จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – บทที่ 1261-1265

บทที่ 1261-1265

บทที่ 1261 : ราชินีหนีออกจากวังอีกแล้ว (1)
  “พ่ะย่ะค่ะ ราชา”
  ผู้อาวุโสใหญ่ป้องหมัดเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ
  “เจ้าจัดการที่นี่ต่อก็แล้วกัน ข้าต้องกลับไปหาราชินีแล้ว”
  ครั้นประโยคสุดท้ายสิ้นสุด ใบหน้าของตี้คังก็อ่อนโยนลง มุมริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สวยงาม …
  ความลำบากใจฉายไปทั่วใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่
  อาวุโสใหญ่ต้องการเตือนตี้คังว่า หากตี้คังยิ้มอย่างสดใสและงดงามเช่นนี้ เหล่าสัตว์อสูรสาวเป็นต้องใจละลายตามรอยยิ้มเขาไปอย่างแน่นอน
  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยกล่าว ร่างที่หล่อเหลาก็อันตรธานไปแล้ว …
  “แค่ก !” ผู้อาวุโสใหญ่ไอแห้ง ๆ พลางชะโงกไปดูสัตว์อสูรมากมายที่อยู่ด้านล่าง เขาจ้องมองไปที่ชายชราคนหนึ่ง “หัวหน้าเผ่าเสือดาว ราชาของเราดูแลราชินีด้วยองค์เองมาโดยตลอด เช่นนั้นเราจึงไม่หาสาวใช้เลย เพราะราชาจะดูแลเรื่องทั้งหมดด้วยพระองค์เอง ทว่า … อีกไม่นานองค์หญิงน้อยจะมีพระประสูติกาล จึงจำต้องมีองครักษ์หญิงสักสองสามคนไปคอยดูแลองค์หญิงน้อยเป็นการส่วนพระองค์ เอ่อ… ท่านหัวหน้าเผ่าเสือดาวท่านพอจะมีคนที่เหมาะสมในเผ่าท่านบ้างหรือไม่ ?”
  ถ้อยคำของเขาอธิบายอย่างแจ่มชัด…
  ราชารักเดียวใจเดียวเพียงราชินี ทั้งยังยอมลดทิฐิตนเองลงดูแลนางเองทุกวัน ที่ทรงเลือกองครักษ์หญิงก็เพื่อให้ดูแลองค์หญิงน้อยในพระครรภ์ เพราะไม่ต้องการให้องครักษ์ชายดูแลนาง ด้วยเกรงว่าจะดูแลองค์หญิงน้อยได้ไม่ดี และไม่เหมาะสมนัก ?
  เช่นนั้นองครักษ์หญิงเหล่านี้ก็ต้องทำหน้าที่ตามรับสั่งราชาเท่านั้น ไม่ควรคิดเกินเลยจากหน้าที่ หาไม่ย่อมไม่ต่างจากรนหาที่ตาย !
  “เอาล่ะข้าว่า พวกเจ้ารีบกลับไปเตรียมตัวกันก่อน จากนั้นค่อยไปอาณาจักรอสูรพร้อมกับข้า” ผู้อาวุโสใหญ่เลิกแขนเสื้อขึ้น พลางออกคำสั่งอย่างไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
  ครั้นทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ถอยกลับไป
  หญิงสาวสวยที่ตี้คังเอ่ยถึงเมื่อครู่ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา ทว่าหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว นางก็ค่อย ๆ เดินออกจากลานไป …
  “พี่สาว !”
  ขณะที่หญิงสาวร่างบอบบางเดินออกไปด้านนอก จู่ ๆ ก็ปรากฏร่างหนึ่งขวางทางนาง นางขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นจ้องสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
  เมื่อเทียบกับใบหน้าที่บอบบางของนางแล้ว สตรีเบื้องหน้านางมีเสน่ห์มากกว่า นัยน์ตากลมโตราวกับว่าจะสามารถพูดได้ และใบหน้าเล็ก ๆ ของหญิงผู้นั้นก็น่ารักมาก
  “พี่สาวข้าได้ยินมาว่า ราชาเลือกพี่ไปรับใช้เป็นการส่วนพระองค์ หลังจากที่พี่สาวไปที่เมืองอสูรข้าต้องการความช่วยเหลือจากพี่สาว”
  มู่อิงผงะ คิ้วของนางขมวด ใบหน้าอันบอบบางของนางแลดูลังเล “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร ?”
  “พี่สาว อย่าแกล้งหลอกข้าเลย พี่คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่า ที่องค์ราชาต้องการเลือกองครักษ์ให้องค์หญิงน้อยนั้น แท้จริงแล้วพระองค์ต้องการเลือกพระสนมสำหรับองค์เองมากกว่า หลังจากเข้าเมืองอสูรแล้ว พวกเราจะได้เป็น พระสนมของราชาด้วยกันไง พี่สาวท่านแข็งแกร่งกว่าข้า หากพี่ไม่ช่วยข้าผู้ใดจะช่วยข้าได้ ? “ใบหน้าเล็ก ๆ ของมู่เสวี่ยแดงก่ำด้วยความโกรธ
  ในความคิดของนางก็คือ มู่อิงต้องการผูกขาดผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว และไม่ต้องการส่งเสริมน้องสาวของตนเอง
  เนื่องจาก ราชาทรงเลือกนางด้วยองค์เอง นั่นย่อมพิสูจน์ได้ว่า ราชาทรงให้ความสำคัญกับนางมาก ขอเพียงนางเอ่ยปาก คนในแดนอสูรย่อมต้องเกรงใจเป็นแน่ ?
  “เจ้าหมายความว่ากระไร ? ราชาทรงเลือกพระสนมเสียเมื่อไหร่ ? ที่ทรงเลือกข้าเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า และหน้าที่ของข้าก็คือการปกป้ององค์หญิงน้อย อย่าคิดไปเรื่อย”
  ใบหน้าของมู่อิงเปลี่ยนไป นางกล่าวด้วยความโกรธ
  นางไม่เคยเข้าใจน้องสาวคนนี้เลย ชายหนุ่มจำนวนมากในเผ่าเสือดาวที่หลงใหลในตัวน้องสาวของนาง ทว่าน้องสาวของนางก็ไม่เคยไยดี เอาแต่เฝ้าฝันที่จะเป็นหงส์ฟ้า มักใหญ่ใฝ่สูงตลอดเวลา และตอนนี้ก็ยังเล็งไปที่องค์ราชา
  คนเยี่ยงองค์ราชามีรึจะมองพวกนาง ?
ราชินีหนีออกจากวังอีกแล้ว (2)
  “ปกป้ององค์หญิงน้อยกระนั้นรึ ?” มู่เสวี่ยยิ้มเยาะและมุมปากของนางก็ยกเย้ย “ราชินียังไม่ประสูติ แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิง ? ในความคิดของข้า ราชาต้องการเลือกพระสนมอย่างเห็นได้ชัด ! แต่หากจะพูดตรง ๆ ราชินีคงจะไม่ทรงพอพระทัยเป็นแน่”
  ใบหน้าของมู่อิงเคร่งเครียด “หากเจ้าทำเช่นนั้น จะเป็นการนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่เผ่าเสือดาวของเรา เป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเราที่จะมีสันติสุขได้อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้”
  “พี่สาว…ข้าเพียงพูดความจริง ข้าได้ยินมาว่าราชินีทรงเป็นมนุษย์ ด้วยความเกลียดชังมนุษย์ของแดนอสูรเรา พี่คิดว่าราชาจะทรงอยู่กับนางไปได้อีกนานเพียงใด ? องค์ชายน้อยก็เป็นลูกครึ่งที่เกิดจากมนุษย์ เหตุใดเขาถึงจะได้ปกครองอาณาจักรอสูรของเราล่ะ ?”
  มุมปากของมู่เสวี่ยยกโค้งเยาะหยัน นางกล่าวอย่างดูถูกว่า “มีเพียงเด็กที่เราให้กำเนิดเท่านั้นที่คู่ควรกับตำแหน่งองค์ชาย !”
  นังมนุษย์ตัวเหม็นนั่นจะมาแข่งเรื่องผู้ชายกับสาวสัตว์อสูร หากเป็นสัตว์อสูรด้วยกันมาเป็นราชินีก็ยังพอว่า แต่นี่นางเป็นมนุษย์กลับได้เป็นราชินี เหตุใดข้าถึงจะเป็นพระสนมของราชาไม่ได้ ?
  และ…
  ตอนนี้ราชาก็ขอให้ผู้อาวุโสใหญ่ช่วยเลือกพระสนมให้พระองค์ พระองค์คงจะไม่ได้รักราชินีมากมายนักหรอก
  ใช่แล้ว ในความคิดของมู่เสวี่ย การกระทำครั้งนี้ของตี้คังที่ว่าจะคัดเลือกองครักษ์หญิงให้องค์หญิงน้อย ที่แท้เป็นการเลือกพระสนมเพื่อตนเองเสียล่ะมากกว่า
  และนางก็จะต้องได้เป็นพระสนมคนหนึ่งของเขาด้วย
  “คำพูดเหล่านี้ของเจ้า ข้าจะบอกท่านพ่อทั้งหมดตามความเป็นจริง ส่วนเจ้า … “
  มู่อิงกัดริมฝีปาก พลางจ้องสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา
  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะทันกล่าวจบ เสียงโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากด้านหน้า
  “เจ้านี่ก็เอาแต่ฟ้อง วัน ๆ เจ้าทำอะไรบ้างนอกจากฟ้องท่านพ่อ”
  หญิงสาวสวยวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมลายดอกไม้ก้าวออกมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาคมวาวของนางดูเหมือนจะลุกเป็นไฟด้วยโทสะ นางตวาดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
  “มู่อิงข้าขอสั่งเจ้าไว้เลยว่า ห้ามเจ้าบอกบิดาของเจ้าเรื่องนี้ และเจ้าก็ต้องพยายามมอบตำแหน่งราชินีให้กับน้องสาวของเจ้าด้วย !”
  มู่อิงจ้องนิ่ง “ท่านแม่ ท่านหมายถึงอะไร ?”
  “ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะสังหารมนุษย์สักคนมิใช่รึ ? เช่นนั้นเมื่อเจ้าสบโอกาสก็จงปลงพระชนม์ราชินีซะ จากนั้นก็จงยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เอง อย่าลากน้องสาวของเจ้าเข้าไปรับเคราะห์ด้วยเป็นพอ”
  หยูเหยาตะคอกอย่างเย็นชา
  นับแต่เด็ก เพื่อปกปิดความสามารถของมู่อิงแล้ว มู่หยูเทียนจึงมีคำสั่งให้ชาวเผ่าเสือดาวคอยปกป้องมู่อิงไว้บนภูเขาด้านหลัง เช่นนั้นนางจึงไม่เคยติดต่อกับมารดาของนาง…หยูเหยามากนัก
  แน่นอนว่าหยูเหยาย่อมไม่รักบุตรสาวผู้นี้เลย
  มู่อิงตัวแข็ง มารดาผู้ให้กำเนิดนางต้องการที่จะขับไล่นางให้ไปตายเพื่อบบุตรสาวอีกคนกระนั้นรึ ?
  นางอยากรู้จริง ๆ หญิงผู้นี้เป็นแม่แท้ ๆ ของนางหรือไม่ ?
  “ท่านแม่ … ” มู่เสวี่ยกอดแขนของหยูเหยา พลางกัดริมฝีปาก “ข้าไม่สน ข้าอยากเป็นผู้หญิงของเขา ไม่สิ ข้าอยากเป็นราชินี และลูกที่ข้าให้กำเนิดจะต้องได้ดีกว่าเด็กที่เกิดมาจากนางมนุษย์คนนั้น ! เด็กเลือดผสมเช่นองค์ชายน้อยไม่สมควรเป็นองค์ชายแดนอสูร !”
  “เด็กดี…ไม่ต้องห่วง แม่จะให้พี่สาวเจ้าช่วยเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของเจ้า” หยูเหยาลูบศีรษะของมู่เสวี่ย เบา ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยเอ๋อของข้าดีถึงเพียงนี้ จะให้ผู้ใดมากดูถูกได้เยี่ยงไร ?”
  หลังจากกล่าวจบนางก็เงยหน้าขึ้นมองมู่อิงพร้อมกับประกายแสงเย็นกระพริบในดวงตาของนาง
  “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ? อย่าเห็นว่าบิดาเอ็นดูเจ้ามาก แล้วจะมาพูดจาเยี่ยงนี้ต่อข้า ข้าจะตายให้เจ้าดู หรือว่าเจ้าจะเข้าข้างองค์ราชาเล่า แล้วปล่อยให้มารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าต้องตาย !”
บทที่ 1263 : ราชินีหนีออกจากวังอีกแล้ว (3)
  มู่อิงนิ่งงัน นัยน์ตาตกตะลึงของนางจับจ้องมองใบหน้าที่บึ้งตึงของหยูเหยา
  ชั่วขณะนั้นหัวใจของนางพลันเจ็บปวด ราวกับถูกมือบีบอย่างแรง กระทั่งนางรู้สึกไม่สบาย
  นี่แหละมารดาของนาง !
  ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เป็นนางที่เต็มใจจะถูกกักขังอยู่ในภูเขาด้านหลังกระนั้นรึ ? เป็นนางที่ขอแยกจากอกพ่อแม่กระนั้นรึ ?
  นางถูกบังคับให้ทำทุกอย่าง หากแต่นางไม่คาดคิดว่า แค่เพียงเพราะนางไม่ได้เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของมารดานาง จะทำให้มารดาของนางไม่ใส่ใจนางเลย …
  “เอาล่ะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกท่านพ่อ แต่หากท่านต้องการให้ข้าช่วยนาง ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้ ท่านแม่…ข้าก็เป็นบุตรสาวของท่าน ทั้งข้าก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน ข้าไม่เคยคิดที่จะรนหาเรื่องตาย”
  หัวใจของมู่อิงดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือก นางมองจ้องแม่กับน้องสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยท่าทางหงุดหงิด
  ในความคิดของมารดา อย่างไรเสียนางก็คงจะไม่มีวันดีไปกว่ามู่เสวี่ย
  หยูเหยาตกตะลึง มีประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของนาง ดูเหมือนนางใกล้จะหมดความพยายามแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้เห็นท่าทางเศร้าโศกของมู่เสวี่ย นางก็พยายามแข็งใจกล่าวอีกครั้ง
  “มู่อิง…ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่ได้คิดเกินเลยกับราชา ข้าบอกเจ้าว่าตำแหน่งราชินีต้องเป็นของเสวี่ยเอ๋อ ส่วนเจ้าในฐานะพี่สาวก็ไม่ควรแย่งนาง !”
  มู่อิงส่ายศีรษะ
  บางที…นางอาจจะกำลังผิดหวังกับคนที่เรียกตนเองว่าญาติพวกนี้ …
  “อย่างไรเสีย จงอย่าโทษข้าที่ไม่กล่าวเตือนเจ้า เจ้าอาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะเรื่องนี้”
  นางเหลือบมองหยูเหยา และมู่เสวี่ย เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินไปยังภูเขาด้านหลังอย่างช้า ๆ เพียงพริบตาร่างบาง ๆ ก็ลับหายไปจากสายตาของพวกนาง …
  “ท่านแม่ !”
  มู่เสวี่ยปากกระตุก น้ำตาปริ่มด้วยความเสียใจ นางหันหน้าไปมองหยูเหยาด้วยท่าทางน่าสงสาร
  ประกายแสงเย็นสว่างวาบในดวงตาของหยูเหยา นางจับมือเล็ก ๆ ของมู่เสวี่ยเบา ๆ “เสวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะขอให้บิดาของเจ้า ส่งเจ้าไปอารักขาองค์หญิงน้อยเป็นการส่วนตัว หากแต่บิดาของเจ้านั้นหัวโบราณมาก อย่าให้เขารู้ว่าเจ้ามีใจแอบหวังในองค์ราชา ต่อหน้าเขาเจ้าต้องไม่แสดงออก หาไม่เขามีแนวโน้มที่จะตะเพิดเจ้าแน่”
  มู่เสวี่ยกัดริมฝีปาก “แล้วหากมู่อิงบอกท่านพ่อล่ะ ?”
  นางสัญญากับเราแล้ว นางไม่ทำตัวเหลวไหลหรอก อย่าใส่ใจนางเลย วันหน้าหากเจ้าได้ขึ้นเป็นราชินี นางจะต้องมาคุกเข่าแทบเท้าของเจ้า และยอมจำนนต่อเจ้าเอง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะเยาะเย้ยนางให้อับอายอย่างไรก็ได้ เจ้าสามารถทำได้ทุกอย่าง !”
  เสียงของหยูเหยาเฉยชามาก ราวกับมู่อิงไม่ใช่บุตรสาวของนาง ทว่าเป็นลูกของอนุ
  เพียงแค่นั้น มู่เสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบ ๆ ในใจของนางเริ่มวาดหวัง
  ดูเหมือนนางได้เห็นตนเองสวมใส่มงกุฎราชินี มีเหล่าสัตว์อสูรนับพันคอยเฝ้ากราบกราน ใบหน้าสีชมพูของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส
  “ท่านแม่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง สักวันข้าจะต้องเป็นผู้หญิงที่สูงส่งที่สุดในแดนอสูร !”
  เดิมทีเป้าหมายของนางก็คือการได้เป็นพระสนมของตี้คังเท่านั้น ทว่า … เมื่อหญิงมนุษย์ผู้นั้นยังกลายเป็นราชินีได้ เหตุใดนางถึงเป็นบ้างไม่ได้เล่า ?
  ไม่ว่านางจะเลวร้ายสักเพียงใด ? ทว่านางก็ยังดีกว่ามนุษย์ที่เจ้าเล่ห์ และน่ากลัวเหล่านั้นอย่างแน่นอน !
  แม้มู่เสวี่ยจะมีความมั่นใจในเรื่องผิด ๆ ก็ตาม ทว่าหยูเหยาก็ยังยิ้มอย่างสุขใจไปกับบุตรสาวของนาง
  ความมั่นใจของนาง ก็คือนางคิดว่าบุรุษทุกคนในโลกจะต้องอยู่ภายใต้ชายกระโปรงของนาง
  “ไป…ไปเก็บข้าวของก่อน ข้าจะไปหาบิดาของเจ้า อีกไม่นาน เราก็ต้องออกไปจากที่นี่แล้ว” หยูเหยาลูบศีรษะของมู่เสวี่ย ครั้นหวนคิดถึงท่าทีของมู่อิงแล้ว นัยน์ตาของนางก็เป็นประกายเย็นเยือก
บทที่ 1264 : ราชินีหนีออกจากวังอีกแล้ว (4)
  แม้มู่อิงจะสัญญากับนางว่าจะไม่พูด หากแต่นางก็ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย นางต้องมั่นใจก่อนนางถึงจะรู้สึกโล่งใจ และนางจะไม่บอกมู่เสวี่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้บุตรสาวของนางต้องเป็นกังวลไปด้วย
  หลังจากปลอบโยนมู่เสวี่ยแล้ว หยูเหยาก็เดินไปที่ห้องของหัวหน้าเผ่า …
  …
  ณ อาณาจักรอสูร
  ภายในพระราชวังอสูร ตี้คังวิ่งไปวิ่งมาอย่างร้อนรน พยายามค้นหาทั่วทั้งลาน ทว่าก็ยังไม่เห็นร่างของสองแม่ลูก
  ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามของเขาซีดลงในทันที เขาคว้าคอเสื้อของทหารยาม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมืดมนและเย็นชา “ราชินีกับองค์ชายอยู่ที่ใด ?”
  ทหารยามตะลึงเอ่ยกล่าวตัวสั่น ๆ ว่า “ราชินีและองค์ชายเสด็จออกจากพระราชวัง ทรงรับสั่งว่าจะไปเดินเล่นหย่อนใจตั้งนานแล้ว ทว่าทั้งสองพระองค์ก็ยังไม่เสด็จกลับมาพ่ะย่ะค่ะ … “
  นานแล้วก็ยังไม่กลับมากระนั้นหรือ ?
  ใบหน้าของตี้คังเปลี่ยนไปทันที เขาหลับตาลงอย่างกระวนกระวาย ครั้นเขารู้สึกถึงตำแหน่งของไป๋หยาน ร่างของเขาพลันกระพริบ เขาก้าวออกจากประตูอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาจะออกคำสั่งใด ๆ เพียงพริบตาเขาก็หายตัวไปแล้ว …
  ไม่นานหลังจากที่ตี้คังจากไป ผู้อาวุโสใหญ่ก็กลับมาถึง
  หลังจากที่ผู้อาวุโสใหญ่จัดที่พักให้ชาวเผ่าเสือดาวในแดนอสูรแล้ว เขาก็พาสาวใช้ทั้งสิบคนเข้ามาในพระราชวังอสูร
  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาเห็นทหารยามที่อารักขาสองข้างของประตูวังกำลังยืนตัวสั่นงันงก เขาก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “พวกเจ้าเป็นอะไร ? เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ? เหตุใดพวกเจ้าถึงได้หวาดกลัวเช่นนี้ ?”
  ริมฝีปากของทหารยามสั่นระริก ใบหน้าของพวกเขาราวกับจะร้องไห้ “ดูเหมือนราชินีกับองค์ชายจะเสด็จหนีออกจากวังอีกแล้ว พวกเราไม่ได้ขวางพระนางไว้ ตอนนี้ … ดูเหมือนองค์ราชาจะทรงกริ้วมาก”
  ใบหน้าของเขาดำสนิทราวกับก้นหม้อ หากครานี้ราชินีถูกจับได้ เกรงว่าราชาจะจับตามองนางทุกฝีก้าว
  ใบหน้าของผู้อาวุโลใหญ่เย็นยะเยือก คลื่นแห่งความโกรธพุ่งออกมาจากหัวใจของเขา เขาเตะทหารยามที่เอ่ยตอบด้วยความโกรธเกรี้ยว
  “พวกขยะเอ๊ย ! เจ้าไม่รู้หรือไรว่า ราชินีทรงครรภ์ใกล้ทรงมีพระประสูติกาลแล้ว กลับปล่อยพระนางออกไปได้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชินี พวกเจ้ารอรับโทษได้เลย !”
  ร่างของทหารยามท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ เขานอนนิ่งอยู่บนพื้นรองรับการเตะไม่กล้าแม้จะขยับตัว ทั้งไม่กล้าที่จะร้องขอความเมตตาแม้เพียงครึ่งคำ
  ผู้อาวุโสใหญ่สะบัดแขนเสื้อ “เจ้าทั้งสองจัดที่พักให้องครักษ์หญิงพวกนี้ ข้ามีเรื่องด่วนต้องออกไปจัดการ”
  “ขอรับ ท่านอาวุโสใหญ่”
  หทารยามปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก พลางเอ่ยตอบด้วยความเคารพ
  ผู้อาวุโสใหญ่เดินออกไป ด้วยฝีเท้าอันเร่งรีบ เพียงพริบตาก็หายไปทันที
  มู่เสวี่ยจ้องมองตามหลังของผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังจะจากไป นัยน์ตาที่สวยงามของนางเป็นประกายวาววับ นางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่องครักษ์ ราชินีกับราชาทรงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันกระนั้นหรือ ? เหตุใดพระนางถึงได้หนีออกจากวังบ่อย ๆ ล่ะ ?”
  องครักษ์ขมวดคิ้ว “ความสัมพันธ์ระหว่างราชา และราชินีของเรานั้นลึกซึ้งมาก เช่นนั้นอย่าได้รบกวนราชินีเป็นเด็ดขาด”
  มู่เสวี่ยเพิกเฉยมู่อิงที่พยายามดึงแขนเสื้อของนาง ใบหน้าสีชมพูของนางยกยิ้มอ่อน ๆ “จริงหรือ ? ก็ถ้าความสัมพันธ์ดีมากเช่นนั้น เหตุใดราชินีถึงได้เสด็จหนีไปล่ะ ? ข้าคิดว่าพระนางน่าที่จะทรงทราบข่าวบางอย่างมากกว่า เช่นข่าวเกี่ยวกับการคัดเลือกพระสนม พระนางเลยเสด็จหนีออกจากวัง”
  องค์ราชาทรงต้องการรับพระสนมกระนั้นรึ ?
  ใบหน้าขององครักษ์แข็งค้าง นี่องค์ราชาทรงต้องการรับพระสนมจริง ๆ กระนั้นหรือ ?
  มิน่าเล่า …
  ไม่น่าแปลกใจที่ราชินีจะทรงรู้สึกเสียพระทัย กระทั่งเสด็จจากไป พระนางคงปวดร้าวพระทัยมาก เช่นนั้นพระนางจึงพาองค์ชายเสด็จหนีออกจากวัง
  “มู่เสวี่ย !” สีหน้าของมู่อิงเปลี่ยนไป นางดึงมู่เสวี่ยอย่างแรง พลางก้มลงพูด “พูดให้น้อย ๆ หน่อย ที่นี่คืออาณาจักรอสูรไม่ใช่เผ่าเสือดาว ไม่มีผู้ใดปกป้องเจ้าได้นะ”
  มู่เสวี่ยเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ สิ่งที่นางกล่าวไปนั้นไม่ผิดแน่ องค์ราชาทรงต้องการคัดเลือกพระสนม ก็แล้วเหตุใดนางจะพูดไม่ได้ล่ะ ?
บทที่ 1265 : ถือกำเนิด (1)
  “แค่ก !”
  ทหารยามไอแห้ง ๆ เอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หากเจ้าอยากสนทนากันก็ไว้ค่อยสนทนากันภายหลัง ตอนนี้ตามข้ามาก่อน”
  ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งลานพลันเงียบเสียง
  มู่เสวี่ยไม่พอใจ นางจ้องมู่อิงอย่างดุดิน หญิงผู้นี้ช่างวุ่นวายจริง ๆ ! หากข้ารู้ ข้าจะเกลี้ยกล่อมท่านแม่ให้หาวิธีทำให้นางอยู่แต่ในเผ่าเสือดาว ไม่ให้ติดตามข้ามาด้วยหรอก
  อย่างไรก็ตามไม่ว่า มู่เสวี่ยจะคิดเช่นไร นางก็ไม่ได้แสดงออกใด ๆ เพราะอย่างไรเสีย นางก็รู้ดีว่า ยามนี้นางกำลังอยู่ในพระราชวังอสูร
  หทารยามไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงพามู่เสวี่ยและคนอื่น ๆ ไปยังที่พัก
  หลังจากที่เขาจัดการเรื่องของมู่เสวี่ย และสาวคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้ผิดปกติมาก เขาจึงรีบติดตามไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสใหญ่จากไป…
  อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาเข้าไปในอาคารสภาอาวุโส พวกเขาก็รู้ว่าว่าผู้อาวุโสใหญ่ได้พบหนทางการบรรลุ เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงปิดประตูเข้าสันโดษ ส่วนผู้อาวุโสที่เหลือต่างก็ออกไปข้างนอกกันหมด เช่นนั้นเขาจึงไม่พบผู้อาวุโสแม้สักคน …
  ในที่สุด ทหารยามก็เหลือบมองไปที่ประตูบ้านของผู้อาวุโสใหญ่ที่ยังคงปิดอยู่ พวกเขาต่างก็หันหลังกลับ และผละจากไป ในใจของพวกเขาเริ่มจะเชื่อในถ้อยคำของมู่เสวี่ยบ้างเล็กน้อย เพราะหากมิใช่องค์ราชาคิดจะรับพระสนม เหตุใดราชินีจึงเสด็จหนีจากไปโดยไม่รับสั่งอะไรสักคำ ? ?
  หากแต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันที่พระราชาซึ่งรักราชินีอย่างสุดซึ้งจะยอมรับพระสนม …
  แน่นอนว่าบุรุษทุกคนในโลกต่างก็เหมือนกันทั้งสิ้น ด้วยสถานะที่สูงส่งเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกที่ราชาจะมีสาว ๆ มากกว่าชายอื่นถึงสองสามเท่า เช่นนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่พระองค์จะรับพระสนม
  …
  ในโรงน้ำชาไม่ไกลจากเมืองสัตว์อสูร ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง รูปร่างของเขาเพรียวบาง นิ้วเรียวยาวบีบถ้วยน้ำชาเคลือบ เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเฉยเมย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
  “เออนี่ เจ้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองสัตว์อสูร เมื่อเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่ ?”
  เมืองสัตว์อสูร ?
  หลังจากได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ชายหนุ่มข้างหน้าต่างพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเขาราวจะมีความคิดแว่บขึ้นมา
  “มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเมืองสัตว์อสูรแห่งนี้ถูกสัตว์อสูรแห่งแดนอสูรครอบครองแล้ว อีกทั้งผู้คนในพระราชวังสวรรค์กลับไม่ส่งคนไปทำลายเมืองสัตว์อสูรนี้เลย หากปล่อยไว้เช่นนี้เนิ่นนานไป แดนสวรรค์ของเราคงจะเปลี่ยนมือแล้วล่ะ”
  “ไม่ สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือ ราชาแห่งแดนอสูรกำลังวางแผนที่จะคัดเลือกพระสนม ราชินีแห่งแดนอสูรจึงพาองค์ชายน้อยเสด็จหนีออกจากวังด้วยความกริ้ว กระทั่งป่านนี้พระนางก็ยังไม่เสด็จกลับมาเลย แต่ก็สมควรแล้วล่ะ เห็นชัด ๆ ว่านางเป็นเพียงมนุษย์ ทว่ากลับยอมเป็นภรรยาของสัตว์อสูรได้ ! “
  ปัง !
  จู่ ๆ ถ้วยชาในมือของชายหนุ่มก็ถูกขยี้ น้ำร้อน ๆ กระเด็นออกมา ทำให้มือขาว ๆ ของเขาถูกลวกเป็นสีแดง ทว่าเขากลับไม่รู้ตัว ทันทีที่เขารู้สึกตัว เขาก็รีบวิ่งปรี่ไปหาคนที่พูด
  ชั่วขณะนั้น ชายผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกที่พุ่งเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ พลันใบหน้าที่หล่อเหลาและเฉยเมยก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา ทำให้เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
  “เจ้า … เจ้าคิดจะทำอะไร ?”
  ร่างของเด็กหนุ่มเย็นเฉียบ แม้แต่ถ้อยคำที่เขาพูดก็ยังมีลมหายใจเย็น ๆ ลอยมา
  “เจ้าเพิ่งพูดว่า … ราชาแห่งแดนอสูรวางแผนคัดเลือกพระสนมกระนั้นหรือ ?”
  “ข้า … ข้าเองก็ไม่รู้ เรื่องนี้ลือมาจากเมืองสัตว์อสูร ว่ากันว่าทั้งสาว ๆ สัตว์อสูรในอาณาจักรสวรรค์ รวมถึงมนุษย์ผู้หญิงบางคนต่างก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการคัดเลือกพระสนมครั้งนี้”
  แม้ว่าราชาแห่งแดนอสูรจะเป็นสัตว์อสูรอย่างที่ทุกคนรู้ ทว่าราชาอสูรก็หล่อเหลามาก ทั้งยังทรงอำนาจเหนือโลก บุรุษเช่นนี้ย่อมทำให้สตรีทั่วทั้งโลกคลั่งไคล้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท