บรรยากาศในจวนสกุลสวีครื้นเครงไม่น้อย
สวีลิ่งควน สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ยช่วยกันต้อนรับแขกที่เรือนนอก ส่วนฮูหยินห้ากับอิงเหนียงช่วยสืออีเหนียงต้อนรับแขกที่เรือนใน เจียงซื่อจัดเตรียมงานเลี้ยง กำชับบรรดาสาวใช้ยกชารินน้ำ ส่วนบรรดาผู้แลหญิงได้จัดเตรียมให้สาวใช้และป้ารับใช้ที่ติดตามแขกมาด้วยไปพักผ่อน จนกระทั่งถึงเวลาห้ามสัญจรทุกคนจึงได้ทยอยแยกย้ายกันไป ทำให้เหอฮวาหลี่กลับคืนสู่ความสงบเล็กน้อย
สืออีเหนียงเอนกายพิงหมอนอิงบนเตียงเตาริมหน้าต่างด้วยความเหนื่อยล้า หู่พั่วยกถ้วยนมแพะร้อนๆ เข้ามา “ฮูหยิน ท่านโหวให้ใต้เท้าหวังอยู่พูดคุยต่อที่ห้องหนังสือเล็ก ดูแล้วเกรงว่าคงจะคุยไม่จบในเร็วๆ นี้ ฮูหยินห้าพาฮูหยินสาม คุณนายน้อยใหญ่ คุณนายน้อยสามไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือน คงจะกลับแล้ว หากท่านเหนื่อยก็พักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ!” ขณะที่พูดนางก็ยิ้ม “ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านตั้งครรภ์แล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถดูแลได้เต็มที่แต่ก็ไม่นับว่าเสียมารยาท”
พึ่งจะตื่นขึ้นมาก็ได้ข่าวว่าจิ่นเกอได้รับแต่งตั้งเป็นอู่จิ้นปั๋ว องค์หญิงเจียงตู โจวฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวงและคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมาหาไม่ขาดสาย นางเองก็นอนหลับไปหลายวัน แม้แต่เวลาจะถามคำถามอย่างละเอียดก็ไม่มี มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจอยากจะถามหู่พั่ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพลางชี้ไปที่เก้าอี้จิ่นอู้ข้างเตียงเตา “เจ้ายุ่งมาทั้งวันแล้ว พักสักหน่อยเถิด พวกเราจะได้คุยกัน!”
หู่พั่วยิ้มรับคำ นั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ หยิบตะกร้าหวายที่ใส่เข็มกับด้ายที่อยู่ใต้โต๊ะบนเตียงเตามาช่วยจัดด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงให้เป็นระเบียบ มัดเป็นปมแล้ววางลงในตะกร้าหวาย
สืออีเหนียงถามนาง “ได้ยินข่าวฉังอานหรือไม่”
ตอนนั้นเอาแต่นึกถึงจิ่นเกอ ไม่มีเวลามาสนใจถามถึงเขา
“ครั้งนี้ฉังอานได้รับความโชคดีจากคุณชายน้อยหกของพวกเราเจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าเขาอยู่ข้างกายคุณชายน้อยหกตลอด ตอนที่จับตั่วเหยียนเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย ซีหนิงโหวบอกว่าเขาซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ช่วยร้องขอแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าทหารกองพันโดยเฉพาะ ฮ่องเต้อนุญาตแล้ว หลังจากพิธีมอบเชลยที่ประตูพระราชวังแล้ว กระทรวงขุนนางกับกรมกลาโหมจะมีเอกสารทางการลงมา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็ต้องเรียกฉังอานว่าหัวหน้าทหารกองพันว่านแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม้แต่อาจารย์ผังก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าทหารกองร้อยด้วยเช่นกัน สามารถเกษียณกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเขยใหญ่ของพวกเราได้วางแผนอนาคตที่ดีให้กับอาจารย์ผังเช่นนี้ ในภายภาคหน้าอยู่ที่ชังโจว ไม่ว่าใครก็ต้องให้ความเกรงใจอยู่บ้าง!”
หลังจากรอดพ้นจากเคราะห์กรรมก็มีอนาคตที่ดี สืออีเหนียงเองก็ปิติยินดีเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” นางยิ้มแล้วพูดว่า “หากฉังอานเป็นอะไรขึ้นมา แล้วข้าจะมีหน้าไปพบปินจวี๋ได้อย่างไร!” แล้วพูดต่อไปว่า “นางสบายดีหรือไม่”
แม้ว่าปินจวี๋จะไม่รู้มาก่อน แต่ตอนที่นางให้หู่พั่วไปกำชับว่านต้าเสี่ยนให้ไปอวี๋หลินกับนาง ปินจวี๋ก็คงจะรู้แล้ว
“พอพี่ปินจวี๋ได้ยินว่าคุณชายน้อยหกหายไป ส่วนทางด้านฉังอานก็ไม่มีข่าวก็เลยร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน” หู่พั่วพูดต่อไปว่า “พอเริ่มสงบลงก็ไปวัดฉือหยวน นั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์เป็นเวลานานไม่ยอมลุก ขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองคุณชายน้อยหกกับฉังอานให้ปลอดภัย เมื่อไต้ซือจี้หนิงรู้เข้าก็ออกมาเกลี้ยกล่อมพี่ปินจวี๋ บอกว่าคุณชายน้อยหกเป็นคนมีวาสนาดี ฉังอานติดตามคุณชายน้อยหกก็จะต้องเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีแน่นอน พี่ปินจวี๋ตั้งมั่นมากขึ้น ไม่เพียงแต่ทานมังสวิรัติ ซ้ำยังอธิฐานว่าหากคุณชายน้อยหกกับฉังอานปลอดภัยกลับมาได้ นางจะบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงห้าร้อยตำลึง และจะจัดพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว” นางพูดพลางยิ้มกว้าง “พอเมื่อวานได้รับข่าว พี่ปินจวี๋ก็ดีใจอย่างมาก พูดจาติดขัด เข้ามาคารวะท่านแต่ท่านยังไม่ตื่น ซ้ำยังบอกว่าจะไปแก้บนที่วัดฉือหยวน ก็เลยไปวัดฉือหยวนก่อน พรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
คนเป็นมารดาเหมือนกัน สืออีเหนียงย่อมเข้าใจความรู้สึกของปินจวี๋ดี
“ค่าน้ำมันตะเกียงห้าร้อยตำลึง คิดไม่ถึงว่านางจะมีทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้ ข้าดูนางผิดไปแล้ว” นางยิ้มพลางพูดหยอกล้อปินจวี๋ แล้วพูดกับหู่พั่วว่า “พรุ่งนี้เตรียมตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง มอบให้ปินจวี๋เมื่อนางมา บอกนางว่าเงินค่าน้ำมันตะเกียงข้าเป็นคนออกเอง ส่วนเรื่องทำพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้นางเป็นคนจัดการ”
หู่พั่วยิ้มรับคำ “เจ้าค่ะ ฮูหยินเอ็นดูนาง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็กลัวว่านางจะขาดทุน”
“หรือว่าข้าไม่เอ็นดูเจ้ากันเล่า!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม ถามถึงหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ “เหตุใดถึงไม่มีข่าวของสองคนนี้เลย”
สีหน้าของหู่พั่วหม่นหมองในทันที
สืออีเหนียงใจเต้นแรง สีหน้าพลันซีดเซียว “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าสองคนนั้น…”
หู่พั่วพยักหน้า เช็ดหางตา “บอกว่าพอไปถึงที่ชีจื่อป้าก็…” พูดได้เพียงครึ่งประโยคก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะเสียใจ สูดลมหายใจแล้วรีบพูดต่อว่า “ท่านโหวส่งผู้ดูแลจ้าวไปที่บ้านเกิดของหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่แล้วมอบเงินให้คนละหนึ่งพันตำลึง ยังบอกอีกว่าในภายภาคหน้าหากสกุลหลิวกับสกุลหวงมีบุตรหลานที่อยากเข้ามาทำงานในจวนก็จะรับพวกเขาเข้ามาก่อน หากทั้งสองสกุลมีเรื่องลำบากอะไรก็สามารถมาหาพ่อบ้านไป๋ได้”
สืออีเหนียงรู้สึกใจหาย นึกถึงความเศร้าโศกตอนที่ตัวเองได้ยินว่าจิ่นเกอหายไป น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ “ต่อไปนี้เรื่องของสกุลหลิวกับสกุลหวงเจ้าต้องใส่ใจให้มากๆ หากเรือนนอกจัดการได้ไม่รอบคอบ เจ้าก็มาบอกข้า”
หู่พั่วพยักหน้า เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงเช็ดน้ำตาแล้วแต่ก็ยังไหลออกมาอีก ก็รีบออกไปหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ แล้วนำเข้ามาให้สืออีเหนียง ก่อนจะพูดบางอย่างที่เบี่ยงเบนความสนใจของสืออีเหนียง “ท่านลองทายดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ท่านหลับอยู่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงนึกถึงสิ่งที่ได้ยินตอนที่นางกึ่งหลับกึ่งตื่น พูดเดาว่า “หรือว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่”
“ฮูหยินท่านเก่งยิ่งนัก” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อได้ยินว่าคุณชายน้อยหกหายไป ฮ่องเต้เองก็เป็นกังวล จึงเสด็จมาที่นี่พร้อมกับขันทีไม่กี่คน ในช่วงนั้นท่านก็ไม่สบาย คนในเรือนก็กระสับกระส่าย หากไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตูของพวกเรามีไหวพริบ บรรดาขันทีเหล่านั้นก็ช่วยกันส่งสายตา มิเช่นนั้นก็คงเกือบจะขวางฮ่องเต้ไว้หน้าประตูแล้ว ฮ่องเต้ได้ยินว่าท่านหลับไปยังไม่ฟื้น ท่านโหวก็คอยดูแลท่านตลอดเวลา ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายจึงตรงไปที่ห้องโถง ได้ยินว่าฮ่องเต้ยังได้ตรัสขอโทษท่านโหวอีกด้วยนะเจ้าคะ” นางเล่าเรื่องตลกในเรือนให้สืออีเหนียงฟัง “เมื่อวานพ่อบ้านไป๋ยังถามท่านโหวว่าถ้วยชาและเก้าอี้ที่ฮ่องเต้เคยใช้ต้องนำไปไว้ที่ศาลบรรพชนหรือไม่ เมื่อคนรุ่นหลังถามจะได้บอกเล่าเรื่องราวได้”
สืออีเหนียงกลับหัวเราะไม่ออก
เมื่อสกุลหวงกับสกุลหลิวได้รับข่าวแล้ว ไม่รู้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน!
นางเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่ด้วยความโศกเศร้า
หู่พั่วเห็นดังนั้นก็หุบยิ้ม ถามนางเสียเบาว่า “ฮูหยิน บ่าวให้สาวใช้น้อยตักน้ำเข้ามาปรนนิบัติท่านอาบน้ำดีหรือไม่! วันนี้อากาศร้อนผิดปกติ อาบน้ำแล้วจะได้รู้สึกสบายตัวมากขึ้นเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า หู่พั่วกำชับสาวใช้ให้เข้ามาปรนนิบัติด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็อยู่ข้างๆ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ปูที่นอน จนกระทั่งสืออีเหนียงพักผ่อนจึงได้เอาเข็มกับด้ายมาเย็บพื้นรองเท้าภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างในห้องโถง
สวีลิ่งอี๋กลับมาตอนที่กลองตีบอกเวลาพอดี
หู่พั่วรีบไปต้อนรับ
“วันนี้ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง” จากคำแนะนำของหมอหลวงหลิว เขาไม่กล้าปลุกสืออีเหนียงขึ้นมาในเวลานั้นแต่ค่อยๆ ทำให้นางตื่นขึ้นมาเองอย่างช้าๆ แต่ข่าวของจิ่นเกอกลับแพร่กระจายออกไป เขายังไม่ทันได้พูดอะไรกับสืออีเหนียง ยงอ๋องกับซุ่นอ๋องก็มาหา ตั้งแต่ที่สืออีเหนียงตื่นขึ้นมา สองสามีภรรยายังไม่ได้เจอกันเลย
หู่พั่วรีบบอกว่า “ตอนกลางวันทานโจ๊กรังนกหนึ่งชาม ตอนกลางคืนทานข้าวต้มอีกหนึ่งชามแล้วก็ทานซาลาเปาไส้ผักสองชิ้นเจ้าค่ะ”
ทานได้ก็ดีแล้ว!
สวีลิ่งอี๋เข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงนอนตะแคงหลับไป
แสงส่องกระทบลงบนใบหน้าที่ขาวราวกับหยกของนาง พลอยให้รู้สึกถึงความงดงามที่เงียบสงบ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่แม้กระทั่งจุดกำยานกล่อมนอนก็ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นในความฝัน
เขาโล่งใจ ไปอาบน้ำแล้วปีนขึ้นเตียงอย่างเบามือเบาเท้า เอื้อมมือจะไปกอดนางตามความเคยชิน ทันใดนั้นก็นึกถึงจิ่นเกอ…หากนางถามถึงเรื่องของจิ่นเกอแล้วเขาตอบไปตามจริง เกรงว่าจะทำให้นางนอนไม่หลับอีก หากเขาไม่ตอบ เมื่อถึงเวลาจิ่นเกอกลับมา นางก็จะรู้สึกว่าเขาหลอกลวงนางอีก…คิดไปคิดมา เขาก็หอบฟูกมาปูลงบนพื้นข้างๆ นาง จากนั้นก็ค่อยๆ นอนลง
บางทีอาจเป็นเพราะนางนอนมากเกินไป สืออีเหนียงจึงไม่ได้หลับสนิทเหมือนปกติ เมื่อสวีลิ่งอี๋ขึ้นมาบนเตียงนางก็ตื่นแล้ว
ทุกคนต่างก็รู้ว่าจิ่นเกอได้รับแต่งตั้งเป็นอู่จิ้นปั๋ว แต่จิ่นเกอได้รับบาดเจ็บหรือไม่ คนสามพันคนต่อคนสองหมื่นคน จิ่นเกอจับกุมตั่วเหยียนได้อย่างไร ทุกคนต่างก็ไม่รู้แน่ชัด เวลานี้นางควรจะถามสวีลิ่งอี๋ แต่สวีลิ่งอี๋ปิดบังข่าวของจิ่นเกอตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เมื่อจิ่นเกอปลอดภัยกลับมา เขาก็ไปเรือนนอกโดยไม่ได้พูดอะไรเลย ตอนนี้กลับมาที่เรือนก็ยังแยกกันนอนกับนางอย่างชัดเจน…เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจนางก็ยิ่งว้าวุ่น
ช่างเถิด อย่างไรเสียสงครามก็จบลงแล้ว หากจิ่นเกอได้รับบาดเจ็บจะต้องมีข่าวแพร่กระจายมาแน่นอน รอจิ่นเกอกลับมาแล้วค่อยถามจิ่นเกอเองดีกว่า!
สืออีเหนียงหลับตา ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
******
อีกไม่กี่วันต่อมา หน้าจวนสกุลสวีก็มีการจราจรคับคั่ง ผู้ที่ได้ยินข่าวต่างก็มาแสดงความยินดีอยู่เรื่อยๆ
ไม่ต้องพูดถึงทางฝั่งของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงนอกจากจะต้องพบปะคนเหล่านี้แล้ว ตอนที่นางหลับไปไทเฮากับฮองเฮาก็ได้ส่งขันทีมาไถ่ถามอาการ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ย่อมต้องเข้าวังไปขอบพระทัย ซ้ำยังถูกไท่ฮูหยินเรียกไปถามทุกๆ สามถึงห้าวัน “จิ่นเกอจะกลับมาเมื่อไร เขาจะได้เป็นท่านปั๋วแล้ว จะต้องสวมกวานเจ็ดเหลียง เสื้อคลุมสีแดง เจ้าต้องรีบส่งคนไปจัดการ” แล้วก็ได้ข่าวว่าจะทำพิธีมอบเชลยที่ประตูวังในวันที่หนึ่งเดือนเจ็ด
เมื่อคำนวณเวลา อีกไม่ถึงยี่สิบวันก็จะได้เจอบุตรชายแล้ว
สืออีเหนียงทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ กำชับอาจินกับสุยเฟิงไปเก็บกวาดเรือน ให้โรงเย็บปักทำเสื้อผ้าประจำวันให้จิ่นเกอ เชิญอาจารย์เจี่ยนมาทำชุดข้าราชการให้จิ่นเกอ ไปห้องครัวกับหู่พั่วเป็นครั้งคราวเพื่อให้คนครัวจัดเตรียมหอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเลและอื่นๆ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ง่ายสำหรับจัดงานเลี้ยง…ยุ่งจนหัวหมุน
เจียงซื่อเองก็ยุ่งเช่นกัน ทางด้านของสืออีเหนียงก็ไม่กล้าละเลย ไม่ว่าเรื่องอันใดก็จะนึกถึงหน้าของสืออีเหนียง จัดการทุกอย่างให้เหมาะสม
สะใภ้หยวนเป่าจู้เห็นดังนั้นก็อดพูดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ “คุณนายน้อยสี่ระวังหน่อย สุขภาพของท่านสำคัญนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร!” เจียงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกได้รับแต่งตั้งเป็นท่านปั๋ว ข้าเองก็ดีใจ”
สะใภ้หยวนเป่าจู้ยิ้มพลางถอนหายใจยาว
เมื่อก่อนพวกนางกังวลว่าสวีลิ่งอี๋จะลำเอียง…ตอนนี้สวีซื่อจิ่นมีตำแหน่ง สวีซื่ออวี้ไปจยาซิ่ง สวีซื่อเจี้ยไม่ใช่บุตรชายคนโตซ้ำยังเป็นบุตรอนุ…แม้ว่าฮูหยินจะตั้งครรภ์แต่ก็อายุน้อยกว่าถิงเกอ…หัวใจดวงนี้จึงได้วางใจอย่างมั่นคง
คำพูดเช่นนี้กลับไม่สามารถพูดออกมาอย่างชัดเจนได้
นางยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงสิ่งที่ทุกคนพูดคุยกันในช่วงนี้ “คนที่มาแสดงความยินดีต่างก็ถามว่าคุณชายน้อยหกหมั้นหมายแล้วหรือยัง ไม่รู้ว่าฮูหยินจะเลือกสะใภ้แบบไหนให้คุณชายน้อยหกนะเจ้าคะ”
“คุณชายน้อยหกมีความสามารถ มีภูมิหลังที่ดี อีกทั้งยังรูปงาม สกุลไหนบ้างจะไม่ชอบบุตรเขยเช่นนี้” เจียงซื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้มีคนมาพูดเรื่องหมั้นหมายกับสืออีเหนียงมากมาย ทั้งกลัวว่าจะไปทำให้ใครขุ่นเคือง ทั้งกลัวว่าคนที่เลือกจะไร้มนุษยธรรมจนทำให้เดือดร้อน ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าท่านแม่กำลังเสียใจที่ไม่ได้คุยเรื่องการหมั้นหมายให้คุณชายหกไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้กระมัง!” ขณะที่พูดก็อุ้มถิงเกอที่กำลังเอียงคอฟังนางพูดมาหอมแก้ม “แต่อย่างไรเสีย ข้าจะพูดเรื่องการหมั้นหมายให้ถิงเกอของพวกเราให้เร็ว!”