เทือกเขาแห่งหนึ่งเร้นกายอยู่ภายในภูเขาไท่ไป๋ ที่แห่งนั้นมีหมอกหนาทึบปกคลุมตลอดทั้งปี โดยที่ไม่มีแสงแดดส่องถึง
ท้องฟ้าที่ด้านนอกของเทือกเขาแห่งนั้นเป็นสีดำสนิท ทั้งยังเต็มไปด้วยเมฆสีเทาเข้มที่ม้วนเข้าหากันกลายเป็นลวดลายอันไม่สม่ำเสมอ ต้นไม้สูงตระหง่านทำให้เส้นทางนี้ดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง
ไม่มีสารถีคนใดกล้าย่างกรายเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เพราะบนเส้นทางเดินรถอันคับแคบนี้มักจะมีหินก้อนใหญ่กลิ้งตกลงมาจากหน้าผา ก่อนจะทิ้งตัวลงสู่หุบเหวลึกที่ดูราวกับไร้ก้นบึ้งนั้น
แม้คำว่า ’สุสาน’ จะสามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวบ้านได้ แต่มันก็ยังทำให้พวกเขาหน้าซีดตัวสั่นได้เช่นกัน
พวกเขาอยากเข้าไปที่นั่น แต่ก็กลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้น
คนที่ไม่รู้จักศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณนั้น
เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะรู้สึกเบื่อชีวิต และพยายามรนหาที่ตายอยู่เท่านั้น
เล่าลือกันว่าบนเส้นทางมุ่งหน้าสู่สุสานมีปีศาจคอยหลอกล่อมนุษย์ที่เดินหลงเข้ามาให้ก่อกรรมทำชั่ว
ดังนั้นจึงไม่มีพรานป่ากล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้นแม้จะเป็นในเวลากลางวันก็ตาม
แต่ระหว่างทางขึ้นภูเขาไท่ไป๋แห่งนี้กลับมียอดฝีมือในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายซึ่งถูกเรียกว่าตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แท้จริงพำนักอยู่
“ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแยกออกไปเป็นสี่สาย”
แต่ละสายล้วนได้รับการสนับสนุนจากตระกูลผู้ทรงอำนาจหนึ่งตระกูล
ตระกูลสายที่มีชื่อเสียงที่สุดคือตระกูลหนี พลังในการขับไล่วิญญาณร้ายของพวกเขาแข็งแกร่งที่สุด และนอกจากการขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว พวกเขายังทำธุรกิจอื่นควบคู่กันไป และต่อมายังเป็นผู้ก่อตั้งการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับขับไล่วิญญาณร้ายอีกด้วย…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ่านจดหมายที่อยู่ในมือ แล้วหรี่ตาลง ตระกูลหนีหรือ? หนีเฟิ่งน่ะหรือ? บังเอิญขนาดนั้นเลยหรือ?
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงสิ่งที่บุตรแห่งราชานรกพูดไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต้องการพระสรีระจากภิกษุชื่อดังก็เพื่อการฟื้นคืนชีพคนตาย
ตระกูลที่แนะนำให้นำพระสรีระกลับมาก็คือตระกูลหนี…
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังหรณ์ใจว่าหนีเฟิ่งอาจกลับมาแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่นางยังไม่มีร่างที่เหมาะสม และนั่นย่อมอธิบายได้ว่าทำไมพระบรมสารีริกธาตุจึงจำเป็นสำหรับพิธีฟื้นคืนชีพนี้
แต่ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการขับไล่วิญญาณร้ายน่าจะรู้ว่าพิธีฟื้นคืนชีพเป็นศาสตร์ต้องห้าม หากพิธีกรรมสำเร็จ ระเบียบของโลกจะถูกทำลาย คนเป็นจะกลายเป็นคนตาย คนตายจะกลายเป็นคนเป็น ผลสุดท้ายปราณแห่งความเคียดแค้นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้โลกมนุษย์จมลงสู่นรกแห่งการชำระล้าง
หากไม่มีพระสรีระ ย่อมไม่มีพลังวิญญาณ
ทันทีที่พิธีฟื้นคืนชีพเริ่มขึ้น หากคนที่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนธรรมดาไร้ซึ่งพลังวิญญาณ คนคนนั้นจะกลายเป็นผีดิบ
หนีเฟิ่งรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่นางก็ยังต้องการชิงพระสรีระมาเป็นของตน เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่นางเคยประกาศเอาไว้ว่านางต้องการพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับโลกมนุษย์นั้นเป็นเพียงแค่ลมปาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดพร้อมกับวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหล่านั้น
พวกนางไม่สามารถเดินตรงเข้าไปร่วมการแข่งขันครั้งนี้ได้ ดังนั้นพวกนางจึงต้องแฝงตัวเข้าไปพร้อมกับหนึ่งในตระกูลพวกนี้
นอกจากตระกูลหนีแล้ว ในจำนวนสามตระกูลที่เหลือนี้ยังมีตระกูลใดที่เหมาะสมและสะดวกจะให้พวกนางเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาหรือเปล่า…
“กินอะไรก่อนสิ ปล่อยให้คนอื่นคิดเรื่องนี้แทนเสียบ้าง” องค์ชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับยื่นมือออกไป แล้วใช้นิ้วเรียวของตัวเองแตะลงบนคำว่า ’จูเก่อ’ จากนั้นจึงป้อนขนมเข้าปากเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านี่คือสิ่งที่องค์ชายถนัดที่สุด นางยังจำได้ว่าเขามัดใจทุกคนได้อย่างอยู่หมัดตอนที่พวกนางออกจากวังหลวง ดังนั้นปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องปลอมตัวคงจะดีกว่า
ขณะที่นางกำลังคิดเช่นนั้นอยู่ จู่ๆ รถม้าก็หยุดอย่างกะทันหัน
“นายท่าน มีการดวลกันเกิดขึ้นที่ด้านนอกขอรับ รถม้าของพวกเราไม่สามารถผ่านเส้นทางนี้ไปได้” เสียงของเงาทมิฬดังขึ้นจากนอกรถม้า
“ดวลอะไรกัน ทำไมแม้กระทั่งรถม้าถึงผ่านไปไม่ได้เล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย จากข้อมูลที่นางได้รับมา ในช่วงนี้นอกจากการแข่งขันเข้าสู่สุสานที่จะถูกจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลังแล้ว ที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ไม่น่าจะมีการประลองอื่นเกิดขึ้นอีก แล้วจะมีการท้าดวลเกิดขึ้นที่นี่ได้อย่างไร
“พวกเราลงไปดูกันเถอะ”
เมื่อออกมาจากรถม้า เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังวิญญาณที่พุ่งเข้ามาจากบริเวณโดยรอบได้ในทันที
มันแตกต่างจากพลังวิญญาณในวังหลวง พลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นเสียจนทำให้แม้กระทั่งการหายใจก็ยังกลายเป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่ง
สมกับเป็นเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในตำนาน…
เสียงโต้คารมดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้คนเริ่มมารวมตัวกัน ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยลงจากรถม้า นางก็ได้ยินคนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นเหน็บแนมอีกฝ่ายหนึ่งว่า “หนนี้หน้าตาและศักดิ์ศรีของตระกูลจูเก่อคงได้ย่อยยับแน่”
“ก็พูดยากอยู่ ถ้าตระกูลจูเก่อไม่ได้รนหาเรื่องด้วยการยืนกรานว่าตระกูลหนีมีจุดประสงค์แอบแฝงในการเข้าไปในสุสาน ตระกูลหนีก็คงไม่หัวเสียถึงเพียงนั้น เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตระกูลจูเก่อไม่มีกำลังจะต้านทานตระกูลหนีได้ด้วยซ้ำ กระนั้นพวกเขากลับยังกล้าก่อปัญหานี้ขึ้น แต่ตระกูลหนีใช้เพียงลูกศิษย์แค่ไม่กี่คนก็สามารถกดดันตระกูลจูเก่อได้แล้ว จากที่ข้าเห็น ข้าว่าถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลจูเก่อคงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการแข่งขันเข้าสุสานที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันนี้ด้วยซ้ำ ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แท้จริงอะไรจะอ่อนแอถึงเพียงนั้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายธรรมดายังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ!”
ผู้คนโดยรอบต่างถกประเด็นนี้กันอย่างสนุกปาก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางความวุ่นวายนั้น เขากัดฟันกรอดพร้อมกับพูดว่า “หนีหู่ ถ้าเจ้ามีปัญหากับพวกข้าก็เข้ามาหาข้าสิ อย่าไปทำร้ายคนอื่น!”
“จูเก่ออวิ๋น เจ้าดูให้ดีสิ ข้าไม่ได้ทำร้ายใครเสียหน่อย ขยะชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าต่างหากที่อ่อนแอเกินไป! เจ้าอยากให้ข้าอัดเจ้าหรือ ก็ดี เช่นนั้นข้าจะสนองความต้องการของเจ้าให้ก็แล้วกัน พวกเรา จัดการนายน้อยจูเก่อตามที่เขาขอซะ!” ตั้งแต่ต้นจนจบชายที่ชื่อหนีหู่ไม่ได้ยกนิ้วขึ้นมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว เขาทำเพียงยืนนิ่งด้วยท่าทางอวดดีอยู่ในเครื่องแบบผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสีขาว รอยยิ้มเหยียดแผ่กว้างไปทั่วใบหน้าของเขา
พวกเขามีจำนวนมากกว่า อีกทั้งคู่ต่อสู้ก็ยังอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นความไม่สมดุลทางอำนาจนี้จึงยิ่งเพิ่มความยโสโอหังให้กับเขาอย่างมาก
หากนี่เป็นการดวลตัวต่อตัว จูเก่ออวิ๋นอาจยังพอมีโอกาสเอาชนะได้ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ไร้ฝีมือนัก อันที่จริงต้องบอกว่าเขาค่อนข้างมีฝีมือโดดเด่นทีเดียวเมื่อเทียบกับคนในตระกูล
แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าหนีหู่ลงมืออย่างไม่เป็นธรรม เพราะคนของเขามีจำนวนมากกว่า…
ทุกคนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างก็รู้ว่าครั้งหนึ่งตระกูลจูเก่อเคยมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ทรงพลังที่สุดในเมือง แต่แล้วทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อบิดาของจูเก่ออวิ๋นถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับเมื่อห้าปีก่อน มิหนำซ้ำยังหากระทั่งวิญญาณของเขาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่นั้นมา ตระกูลจูเก่อก็สูญเสียเสาหลักไป
ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์เพียงใด แต่จูเก่ออวิ๋นก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรุ่นพี่ ดังนั้นเขาจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อความอัปยศอดสูนั้นอย่างเงียบๆ
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเขากล้าท้าทายตระกูลหนีอย่างเปิดเผยและยืนกรานว่าพวกเขาไม่ควรแตะต้องพระสรีระ
ตระกูลหนีไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แม้บรรดาคนรุ่นเก่าจะไม่ได้ทำร้ายเขา แต่คนรุ่นเดียวกันกับเขาย่อมตอบโต้อย่างแน่นอน
หนีหู่มองจูเก่ออวิ๋นที่ถูกอัดจนน่วมอยู่กับพื้น เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างวางก้าม แล้วแค่นหัวเราะอย่างดูถูกว่า “ทำไมนายน้อยจึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้เล่า ท่าทางไม่กลัวตายเมื่อครู่นี้ของเจ้าหายไปไหนหมดเสียแล้วล่ะ! หึ ในเมื่อเจ้าชอบให้ใช้ไม้แข็ง เช่นนั้นก็สมควรโดนแล้ว”
จูเก่ออวิ๋นยังคงเงียบ และทุกคนก็รู้ว่าเวลานี้เขาคงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว หลังจากถูกคนห้าคนรุมทุบตีเข้าเช่นนี้ ร่างกายของเขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นธรรมดา
แต่หนีหู่ดูเหมือนจะยังไม่พอใจ ทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงบนมือขวาของจูเก่ออวิ๋นอย่างแรง!