ตอนที่ 272 ออกจากใต้ดิน
เวลามันช่างบังเอิญจริงๆ ทางนี้เพิ่งจะได้ดวงตาแห่งความฝันมา ทางหอการค้าตระกูลฉินก็ถามมาเลย
แต่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วหอการค้าตระกูลฉินก็จะติดต่อกับทางนี้วันละครั้งอยู่แล้ว
หลินยวนครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยตอบกลับไป “เรื่องที่ได้ดวงตาแห่งความฝันมาแล้วยังไม่ต้องบอก ตอบไปตามที่เคยคุยกันปกติ บอกว่ายังหาอยู่”
“เอ่อ…” หลัวคังอันไม่เข้าใจว่าในเมื่อได้ของมาอยู่ในมือแล้วทำไมยังต้องปิดบังอีก “น้องหลิน แบบนี้มันไม่ค่อยดีหรือเปล่า นี่มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว? หลังจากที่พิษระบาดที่โรงงานสร้างข่ายพลังก็เสียเวลาไปหลายวันแล้ว พวกเราไปอยู่ที่เมืองหมอกอีกหลายวัน ตอนนี้มาที่นี่ก็เสียเวลาไปไม่น้อย ระหว่างทางก็วิ่งวุ่นกันอีก นับรวมทั้งหมด บวกกับเวลาไปกลับอีก นี่มันก็เกือบจะหมดไปหนึ่งเดือนแล้วนะ”
“คนที่ได้รับพิษเหล่านั้นต้องทนมาหนึ่งเดือนแล้ว สำหรับหอการค้าตระกูลฉินแล้ว ในแต่ละวันที่ผ่านไป ความกดดันก็ยิ่งมากขึ้น หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ทางหอการค้าตระกูลฉินจะรับความกดดันไม่ไหวเอานะ ถ้าเราบอกให้รู้เร็วหน่อย มันก็จะทำให้ทางหอการค้าโล่งใจไปได้นะ! อีกอย่าง พวกเราได้ของมาอยู่ในมือแล้วไม่ยอมบอก ถ้าเกิดถูกคนอื่นตัดหน้าไปก่อน เงินรางวัลสามพันล้านมุกของหอการค้าตระกูลฉินนั่นก็เท่ากับว่าต้องให้คนอื่นไปฟรีๆ นะ นี่พวกเรามาลำบากกันเล่นๆ เหรอ?”
กล่าวจบก็มองร่างกายของตนเอง แล้วก็ยังเดินกะเผลกไปก้าวหนึ่ง คล้ายกำลังจะบอกว่าฉันเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้แล้วนะ
ที่เขากล่าวมาเป็นเรื่องจริง แล้วก็มีเหตุผลด้วย เวลาล่วงเลยไปแต่ละวัน ขวัญกำลังใจของหอการค้าตระกูลฉินก็จะยิ่งระส่ำระส่าย เวลายิ่งใกล้ถึงกำหนด ความกดดันของทางหอการค้าตระกูลฉินก็จะยิ่งมากขึ้น
หลินยวนไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เยี่ยนอิงเองก็มองดูท่าทีของหลินยวนอยู่เช่นกัน
แต่หลินยวนกลับกล่าวว่า “ในตอนที่ดวงตาแห่งความฝันยังส่งไปไม่ถึงเมืองปู๋เชวี่ย อย่าให้คนภายนอกรู้เรื่องที่เราได้ดวงตาแห่งความฝันมาแล้ว อย่าให้ข่าวรั่วไหลออกไปเด็ดขาด!” คำกล่าวนี้เด็ดขาดมาก ไม่อนุญาตให้มีความสงสัยใดๆ
แต่หลัวคังอันค่อนข้างร้อนใจ “ฉันว่านะน้องหลิน ถ้าไม่ให้หอการค้าตระกูลฉินรู้ว่าได้ดวงตาแห่งความฝันมาแล้ว แล้วหอการค้าตระกูลฉินจะไปบอกให้ตระกูลหนานชีมาช่วยพวกเราได้ยังไงกัน?”
เขาไม่ร้อนใจคงไม่ได้ เงินรางวัลสามพันล้านมุกทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย แล้วตอนนี้เขายังถูกคนตั้งรางวัลล่าหัวของเขาเป็นเงินหนึ่งพันล้านมุกอีก ถ้าไม่มียอดผีมือกลุ่มใหญ่มาช่วย เขาก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่ เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อชีวิตของตนเอง
หลินยวนกล่าวอย่างไม่แยแส “แกถูกคนตีค่าหัวพันล้านมุก ถ้าเกิดคนของตระกูลหนานชีมาเจอพวกเรา พวกเขาจะต้องให้พวกเรามอบดวงตาแห่งความฝันให้พวกเขาเอากลับไปแน่ พวกเขาไม่มีทางที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องพวกเรา สำหรับพวกเขาแล้ว การเอาดวงตาแห่งความฝันกลับไป มันดีกว่ามาช่วยพวกเราสามคนให้รอดชีวิตกลับไป”
“…” หลัวคังอันพูดไม่ออก อีกฝ่ายว่ามาแบบนี้ เขาก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ามีความเป็นได้ไปอย่างมากทีเดียว ในสายตาเขาปรากฏความยากลำบาก โอดครวญอยู่ในใจ ฉันมาที่นี่ทำไมวะเนี่ย? ไอ้คนที่ไม่มีความเป็นคนคนนี้ใช้ตัวตนของฉันมาบังหน้า มันจะเกินไปแล้ว
หลินยวนกล่าวอีกว่า “ถ้าดวงตาแห่งความฝันอยู่ในมือของพวกเรา มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเอากลับไปได้อยู่ แต่ถ้าอยู่ในมือของตระกูลหนานชี ความเป็นไปได้ที่จะเอากลับไปนั้นมีไม่มากหรอก”
สำหรับเรื่องนี้ หลัวคังอันต้องพูดไปตามความจริง “ดูนายพูดเข้าสิ จะบอกว่าอิทธิพลของตระกูลหนานชีสู้พวกเราไม่ได้เหรอ? เอ่อ…” จู่ๆ ก็นึกถึงตัวตนของอีกฝ่ายขึ้นมา แววตาเขาเป็นประกาย “นายเรียกคนของพวกเรามาช่วยแล้วเหรอ?”
เขาเกือบจะถามออกไปแล้วว่ากลุ่มโจรกบฏของพวกนายก็มาแล้วเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นมันก็ไม่แน่แล้ว แม้ว่าตระกูลหนานชีจะมีอิทธิพลอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับเศษเดนราชวงศ์ก่อนที่ต่อต้านสภาเซียนแล้ว นั่นมันแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลย
เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของเศษเดนราชวงศ์ก่อนมาแล้ว ยอดฝีมือมากมายราวกับก้อนเมฆบนฟ้า ต้องแข็งแกร่งกว่าตระกูลหนานชีอย่างมากแน่นอน
หลินยวนเหลือบมองเขา “แกคิดมากแล้ว”
“ห้ะ?” หลัวคังอันไม่เข้าใจ
เยี่ยนอิงกลับพูดแทรกขึ้นมาอย่างเฉยเมย “เขาหมายความว่าสภาเซียนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าดินแดนแห่งความฝัน ถ้าจะเอาดวงตาแห่งความฝันออกไปจากดินแดนนี้ ก็จำเป็นต้องผ่านด่านของสภาเซียน ซึ่งก็หมายความว่าสภาเซียนจะรู้ได้ทันทีว่าดวงตาแห่งความฝันถูกเอาออกไปจากดินแดนแห่งความฝันแล้วหรือยัง”
หากสภาเซียนต้องการจะสกัดกั้นดวงตาแห่งความฝันนี้ไว้จริงๆ ล่ะก็ ต่อให้ตระกูลหนานชีจะได้ดวงตาแห่งความฝันไป ตระกูลหนานชีจะเอามันกลับไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แล้วถ้าเกิดสภาเซียนแอบกดดัน เกรงว่าตระกูลหนานชีเองก็คงจะไม่กล้าส่งมันกลับไปเช่นกัน กลัวว่าคงจะได้แต่ต้องมองหอการค้าตระกูลฉินล้มละลายไป ส่วนเรื่องความลับของเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปด จะมีตระกูลไหนฮุบเอาไว้ตระกูลเดียวล่ะ?”
“หลัวคังอัน นายต้องรู้นะว่าตระกูลหนานชีกับหอการค้าตระกูลฉินไม่เหมือนกัน เรื่องบางเรื่อง หอการค้าตระกูลฉินทำได้ แต่ตระกูลหนานชีไม่กล้าทำ เพราะถ้าหอการค้าตระกูลฉินทำสำเร็จ นั่นเรียกว่าเป็นความสามารถ แต่ถ้าตระกูลหนานชีทำสำเร็จ นั่นเรียกว่าตบหน้าสภาเซียน”
ใบหน้าของหลัวคังอันดูครุ่นคิดคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าใจ เยี่ยนอิงจึงกล่าวเสริมว่า “คนบางคนทำเพื่อผลประโยชน์ ในสายตาคนที่อยู่เบื้องบนมองว่านั่นคือการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด คนบางคนทำเพื่อผลประโยชน์ ในสายตาคนที่อยู่เบื้องบนมองว่านั่นคือการต่อต้าน! ตัวอย่างเช่นคนธรรมดาคนหนึ่งด่าองจักรพรรดิอย่างเปิดเผย ถ้ามีคนยินดีเอาความก็เอาความไป แต่ถ้าไม่มีใครเอาความก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร องค์จักรพรรดิเองก็ไม่มีทางเก็บมาใส่ใจ นายลองให้ตระกูลหนานชีด่าดูสิ? เมื่อยืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน กฎกติกามันก็ต่างกันไปด้วย”
หลินยวนกล่าว “เธอพูดอ้อมค้อมเกินไป เขาฟังไม่เข้าใจหรอก”
หลัวคังอันที่ผิวแดงเถือกและผมม้วนหงิกงอมองเขาอย่างหมดคำพูด อยากจะถามเขานักว่าฉันโง่มากหรือไง? ทำไมจะฟังไม่เข้าใจ?
หลินยวนอธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายกว่าเดิม “ทางหอการค้าตระกูลฉินมีชีวิตคนนับหมื่นต้องช่วยเหลือ หอการค้าตระกูลฉินจะเอาดวงตาแห่งความฝันไปช่วยเหลือคน ซึ่งในจุดนี้ สภาเซียนจะเข้าไปขัดขวางอย่างเปิดเผยมันก็ดูไม่ดี แต่ถ้าตระกูลหนานชีได้ดวงตาแห่งความฝันกลับไป นั่นมันกลับมีประเด็นอื่นนอกเหนือจากการช่วยเหลือคน ถ้าสภาเซียนแตะต้องหอการค้าตระกูลฉิน นั่นก็จะกลายเป็นว่าสภาเซียนไม่พอใจที่หอการค้าตระกูลฉินช่วยเหลือคน ซึ่งสภาเซียนต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ แต่ถ้าเป็นตระกูลหนานชี แกคิดว่าสภาเซียนไม่กล้าจัดการเหรอ? ตระกูลใหญ่ร้อยตระกูล เหลืออยู่แค่เจ็ดสิบตระกูล แกว่ามันเป็นเพราะอะไรล่ะ? ตระกูลหนานชีดูเหมือนมีอิทธิพลกว้างขวาง ความจริงแล้วก็เป็นแค่กบในกะลา คิดว่าตนเองแน่ เป็นแค่ปลาที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในบ่อน้ำ ถ้ากระโดดขึ้นฝั่งก็ต้องตาย คิดเยอะมากไป ไม่เป็นโล้เป็นพาย อะไรที่เป็นความลับก็อย่าไปคุยกับพวกเขา”
ในคำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เห็นตระกูลหนานชีอยู่ในสายตา แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงดูถูก
สิ่งที่น้ำเสียงสะท้อนออกมาเป็นเพียงแค่ความคิดในใจของเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วเขาอยากจะสอนให้หลัวคังอันเข้าใจอะไรบางอย่าง
ขนาดตระกูลหนานชียังบอกว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย? โจรกบฏจริงๆ ด้วย! หลัวคังอันพึมพำในใจ มุมปากกระตุกขึ้นมา ทอดถอนใจพลางกล่าว “พวกเราเอาดวงตาแห่งความฝันออกไป เราก็ต้องผ่านด่านของสภาเซียนที่อยู่ตรงทางออกเหมือนกันนี่นา”
หลินยวนกล่าว “สภาเซียนรู้แล้วยังไง พวกเขาจะกล้าแหกกฎมาแย่งไปเหรอ? จะเอากลับไปยังไงมันเป็นเรื่องของพวกเรา ขอแค่สภาเซียนไม่มาช่วยคุ้มกัน นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องของสภาเซียน”
หลัวคังอันผายมือที่แดงเถือก “ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ พวกเราก็ต้องเอากลับเองไง!”
“แกยังกลัวพวกปลาซิวปลาสร้อยที่อยู่ข้างนอกนั่นเหรอ?” หลินยวนย้อนถาม พลางกล่าวอย่างดูแคลน “กองทัพของสภาเซียนที่เมืองหลวงยังหยุดฉันไม่ได้เลย ไอ้พวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นไม่มีอะไรต้องกลัว ทุกอย่างย่อมมีทางออก ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน!”
คำพูดที่ยิ่งผยองนี้ทำเอาหลัวคังอันตกตะลึงไป ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงว่า “นายก็เข้าร่วมโจมตีเมืองหลวงด้วยเหรอ?”
หลินยวนไม่สนใจเขา แต่กลับกล่าวเตือนขึ้นมา “รีบตอบกลับไป ขืนตอบช้า เดี๋ยวทางหอการค้าตระกูลฉินจะสงสัยเอาได้ แล้วก็อย่าลืมถามหอการค้าตระกูลฉินด้วยว่าตระกูลหนานชียอมส่งคนมาช่วยไหม?”
ยังจะถามอีกเหรอ? หลัวคังอันผงะไป กล่าวอย่างลังเล “ไม่ใช่ว่านายไม่อยากให้ตระกูลหนานชีรู้เหรอ?”
หลินยวน “ทำตามที่บอก”
เอาเถอะ หลัวคังอันจึงได้แค่ต้องทำตามที่บอก เขาหยิบยันต์สื่อสารออกมาหนึ่งใบ หลับตาใช้พลัง ยันต์สลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที โปรยปลิวออกไปราวกับหมอกควัน
หลังจากลืมตาขึ้นมา เขาก็เงียบไปอีกสักพัก หลังจากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง นิ่งเงียบเพื่อรับสาร จากนั้นถึงจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ตอบกลับมาแล้ว ก็เหมือนเดิม บอกว่าถ้าหาเจอแล้วให้รายงานด้วย ตระกูลหนานชีจะส่งคนไปรับ”
เยี่ยนอิง “หอการค้าตระกูลฉินนี่ค่อนข้างไร้เดียงสานะ”
“ในเมื่อตระกูลหนานชีห่วงหน้าพะวงหลัง อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ ไปเถอะ!” หลินยวนเรียก ทั้งสามคนเดินทางกันต่อ
ในการเดินทางกลับออกมาครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องลังเล เพราะว่ามีการทำเครื่องหมายไว้ตลอดเส้นทาง ประกอบกับมีประสบการณ์ในตอนที่เข้ามาแล้ว ขากลับจึงค่อนข้างเร็ว ไม่ใช่สิ่งที่ตอนขามาจะเทียบได้เลย
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็ออกมาจากเส้นทางเดิม ขึ้นมาจากใต้ดิน กลับสู่โลกแห่งแสงสว่าง
หลังจากการเดินทางนี้ พวกเขาสามคนได้ของที่ต้องการมาแล้ว แล้วก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเท่าไรด้วย ก็แค่เยี่ยนอิงเปลี่ยนเสื้อผ้า รูปลักษณ์ภายนอกของหลัวคังอันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ทั้งสามกลับมาถึงตรงจุดที่ทิ้งรถไว้ เมื่อหารถเจอ ก็ขึ้นไปนั่งกัน
หลัวคังอันที่นั่งอยู่เบาะหลังคนเดียวกำลังดูแลอาการบาดเจ็บของตนเองอย่างระมัดระวัง หลินยวนขับรถต่อไป พลางถามเยี่ยนอิง “บอกทางไปยังค่ายทหารแถวนี้หน่อย ไปหาพวกเขาหน่อย”
หลัวคังอันที่กำลังทายาใส่แผลของตัวเองอยู่เอ่ยถามขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ว่าต้องหลบพวกเขาเหรอ?”
หลินยวนไม่สนใจ ส่วนเยี่ยนอิงก็ชี้บอกทิศทาง
หลังจากที่ทั้งสามคนมาถึง ก็ให้หลัวคังอันลงไปรับแขกอีกครั้ง เห็นหลัวคังอันมีการพูดคุยมอบของขวัญ
หลังจากนั้น ทหารก็แปลกใจอย่างมาก เอ่ยถามเขา “หลัวซยง ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”
“เห้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย ระหว่างทางไปเจอสัตว์ประหลาดที่ปล่อยสายฟ้าได้น่ะสิ” หลัวคังอันตอบไป จากนั้นก็ทำตามที่หลินยวนกำชับ คือสืบว่าที่นี่เคยเห็นนางพญาหนอนแห่งความฝันหรือไม่
สัตว์ที่หลบอยู่ใต้ดินลึกขนาดนั้น ทหารพวกนี้จะเคยเห็นได้ยังไง ย่อมไม่เคยเห็นอยู่แล้ว
หลัวคังอันทำท่าทางเหมือนบอกว่าช่างมันเถอะ จากนั้นบอกลาแล้วเดินทางออกไป เร่งเดินทางไปยังจุดต่อไป
หลังจากที่รถทะยานขึ้นไปในอากาศ เยี่ยนอิงก็เอ่ยถาม “ตอนนี้ไปทะเลหนามไหมคะ?”
หลินยวน “ไป แต่เดี๋ยวไปที่จุดอาศัยของหนอนแห่งความฝันให้ครบทั้งหกจุดก่อน เธอบอกรายละเอียดที่เธอรู้เกี่ยวกับทะเลหนามมาก่อน”
ไปทั้งหกจุดให้ครบ? อีกสองคนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาต้องการทำอะไร เยี่ยนอิงครุ่นคิด พลางเอ่ยขึ้นมา “ทะเลหนามก็ตามชื่อของมันเลยค่ะ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยหนาม แต่ว่าหนามในสถานที่นี้ไม่เหมือนกับหนามของโลกภายนอก มันเป็นเหมือนเถาที่เต็มไปด้วยหนามเหล็ก พูดให้ถูกคือเป็นพืชโลหะ อีกทั้งยังสามารถโจมตีคนคล้ายกับปีศาจได้ด้วย ”
หลินยวน “พืชโลหะ หมายความว่ายังไง?”
เยี่ยนอิง “ก็ความหมายตรงตัวเลยค่ะ มันเป็นโลหะ แต่มีชีวิต เป็นพืชที่แปลกมาก พวกมันจะกระหายเลือด ดังนั้นจึงเรียกว่าหนามกระหายเลือด ถ้าเกิดเข้าไปก็จะถูกเกี่ยวไว้ แล้วก็ดูดเลือดในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีความเหนียวของโลหะที่ไม่ธรรมดา ถ้าถูกมันล้อมโจมตีล่ะก็ หากสภาวะไม่แข็งแกร่งมากพอก็ยากที่จะหลุดรอดออกมาได้ค่ะ”
หลินยวนกล่าว “ว่ากันว่าเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดสามารถเปลี่ยนแปลงพลังไปตามผู้ควบคุมได้ หรือว่าจะใช้หนามกระหายเลือดนี้สร้างขึ้นมา?”
เยี่ยนอิง “เรื่องนี้ฉันจะรู้ได้ยังไงคะ ถ้าฉันรู้ว่าความลับอยู่ตรงไหน ฉันก็บอกท่านไปแล้วค่ะ ไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่หรอกค่ะ”
หลินยวน “เราสามารถเข้าใกล้หนามกระหายเลือดได้ไหม?”
เยี่ยนอิง “น่าจะได้นะคะ ในเมื่อสถานที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า ‘ทะเล’ ก็แสดงว่ามันเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่มากพอ ถ้าสภาเซียนจะวางข่ายพลังป้องกันเอาไว้ให้ครอบคลุมทั้งหมด อย่างนั้นต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอให้ตั้งข่ายพลังเหล่านั้นได้ล่ะคะ?”
หลัวคังอันถอนใจ “ทำไมพวกเราต้องเอาดวงตาแห่งความฝันไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้ด้วย? เราเอาดวงตาแห่งความฝันกลับไปส่งก่อนค่อยว่ากันอีกทีไม่ได้เหรอ?”
เยี่ยนอิงรู้สึกขบขัน เธอหันกลับไปมอง ผลก็คือพบว่าหลัวคังอันถอดเสื้อท่อนบนแล้วกำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวอยู่ เธอรีบหันหนีทันที “ถ้าเอาดวงตาแห่งความฝันกลับไปแล้วค่อยกลับมาใหม่ เราก็จะไม่มีข้ออ้างให้กลับมาอีก แบบนั้นจะทำให้คนสงสัยเอาได้ นายเนี่ยนะ อย่าลืมสถานะของตัวเองในตอนนี้สิ ด้วยสถานะของนายในตอนนี้ ความลับของเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดน่าจะสำคัญกว่าการอยู่รอดของหอการค้าตระกูลฉินนะ” เธอมองออกนานแล้ว รู้ว่าทะเลหนามนั้นยังไงก็ต้องไป
………………………………………………………..