ฝูงชนทั้งหมดสูดหายใจเข้าอย่างแรงเมื่อนึกถึงสีหน้าตอนที่มือของจูเก่ออวิ๋นถูกเหยียบ เพียงแค่คิดพวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร ใครๆ ต่างก็รู้ว่ามือข้างขวามีความสำคัญต่อผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่สุด ถ้ามือขวาของจูเก่ออวิ๋นหัก เขาคงไม่สามารถทำการขับไล่วิญญาณร้ายได้อีกเลยตลอดชีวิต
จูเก่ออวิ๋นเป็นทายาทสายเลือดบริสุทธิ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตระกูลจูเก่อ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ ถ้าจูเก่ออวิ๋นพิการไปตอนนี้ ตระกูลจูเก่อคงจบสิ้นแน่
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้
ตระกูลหนีเป็นตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย หนีหู่ผู้เป็นนายน้อยของตระกูลโหดเหี้ยมและไม่เคยยั้งมือในการต่อสู้ เขาทำตัวยโสโอหังจนเคยชิน และคนที่กล้าเข้าไปยุ่งกับเขาก็คงมีแต่คนที่รนหาที่ตายเท่านั้น
แต่ทันใดนั้นกลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น!
มีดสีเงินพุ่งตรงไปที่ขาที่กำลังจะเหยียบลงบนมือของจูเก่ออวิ๋น แล้วปักเข้าที่เสื้อคลุมของเขา ตรึงหนีหู่ไว้กับจุดที่เขายืนอย่างแน่นหนา
หนีหู่หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เขาตวัดสายตามองไปรอบๆ แล้วแผดเสียงขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ใครเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้ ก้าวออกมาสิถ้าเจ้าแน่จริง!”
จูเก่ออวิ๋นกวาดสายตามองรอบข้างระหว่างที่เลือดจากหน้าผากไหลลงมาเข้าตาของเขา เขากลัวว่าจะมีคนของตระกูลจูเก่อเข้ามาขวาง และพลอยติดร่างแหไปด้วย…
“อะไรนะ นายน้อยหนีอยากดวลหรือ”
เสียงสวรรค์ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของจูเก่ออวิ๋น แปลกทีเดียวที่เสียงนั้นสามารถทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำของเขาสงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์
เขาใช้มือขยี้ตาแล้วมองไปทางฝูงชนที่ส่งเสียงดังกันอยู่
เขาสามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้เป็นคนของตระกูลจูเก่อ
แต่จูเก่ออวิ๋นก็คิดไม่ออกว่าในเวลานี้จะมีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหนีหู่
ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร แต่เขาก็สาบานว่าจะไม่ให้พวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เด็ดขาด
แต่ทันทีที่ความคิดนี้แล่นเข้ามา จูเก่ออวิ๋นก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
ฝูงชนค่อยๆ แหวกทางออกจนกระทั่งมองเห็นร่างสองร่างที่ยืนอยู่สุดเส้นทางนั้น แม้จะยืนอยู่บนถนนที่มีคนพลุกพล่าน แต่คนทั้งสองก็สามารถกลายเป็นที่จดจำได้อย่างง่ายดาย
ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะยอมหลีกทางให้กับพวกเขา
เครื่องหน้าของพวกเขาที่อยู่ภายใต้แสงนั้นดูคมคายและละเอียดประณีตอย่างมาก ระหว่างนั้นร่างที่ตัวเตี้ยกว่าก็ก้าวเท้าเข้ามาทางเขาด้วยท่าทางมั่นใจพลางหมุนใบมีดสีเงินในมือไปพร้อมกัน ที่มุมปากของนางยังมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่านางเป็นคนที่พูดประโยคนั้นขึ้นมา คนที่เดินตามหลังนางมาติดๆ ดูงดงามราวกับไม่มีอยู่จริง สีหน้าเย็นชาไม่แยแสและดวงตาวาววับของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนได้ในทันที เสื้อคลุมของพวกเขาปลิวอยู่ในสายลมจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ เวลานี้ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของจูเก่ออวิ๋นแล้ว
“เงาทมิฬ พยุงนายน้อยจูเก่อขึ้น” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ ราวกับว่าหนีหู่ที่อยู่ตรงหน้านางไม่มีตัวตน
หนีหู่ชินกับการที่ตนมีอิทธิพลเหนือเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าท้าทายเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขาจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงเขวี้ยงมีดพุ่งตรงมาที่ข้า แถมยังเข้ามายุ่งกับเรื่องของข้าอีก! ถ้าเจ้าอยากเข้ามายุ่งนักก็ปล่อยข้าก่อนสิ!”
ทันใดนั้นหนีหู่ก็พุ่งตัวไปข้างหน้าและพยายามที่จะคว้าเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้แตะต้องตัวนาง ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดแสนก็ระเบิดขึ้นจากปลายนิ้วของเขา มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่า…
มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา และกำลังกดสายตามองลงมาที่เขา ดวงตาสีเข้มลึกล้ำของคนคนนั้นเป็นประกายวาววับดูอันตรายอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ชายคนนั้นก็สามารถทำให้นิ้วของเขาชาวาบขึ้นมาได้ทันที จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่หัวเข่าจนทำให้เขากรีดร้องออกมาอย่างทรมาน
เมื่อผู้ติดตามเห็นนายน้อยของตัวเองได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาทันที
โครม!
ทุกคนถูกโยนกลับไปด้านหลังจนร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างแรง
หนีหู่มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ขาทั้งสองข้างของเขาหมดเรี่ยวแรง เหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นขึ้นบนหน้าผาก
ฝูงชนอ้าปากค้างทันทีที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จูเก่ออวิ๋นตกใจอย่างมาก ดวงตาของเขาสั่นระริก ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่การปะทะกันธรรมดาๆ เพราะทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องใช้พลังวิญญาณหรือไม่ก็ศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสิ้น
แม้ว่าเขาจะเคยเอาชนะหนีหู่ได้ก็จริง แต่มันก็เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างเฉียดฉิว
แต่คู่ต่อสู้คนนี้กลับบังคับให้หนีหู่คุกเข่าลงได้ด้วยความเจ็บปวดโดยแทบไม่ขยับนิ้วเลยแม้แต่นิ้วเดียว อีกทั้งยังสามารถเอาชนะศิษย์ของตระกูลหนีได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้อีกด้วย
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งเพียงใดถึงสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างหมดจดงดงามเช่นนี้!
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกับท่านพ่อ…
อยู่ในระดับเดียวกับท่านพ่อหรือ!
หัวใจของจูเก่ออวิ๋นเต้นแรงทันทีที่เขาคิดมาถึงตรงนี้ สายตาของเขาที่จับจ้องไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่อท้นไปด้วยความเคารพและชื่นชม
หนีหู่รู้ว่าคู่ต่อสู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้แข็งแกร่งอย่างมาก เขาฝืนใจก้าวถอยหลังแล้วทาบมือลงกับขาตัวเอง หลังจากกวาดสายตามองฝูงชนที่อยู่โดยรอบ ความโกรธของเขาก็ปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นายน้อยตระกูลหนีเช่นเขาย่อมไม่เคยต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้มาก่อน ระหว่างที่เขาล่าถอยกลับไป เขาก็คำรามออกมาอย่างดุร้ายว่า “เจ้าอยากช่วยจูเก่ออวิ๋นหรือ ดี ดียิ่งนัก! รอดูก็แล้วกันว่าข้าจะเอาคืนอย่างไร!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าหนีหู่กลับดูไม่สะทกสะท้านต่อคำขู่อันชั่วร้ายนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ลูบแขนเสื้อคลุมของตัวเองอย่างสง่างามเท่านั้น
ท่าทางเช่นนั้นทำให้หนีหู่โมโหเป็นที่สุด เขาคำรามขึ้นในใจอย่างเดือดดาลว่า เจ้าหมอนี่เป็นใคร เขากล้าทำตัวอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้อย่างไร!
“เจ้าสองคนนั้นมันเป็นใครกันแน่” หนีหู่กระชากหนึ่งในศิษย์ของตัวเองเข้ามาจากทางด้านหลัง แล้วจึงถามขึ้น
ลูกศิษย์ที่ตื่นตระหนกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วส่ายหน้าเป็นพัลวันขณะตอบตะกุกตะกักว่า “ขะ-ข้าไม่รู้ขอรับ”
“เจ้าคนไร้ประโยชน์เอ๊ย!” หนีหู่ถีบเขาไปข้างๆ อย่างแรง เขาไม่เคยต้องขายหน้าต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจะต้องแก้แค้นให้จงได้
ลูกศิษย์ที่มีนิสัยช่างสังเกตมากกว่าเดินเข้ามาหาเขา แล้วกล่าวว่า “นายน้อยขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มาจากตระกูลจูเก่อ บางทีพวกเขาอาจจะถูกจ้างมาก็ได้นะขอรับ จูเก่ออวิ๋นดูมั่นใจอย่างมากเรื่องการแข่งขันว่าใครจะได้มีสิทธิ์เป็นผู้ครอบครองพระสรีระ แต่ทุกคนต่างก็รู้สถานะปัจจุบันของตระกูลจูเก่อดีมิใช่หรือขอรับ ตระกูลนั้นไม่เหลือใครแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงจ้างคนนอกเข้ามาเพิ่มได้แค่สองคนเท่านั้น”
“คนนอกหรือ” ลูกศิษย์อีกคนมีใบหน้าซีดเผือด เขาพึมพำเสียงเบาว่า “คนนอกที่ไหนจะสามารถเอาชนะพวกเราได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
หนีหู่รู้สึกได้ถึงความโกรธที่ทะยานขึ้นมาจนถึงจุดเดือดทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เอ่ยว่า “คนบางคนก็เก่งแต่เรื่องใช้ความรุนแรงแต่ไร้ฝีมือด้านการขับไล่วิญญาณร้าย ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในนั้นก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีแม้กระทั่งพลังวิญญาณเลยด้วยซ้ำ การบอกว่าพวกเขาเป็นคนนอกย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว จูเก่ออวิ๋นคงกำลังฝันกลางวันอยู่ว่าตัวเองจะสามารถชนะการแข่งขันนี้ได้ด้วยการใช้สองคนนี้ เขาคิดว่าทุกคนจะสามารถผ่านเข้าไปในสุสานหลวง ได้หรือไร เหลวไหลทั้งเพ!”
“นายน้อยพูดถูกต้องแล้วขอรับ การเข้าไปในสุสานหลวงนั้นไม่ง่ายเลย ข้ามั่นใจว่าจูเก่ออวิ๋นกับสองคนนั้นคงได้ถูกฆ่าก่อนจะทันได้หาทางเข้าเจอเสียอีก คุณหนูใหญ่เป็นคนแนะนำให้พวกเราเข้าไปในสุสานหลวงด้วยตัวเอง สองคนนี้ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้ยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยซ้ำขอรับ คุณหนูใหญ่ของพวกเราไม่ใช่คนธรรมดา นางคือพระชายาตัวจริงกลับชาติมาเกิดเชียวนะ จากวันนั้นถึงวันนี้ นางก็ยังเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ตราบใดที่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ที่นี่ ต่อให้มีใครพยายามช่วยเขาไปก็เปล่าประโยชน์ขอรับ”