ตอนที่ 255 ไปถึงดินแดนแห่งความฝัน
จะว่าไปแล้วก็ใช่ หลินยวนพยักหน้าเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “เยี่ยนอิง? เป็นชื่อที่ใช้ชั่วคราว?”
ผู้หญิงคนนั้นกล่าว “ต่อไปจะใช้ชื่อนี้ค่ะ วางใจได้ มีคนคนนี้อยู่จริง สามารถตรวจสอบได้ นี่เป็นตัวตนที่เตรียมจะใช้หลังจากยายเฉ่าค่ะ เอาไว้ฉันจะมอบรายละเอียดของชื่อนี้ให้ท่านค่ะ”
หลินยวน “ยายเฉ่าหายตัวไป แล้วถ้าไปเจอกับอาเซียงอีกครั้งจะทำยังไง?”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ เธอก็รู้เลยว่าหลังจากเสร็จเรื่องพวกเขาจะคืนอาเซียงให้ตนเอง จึงกล่าวว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะใช้ตัวตนของยายเฉ่าไปเจอเธอสักครั้ง อธิบายให้เธอเข้าใจได้ ฉันรู้จักเธอดี เธอจะฟังสิ่งที่ฉันพูดค่ะ”
มีความมั่นใจก็ดี หลินยวนพยักหน้า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนลงไปชั้นล่าง ออกไปจากร้านเครื่องหอม หลัวคังอันที่ออกมาคนสุดท้ายปิดประตู ทั้งสามคนไปจากที่นี่ ก็เหมือนอย่างที่หลินยวนบอกไว้ว่าไม่ต้องสนใจเรื่องร้าน หลังจากนี้จะมีคนมาดูแลต่อเอง
เมื่อมาถึงยอดเขาที่สูงที่สุด หลัวคังอันไปซื้อตั๋ว ดูเชื่อฟังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำตามอย่างว่าง่าย หลินยวนบอกให้ทำอะไรก็ทำ ไม่พูดอะไรมากเลย ไม่พูดมากไร้สาระเหมือนอย่างแต่ก่อน ตอนนี้กระทั่งสายตาก็ดูว่านอนสอนง่ายด้วย
เยี่ยนอิงจ้องมองร่างของหลัวคังอันที่ไปซื้อตั๋ว พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หลงซืออวี่ไม่ยอมเข้ารับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขากลับกลายมาเป็นคนของเราได้”
หลินยวนกล่าว “ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ตัวตนของฉัน เป็นเพราะการปรากฏตัวของเธอเมื่อวานนี้ถึงได้ทำให้เขารู้สึกสงสัยขึ้นมา เขาเลยรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะความวู่วามของเธอ ฉันก็ไม่ได้คิดจะให้เขารู้เร็วขนาดนี้ ตอนนี้เขายังรับความจริงนี้ไม่ค่อยได้ ยังปรับตัวไม่ได้เท่าไหร่”
เยี่ยนอิงมึนงง สีหน้าท่าทางค่อนข้างประหลาดใจ จินตนาการถึงความรู้สึกของหมอนั่นหลังจากที่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นโจรกบฏ คงจะหวาดกลัวมากๆ สินะ?
เมื่อนึกถึงคำพูดไร้สาระที่หมอนั่นพูดมาเมื่อวานนี้ เธอก็รู้สึกใจเย็นลง จากนั้นกล่าวอย่างกังวล “เขาคงจะไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาเพราะคิดไม่ตกใช่ไหมคะ?”
หลินยวนกล่าว “เขาเข้ามาพัวพันนานแล้ว หันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว”
เยี่ยนอิงพยักหน้า เข้าใจแล้ว
ตั๋วซื้อมาแล้ว กระทั่งถึงเวลา ทั้งสามคนจึงเดินขึ้นไปนั่งบนพาหนะโบยบินที่จะออกเดินทาง
กระทั่งพาหนะโบยบินลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ หลุดพ้นออกจากทะเลหมอกที่กว้างใหญ่ เยี่ยนอิงอดไม่ได้ที่จะยื่นหัวไปตรงหน้าต่าง มองทะเลหมอกที่กว้างใหญ่ด้านล่างนั้น จากกันแล้ว จบลงแล้ว ในที่สุดก็ออกไปจากที่นี่แล้ว อารมณ์ของเธอซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก อีกทั้งมีความรู้สึกหลุดพ้นบางอย่างด้วย ไม่ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปแล้ว
……
ทั้งสามออกจากเมืองหมอกไปจนถึงเมืองเซินยวน ก่อนจะนั่งเรือคุนไปต่อโดยไม่มีการหยุดพักในเมืองเซินยวน ระหว่างทางก็เปลี่ยนไปนั่งเรือคุนอีกหลายเที่ยว ก่อนจะมาถึงเมืองเทียนเสีย
ช่วยไม่ได้ ดินแดนเซียนมีสถานที่มากมาย หลายๆ ที่ไม่มีเส้นทางของเรือคุนผ่านทาง ทำได้เพียงต้องนั่งเรือคุนหลายต่อ
แน่นอนว่าจะไม่นั่งเรือคุนหลายต่อก็ได้ สามารถใช้พลังของตนเองบินไปได้ แต่ระยะทางมันไกลเกินไป การใช้พลังไปแล้วฟื้นฟูพลังใหม่ก็ต้องใช้เวลา จะทำให้เสียเวลามากกว่า ไม่สะดวกเท่านั่งเรือคุนไป
หรือจะจ้างเรือคุนให้ไปส่งจนถึงที่หมายก็ได้ แต่พวกยานพาหนะอย่างเรือคุนไม่ใช่ว่าใครจะจ้างก็จ้างได้ การติดต่อทำสัญญากับเรือคุนอยู่ในการควบคุมของสภาเซียน ถ้าไม่ได้หนังสือแจ้งมาจากสภาเซียนไม่สามารถจ้างเรือคุนได้
วิธีที่สะดวกต่อการเดินทางยิ่งกว่านั้นคืออุโมงค์เคลื่อนย้าย ขอเพียงทั้งสองฝั่งติดต่อกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินทางไปถึงได้ง่ายกว่าและสะดวกสบายกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องประหยัดเวลาเลย
แต่อุโมงค์เคลื่อนย้ายก็ยังอยู่ในการควบคุมของสภาเซียนอยู่ดี การใช้งานอุโมงค์เคลื่อนย้ายหนึ่งครั้งไม่เพียงแต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ถ้าหากไม่มีการรับรองจากทางการก่อน ก็ไม่สามารถให้คนที่อยู่นอกบัญชีรายชื่อเซียนใช้งานได้
ไม่ใช่ว่าหอการค้าตระกูลฉินจะไม่มีปัญญาจ่ายเงินใช้งานอุโมงค์เคลื่อนย้าย แต่เนื่องเพราะเหตุผลบางอย่าง หลินยวนจึงไม่ได้ให้ทางหอการค้าตระกูลฉินใช้เส้นสายในด้านนี้
ทางเข้าดินแดนแห่งความฝันอยู่ในดินแดนแรดเหล็ก เมืองที่อยู่ใกล้กับดินแดนแรดเหล็กที่สุดก็คือเมืองเทียนเสีย ดังนั้นคนที่อยู่ไกลจากดินแดนแรดเหล็กมากๆ จึงมักจะต้องมาที่เมืองเทียนเสียก่อนเพื่อเดินทางต่อไปยังดินแดนแรดเหล็ก
เมื่อลงจากเรือคุนมา ก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมืองเทียนเสียมีการเพิ่มความแน่นหนาในการป้องกันขึ้น คนร้อยพ่อพันแม่แห่กันเดินทางมาที่นี่เป็นจำนวนมาก จึงจำต้องป้องกันไว้
ทั้งสามคนไม่ได้หยุดพักที่เมืองเทียนเสีย หากแต่ไปหารถเปล่าคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างถนนเส้นหนึ่ง
กุญแจรถอยู่ใต้ก้อนหินข้างถนน หลินยวนผลักหินก้อนนั้นแล้วหยิบกุญแจขึ้นมา ขึ้นไปนั่งบนรถ ขับรถพาเยี่ยนอิงกับหลัวคังอันไปด้วยตัวเขาเอง
หลัวคังอันที่ไม่ค่อยส่งเสียงอะไรตลอดทางกะพริบตาปริบๆ เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะเอารถจากข้างทางมาขับได้ตามใจชอบแบบนี้ โจรกบฏพวกนี้จะต้องมีการติดต่อกันเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน ต้องมีคนระบุตำแหน่งและเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วแน่ๆ
ทันทีที่รถวิ่งออกไปนอกเมืองก็เปิดใช้งานโหมดเครื่องบินทันที ก่อนจะพุ่งออกจากหน้าผาไป บินเฉียงขึ้นไปในอากาศ
หลินยวนที่ควบคุมรถเร่งการเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่ความเร็วของรถที่แล่นอยู่บนท้องถนนจะเทียบได้เลย ทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขาที่อยู่ด้านล่างถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วก็บินสูงขึ้นจากพื้นดินเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
หลังจากบินมาเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าก็มีภูเขาสูงสองลูกปรากฏขึ้น กึ่งกลางระหว่างภูเขาทั้งสองลูกนั้นมีหมอกปกคลุมอยู่
หลินยวนขับรถพุ่งเข้าไป รอบด้านมีหมอกหนาทึบลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพลันมีเสียง ‘ฟุบ’ ดังขึ้นมา รถพุ่งออกมาจากในหมอกที่หนาทึบ ทิ้งคลื่นหมอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเอาไว้เบื้องหลัง บินออกจากหุบเขาไป ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีต้นไม้ปรากฏให้เห็นน้อยมาก พวกเขามาถึงดินแดนแรดเหล็กกันแล้ว
จู่ๆ สัตว์ปีกดุร้ายสองสามตัวพลันพุ่งลงมาจากในอากาศ ตามล่าสังหารสิ่งที่พุ่งออกมาจากในสายหมอก
หลินยวนขับรถพลิกกลับไปมา มุดหลบออกมาจากการโจมตีของกรงเล็บอันแหลมคมและปีกอันใหญ่ยักษ์ที่โบกกระพือของอินทรีย์ปีกเหล็ก พุ่งดิ่งลงเบื้องล่าง โฉบผ่านไปบนต้นหญ้าที่สูงสองสามจั้ง แรงลมแหวกต้นหญ้าจนเป็นร่องยาวๆ จากนั้นก็โฉบทะยานขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง สลัดการโจมตีที่ไล่ตามมาด้านหลัง ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ
แต่ในร่องต้นหญ้าที่แหวกออกนั้นมีลูกแรดเหล็กฝูงหนึ่งปรากกฎตัวออกมา อินทรีย์ปีกเหล็กจึงพุ่งเข้าไปใช้กรงเล็บตะครุบจับลูกแรดเหล็กขึ้นมาทันที
“อ๊าสๆ ” เสียงคำรามดังมาจากอีกฟากหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป แรดเหล็กที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาย่อมๆ สองตัววิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า พุ่งเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่สามารถช่วยชีวิตลูกน้อยกลับมาได้ ทำได้เพียงกลับหลังหันแล้วกระทืบเท้าไม่หยุด สายตาจับจ้องไปที่ลูกน้อยที่ลอยขึ้นไปไกลในอากาศ ส่วนลูกแรดที่เหลืออยู่อีกสองตัวก็ยืนตัวสั่นงันงกหลบอยู่ใต้ลำตัวของพวกมัน
เมื่อช่วยเหลืออะไรไม่ได้แล้ว แรดเหล็กทั้งสองตัวจึงทำได้เพียงแค่พาลูกน้อยที่รอดชีวิตจากไป เปลี่ยนที่อยู่
……
ภูเขาสูง ทะเลสาบ ทุ่งหญ้าที่แสนกว้างใหญ่
ด้านล่างนั้นสามารถมองเห็นแรดเหล็กที่กำลังพุ่งเข้าใส่กัน เสียงปะทะดังสนั่น
มีแรดเหล็กเดินเตร่อยู่สองสามฝูง มีแรดเหล็กที่ห้อตะบึงเป็นฝูง โจมตีเหยียบย่ำพวกสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็ตามที่บุกรุกเข้ามาในถิ่นของพวกมัน
มีคนกล่าวไว้ว่าต่อให้เป็นภูเขา ขอเพียงแค่แรดเหล็กรู้สึกขวางหูขวางตา พวกมันก็สามารถพุ่งเข้าชนจนพังทลายได้
แล้วก็มีคนกล่าวไว้อีกว่า เป็นเพราะบนภูเขามีรังของสัตว์ปีกดุร้ายอยู่ ทำให้แรดเหล็กโมโหและวิ่งชน
จากนั้นก็บินไปอีกสองชั่ว จนเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นที่ราบสูงรกร้าง มีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นมาในหมู่เขาอีกครั้ง หลินยวนยังคงขับรถพุ่งเข้าไป
ก่อนที่จะพุ่งเข้าไป เยี่ยนอิงได้เอาหน้าแนบกระจกแล้วมองลงไปข้างล่าง พบว่าด้านล่างนั้นเหมือนจะมีโพรงถ้ำที่ถูกขุดไว้ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีคนพักอาศัยอยู่ที่นี่ไม่น้อย
รถบินทะลุออกมาจากในหมอกที่หนาทึบ เป็นโลกใหม่อีกแห่งหนึ่ง เป็นโลกที่มีความสวยสดงดงาม สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในสายตาคือสายรุ้งขนาดใหญ่ ถึงดินแดนแห่งความฝันแล้ว!
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือหอกยาวแท่งหนึ่งที่เหวี่ยงเข้ามา แล้วก็มีเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวดังตามมา “หยุด!”
เป็นเทพมหาวิญญาณตนหนึ่งที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
หลินยวนหักรถพุ่งตรงขึ้นไปด้านบน รีบชะลอความเร็วของรถลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทรงตัวได้แล้วจึงค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้น
เทพมหาวิญญาณอีกตนหนึ่งโบกมือเพื่อบอกให้มารับการตรวจสอบทางนี้
หลินยวนบังคับรถให้วิ่งไปบนพื้น ขับไปตรงหน้ากลุ่มทหารของสภาเซียน หลังจากจอดรถ ทั้งสามคนก็ลงจากรถไปรับการตรวจสอบอย่างว่าง่าย
เมื่อเผชิญหน้ากับการตรวจสอบ ทั้งสามคนถอดใบหน้าที่แปลงโฉมออก เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงและบอกชื่อของตนเองไป
หลินยวนกับหลัวคังอันไม่มีอะไร พวกเขาหันไปมองทางเยี่ยนอิงโดยไม่รู้ตัว กังวลว่าเธอจะไม่ผ่าน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยนอิงบอกว่าไม่เป็นไร เธอมีวิธีอยู่
ได้ยินมาว่าเทพแห่งความฝันนั้นงดงาม ที่จริงแล้วทั้งสองคนก็อยากจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอเช่นกันว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผลที่ออกมาค่อนข้างน่าแปลกใจ เธอเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง นอกจากผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียดแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสวยอะไรมากนัก
ทั้งสามคนถูกซักชื่อและประวัติความเป็นมา จากนั้นก็ยังต้องรออีก รอให้ทหารติดต่อกับโลกภายนอกเพื่อตรวจสอบก่อน
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียก “หลัวคังอัน!”
ทั้งสามคนงุนงงขึ้นมาพร้อมกัน หลัวคังอันมองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีคนคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของทหารโบกมือให้เขา หลัวคังอันเผยสีหน้าประหลาดใจทันที โบกมือให้ทางนั้นเช่นกัน
หลินยวนที่อยู่ข้างๆ กระซิบถามเขาทันที “ใคร?”
“เหยาเซียนกง เพื่อนที่ค่ายผู้พิทักษ์เทพที่เมืองหลวง” หลัวคังอันกระซิบตอบ
หลินยวนกระซิบ “ถ้าเป็นไปได้ก็สืบข้อมูลอะไรมาหน่อย” กล่าวจบก็ปิดปากเงียบไปทันที อีกฝ่ายกำลังก้าวอาดๆ มาถึงแล้ว
เมื่ออีกฝ่ายมาถึงก็ตบอกตบบ่าของหลัวคังอัน หัวเราะเหอะๆ พลางมองสำรวจเขาจากหัวจรดเท้า กล่าวว่า “หลัวคังอัน ได้ยินว่าชีวิตตอนนี้ไม่เลวเลยนี่!”
หลัวคังอันชกกำปั้นเข้าที่หน้าอกเขา พลางกล่าวอย่างประหลาดใจ “เหยาซยง ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ เลื่อนขั้นเหรอ?”
เหยาเซียงกงโบกมือพลางส่งเสียงทอดถอนใจ “เลื่อนขั้นกับผีน่ะสิ เบื้องบนจับตาดูที่นี่เป็นพิเศษ ไม่ใช้ทหารในพื้นที่ที่ใกล้เคียงเลย ทหารที่มาเฝ้าล้วนเป็นทหารที่ทางสภาเซียนส่งมา ไม่ได้มีแค่ฉันนะ พวกเหล่าเกาก็อยู่ที่นี่ด้วย คนของหน่วยเรามากันหมดเลย วันนี้ฉันมาเข้าเวรที่ทางออกทางนี้พอดี พวกเหล่าเกายังอยู่ในค่าย” เขาชี้ไปยังเทพมหาวิญญาณตนหนึ่งที่ยืนนิ่งๆ อยู่ไม่ไกล เพื่อบอกว่าของของฉันอยู่ทางนั้น
หลังจากนั้นก็ลากแขนหลัวคังอัน ยิ้มพลางกล่าวกับเหล่าทหารของเมืองหลวงที่อยู่รอบๆ ว่า “คนนี้เป็นคนกันเอง ไม่สิ เมื่อก่อนเป็นคนกันเอง แต่ตอนนี้ข้ามขั้นไปแล้ว เขาคือหลัวคังอัน หลัวคังอันที่เป็นตัวแทนหอการค้าตระกูลฉินไปเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณ เมื่อก่อนเป็นพี่น้องคนกันเอง ทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อเขาใช่ไหม”
ทันทีที่พูดออกไปแบบนี้ก็มีคนบางส่วนห้อมล้อมเข้ามา ทักทายหลัวคังอันประมาณหนึ่ง คนที่รักษาท่าทีก็แค่พยักหน้าให้เล็กน้อย
ท่าทียังนับว่าเกรงใจ แน่นอน ถ้าเป็นหลัวคังอันที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรคนนั้น ทุกคนคงคร้านจะมาสนใจ แต่การประมูลเทพมหาวิญญาณในครั้งนั้นเขาต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของคนที่มาจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง หลัวคังอันจึงนับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้ผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง
“ถูกขับออกจากบัญชีรายชื่อเซียนแล้วยังถูกเตะออกจากการเป็นผู้พิทักษ์เทพ น่าอายขายหน้า ขายหน้าพี่น้องทุกคนแล้ว สวัสดีทุกคน” หลัวคังอันยิ้มพลางประสานมือเคารพทุกคน
เหยาเซียงกงตบบ่าหลัวคังอันพลางกล่าว “คนนี้ไม่ต้องตรวจสอบหรอก กินข้าวหม้อเดียวกันมาหลายปี ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านฉันก็จำเขาได้ ฉันรับรองได้ว่าคนนี้ไม่มีปัญหาอะไร”
ส่วนหลินยวนกับเยี่ยนอิงที่อยู่ข้างๆ เขากลับไม่ได้พูดอะไร จะให้เขาไปรับรองส่งเดชก็คงไม่ได้
……………………………………………………………