชี้นิ้วด้วยความโกรธเกรี้ยว กระทั่งใบหน้าก็คล้ายจะโป่งพองขึ้นมา โกรธจนตัวสั่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เขามัดฉินอี๋เอาไว้ก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
ในสถานการณ์แบบนี้ หากไปทำให้ฉินอี๋โมโหขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นฝ่ายมัดใครกันแน่ เพราะยอดฝีมือที่ทางตระกูลหนานชีส่งมานั้นฟังแต่คำสั่งของฉินอี๋ ตัวฉินเต้าเปียนไม่สามารถสั่งให้พวกเขาไปทำอะไรได้ อีกอย่างคือสถานการณ์ของหอการค้าตระกูลฉินในเวลานี้ การจับฉินอี๋เอาไว้มันก็ไม่เหมาะเช่นกัน
หลิ่วจวินจวินลุกขึ้นกดเขาไว้ “เหล่าฉิน พวกคุณสองพ่อลูกทะเลาะกันให้น้อยลงหน่อยได้ไหม?”
“กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ฉันไม่มีลูกสาวแบบนี้ ฉันจะตัดพ่อตัดลูกกับเธอซะ!” ฉินเต้าเปียนตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว เหวี่ยงมือกระชากผ้าปูโต๊ะอย่างรุนแรง
จานชามบนโต๊ะกระเด็นกระดอนออกไปทันที ตกกระทบลงพื้นเสียงดังโพล้งเพล้ง
ทีนี้ยังไงล่ะ ไม่ต้องกินกันแล้ว
ไป๋ซานเป้ากับไป๋หลิงหลงลุกขึ้น ท่าทางกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
หลิ่วจวินจวินยกมือขึ้นตบหน้าผาก ท่าทางคล้ายปวดหัวจริงๆ ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้เป็นอย่างนี้ทุกที เธอล่ะยอมใจจริงๆ แต่เธอก็ชินแล้วแหละ
สำหรับเรื่องที่ฉินเต้าเปียนบอกว่าจะตัดพ่อตัดลูกอะไรนั่น เธอรู้ดี เขาก็แค่พูดๆ ไปเวลาโมโหเท่านั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้จริงหรอก
เรื่องบางเรื่องมันก็ช่วยไม่ได้ ลูกสาวโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรที่พ่อว่ายังไงก็ว่าตามนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
…….
ฉินอี๋พูดยังไงก็ทำตามนั้น หลังจากที่กลับไปถึงห้องของตัวเองก็ต่อสายหาหลัวคังอันทันที
ตอนที่รับโทรศัพท์ หลัวคังอันกำลังนอนพลิกไปพลิกมาด้วยความกลัดกลุ้มใจอยู่บนเก้าอี้โยก
พอมีคนรับสาย ฉินอี๋ก็โล่งใจเล็กน้อย อีกฝ่ายยังรับโทรศัพท์ได้ ก็แสดงว่ายังไม่ได้เข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน น่าจะยังอยู่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัยที่ไหนสักแห่ง ไม่อย่างนั้นก็คงติดต่อไม่ได้
“ท่านประธาน?” หลัวคังอันที่ได้รับโทรศัพท์ที่ฉินอี๋โทรมาด้วยตัวเองก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากเช่นกัน
ฉินอี๋กล่าว “รองประธานหลัว ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ เรื่องที่จะไปดินแดนแห่งความฝันนั้นยกเลิกค่ะ พาหลินยวนกลับมาเถอะค่ะ”
“เอ่อ…” หลัวคังอันงุนงงไปเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “หายาแก้ได้แล้วเหรอครับ?”
“ยังค่ะ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง……” ฉินอี๋บอกเรื่องสถานการณ์อันตรายที่เธอรู้มาให้อีกฝ่ายฟัง
หลัวคังอันได้ฟังก็แอบตกใจ แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบฉินอี๋ได้เช่นกัน เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจนี่ จึงทำได้แค่กล่าวอย่างลำบากใจ “ท่านประธานครับ เรื่องนี้ขอผมลองคิดดูก่อนนะครับ”
ฉินอี๋ “ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ ไม่ว่าจะได้รับสายจากใครก็ให้ทำตามคำสั่งของฉันค่ะ” เธอพูดเผื่อเอาไว้ก่อน เผื่อพ่อของเธอจะทำอะไร
“เอ่อ…ยังไงก็ขอผมคิดดูก่อนแล้วกันครับ ขอเวลาสักครู่ ผมจะรีบตอบท่านประธานกลับไปนะครับ” หลัวคังอันพูดจบก็วางสาย เขาไม่สามารถตัดสินใจเองได้จริงๆ เขาหันหลังเดินไปที่โถงด้านหลัง วิ่งตึงตังขึ้นไปชั้นบน รีบบอกกับหลินยวนที่อยู่ในห้อง “เถ้าแก่ เกิดเรื่องแล้ว ท่านประธานบอกให้พวกเรายกเลิกการไปดินแดนแห่งความฝัน……” จากนั้นก็บอกเล่าเรื่องที่ฉินอี๋เล่าให้เขาฟัง
เรื่องพวกนี้ หลินยวนเองก็เพิ่งรู้จากทางลู่หงเยียนเมื่อครู่นี้เช่นกัน เขาเตรียมใจไว้บ้างแล้ว
สถานที่ที่อันตรายกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว เมื่อเขาตัดสินใจทำแล้ว เรื่องแบบนี้ทำให้เขากลัวไม่ได้หรอก จึงเอ่ยปากบอกไป “ปฏิเสธไป แผนการไปดินแดนแห่งความฝันไม่เปลี่ยนแปลง”
หลัวคังอันอึกอักอยากจะพูดอะไร แต่ครั้งนี้ดูเชื่อฟังกว่าเดิมมาก เขาพยักหน้าทันที หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อหาฉินอี๋ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านประธาน ผมตัดสินใจแล้วครับ แผนการของเราจะไม่เปลี่ยน รอฟังข่าวดีจากผมได้เลยครับ!”
“รองประธานหลัว หลัวคังอัน…” ฉินอี๋ที่ถือโทรศัพท์อยู่เรียกเขาติดกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ หลัวคังอันวางสายไปแล้ว เธอต่อสายกลับไปหาอีกก็ไม่มีประโยชน์ หลัวคังอันไม่รับสายแล้ว
เธอวางโทรศัพท์อย่างจนปัญญา เมื่อหันกลับไป เห็นไป๋หลิงหลงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
ไป๋หลิงหลงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ฉินอี๋กล่าวอย่างเคร่งเครียด “หลัวคังอันยืนกรานจะไปดินแดนแห่งความฝัน!”
“เอ่อ…” ไป๋หลิงหลงหมดคำพูด ความกล้าหาญของหลัวคังอันมันเกินไปกว่าที่เธอคิดไว้มาก หลัวคังอันเมื่อตอนงานประมูลกลับมาอีกแล้วเหรอ?
หลังเดินออกไป ไป๋หลิงหลงก็ไปหาฉินเต้าเปียนทันที บอกเรื่องการตัดสินใจของหลัวคังอันให้ฉินเต้าเปียนรับรู้
นี่ไม่ใช่การหักหลังฉินอี๋ หากแต่เป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกผ่อนคลายลง แล้วก็จะได้ทำให้ฉินเต้าเปียนไม่ต้องนั่งกังวลต่อไปด้วย
เมื่อได้รู้ข่าวว่าหลัวคังอันยืนกรานที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันตามเดิม ฉินเต้าเปียนก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ พลางกล่าวชื่นชมว่า “สมกับที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลง มีความกล้าหาญ ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลย นี่สิถึงจะสมกับเป็นรองประธานหอการค้าตระกูลฉิน รู้ว่าหอการค้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ รู้ผิดชอบชั่วดียิ่งกว่าตัวประธานเสียอีก! เอาไว้เขากลับมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำงานสำเร็จหรือไม่ ฉันจะไปต้อนรับเขาด้วยตัวเอง!” ก่อนจะหันกลับไปพูดกับไป๋หลิงหลงว่า “เธอไปจัดการหน่อย จูเก่อม่านคนนั้นน่ะ ขึ้นเงินเดือนให้เธอหนึ่งเท่า ไม่สิ ขึ้นสามเท่าไปเลย!”
……
เมื่อตรวจสอบตัวตนของยายเฉ่าจนแน่ใจแล้ว ร้านเครื่องหอมก็ไม่ได้เปิดขายอีกต่อไป ไม่มีความจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นพูดคุยกับลูกค้าคนอื่นๆ อีก แล้วก็เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้นมาด้วย
ตอนเย็นของวันถัดมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หลัวคังอันที่ซึมเซาลุกขึ้นจากเก้าอี้นอน ตั้งแต่เมื่อวานเย็นมาจนถึงตอนนี้ หลังจากที่โทรศัพท์หาฉินอี๋ เขาก็อยู่ด้านล่างตลอด ไม่กล้าขึ้นไปข้างบนอีก แล้วก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าหลินยวนด้วย
เขาเดินไปเปิดประตูร้านดู พบว่าที่หน้าประตูมีผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่คนหนึ่ง จึงกล่าวไปอย่างหงุดหงิดว่า “ปิดแล้ว ไม่เห็นป้ายปิดร้านที่แขวนอยู่หน้าประตูเหรอไง?”
ผู้หญิงคนนั้นกลับเอ่ยขึ้นมาเป็นเสียงของยายเฉ่า “ฉันเอง”
หลัวคังอันตกตะลึง ให้เธอเข้ามาในร้านทันที จากนั้นก็โผล่หัวออกไปมองข้างนอกซ้ายทีขวาที หลังจากที่รู้ว่าตนเองกลายเป็นโจรกบฏอย่างงงๆ เขาก็ยิ่งหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อยก็จะลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินไปที่ประตู คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก
พอปิดประตูร้าน หลัวคังอันก็ชี้ขึ้นไปด้านบน เป็นการบอกว่าหลินยวนอยู่ข้างบน
ทั้งสองเดินตามกันขึ้นไปข้างบน ตอนที่เจอกับหลินยวน หลัวคังอันก็ยืนประสานมือเรียบร้อยอยู่ด้านข้าง คอยสังเกตคำพูดและการกระทำของหลินยวนอย่างเงียบๆ
เสียงผู้หญิงคนนั้นกลับมาเป็นเสียงเดิมของเธอ เป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่หนักแน่น “ไปกันได้แล้วค่ะ”
หลินยวน “ทางโรงจอมยุทธ์พเนจรจัดการเรียบร้อยแล้ว?”
ผู้หญิงคนนั้นกล่าว “ไม่จำเป็นต้องจัดการอะไรหรอกค่ะ ฉันทิ้งจดหมายไว้แล้ว บอกว่าจะไปตามหาอาเซียง ไปครั้งนี้จะไม่กลับมาแล้ว ต่อไปโลกนี้จะไม่มียายเฉ่าคนนั้นแล้ว หลังจากนี้เรียกฉันว่าเยี่ยนอิงเถอะค่ะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ถอนใจออกมา
……………………………………………………….