บทที่ 706 หลี่จิ่วเต้าผู้ผิดหวัง!
เริ่มจากสิ่งมีชีวิตไม่ทราบนามหกตนทะลวงมิติค่ายกลได้อย่างแข็งกร้าว เข้าไปถึงเขาเฟิ่งหวา จนเป็นที่ตะลึงของสิ่งมีชีวิตข้างนอก
ทว่าบัดนี้ สถานการณ์ของพวกหลี่จิ่วเต้ายิ่งชวนให้จับตามองเข้าไปใหญ่!
เด็ก ๆ เก้าคนที่ดูอายุไม่กี่ขวบปี แต่กลับดุดันแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตตนไหน ๆ ไม่ว่าอสูรตัวใดบุกเข้ามา ก็ถูกกำจัดไปในพริบตา!
เด็กเหล่านี้ทรงพลังกว่าพยัคฆ์ดำมากนัก ไม่ว่าคนไหนต่างบดขยี้พยัคฆ์ดำได้ ก็มิได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!
พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ลง จะให้เชื่อได้อย่างไร?
เด็กอายุไม่กี่ขวบปี ต่อให้เริ่มฝึกฝนตั้งแต่ในครรภ์มารดาก็ไม่มีทางถึงระดับนี้ได้!
ทว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น เด็กอายุไม่กี่ขวบปีดุดันเหลือคณา ซ้ำยังมิใช่แค่คนเดียว หากแต่ดุดันเหมือนกันหมดทั้งเก้าคน!
จนพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกเพี้ยน ๆ ว่า การฝึกฝนนั้นง่ายดายเหมือนดื่มน้ำกินข้าว บำเพ็ญส่ง ๆ ก็บรรลุขอบเขตสูงส่งได้…
แต่พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกเพี้ยน ๆ ซ้ำยังเป็นความรู้สึกเพี้ยน ๆ ที่ร้ายแรงมากอีกด้วย
ฝึกฝนนั้นง่ายที่ไหน ยากเย็นจนน่าสิ้นหวัง การบรรลุนักบุญก็ถือเป็นความเพ้อฝันที่แทบไม่เห็นความหวังแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขอบเขตเหนือนักบุญขึ้นไป…
“คนผู้นั้นเป็นปุถุชนหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง! ม้ามังกรที่เขาขี่น่ากลัวยิ่งนัก! เปลวเพลิงที่อ้าปากพ่นออกมาแผดเผาอสูรร้ายที่บุกเข้าไปได้!”
ใครคนหนึ่งหันมองหลี่จิ่วเต้า และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นปีศาจในหมู่ปีศาจ กระทั่งสัตว์ขี่ที่ใช้เป็นพาหนะยังเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ กำลังรบไร้เทียมทาน ไม่รู้ว่าขอบเขตพลังที่มีสูงส่งขนาดไหน!
ไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวกเขาสัมผัสคลื่นพลังจากตัวหลี่จิ่วเต้าได้ กระนั้น ก็ไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวกเขามองว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชนผู้ไร้พลัง
ปุถุชนจะขี่ม้ามังกรอันน่าสะพรึงเช่นนี้ได้หรือ
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลี่จิ่วเต้าต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ที่พวกเขาสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวหลี่จิ่วเต้าไม่ได้สักเศษเสี้ยว นั่นเพราะขอบเขตพลังของพวกเขาต่ำต้อยเกินไป
“ข้านึกออกแล้ว พวกเขานี่เอง!”
“ข้าก็นึกออกแล้ว!”
“นั่นคือพุทธบุตรในยุคนี้ของพุทธศาสนา ส่วนเด็กคนอื่น ๆ และผู้ที่ขี่อยู่บนม้ามังกรเคยปรากฏตัวที่เขาหยงหมิง!”
คนจำนวนไม่น้อยจำภูมิหลังของต้าเต๋อ และกลุ่มเด็ก ๆ ของพวกอ้ายฉานได้ ทั้งยังนึกออกอีกด้วยว่าหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียน รวมถึงคนอื่น ๆ เป็นใคร
ครานั้นที่เขาหยงหมิง พวกหลี่จิ่วเต้าเป็นที่จับตาของทุกหมู่เหล่า นอกจากหลี่จิ่วเต้า คนอื่น ๆ ต่างเคยสำแดงฤทธิ์เดชอันน่ากลัว
“น่าสะพรึงเกินไปแล้ว! ครานั้น พวกเขาอำพรางพลัง หรือก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อในภายหลังกันแน่ ถึงได้มีพลังน่าครั่นคร้ามเฉกเช่นตอนนี้”
เทียบกับในอดีต พวกเซี่ยเหยียน อ้ายฉานในตอนนี้ทวีความน่ากลัวขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งมีชีวิตข้างนอกต่างทึ่งจนไม่อาจทึ่งไปกว่านี้ได้อีก
พวกเขารู้สึกว่า ต่อให้เป็นยอดนิกาย ก็ไร้น้ำยาเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเซี่ยเหยียน ห่างชั้นกันไกลโข น่ากลัวว่าไม่ว่าคนใดในกลุ่มเซี่ยเหยียนต่างสามารถกำจัดยอดนิกายทั้งหมดได้ง่ายดาย!
ใช่แล้ว!
แม้แต่ยอดนิกายทั้งหมดนั่น ก็มิใช่ยอดนิกายที่สมานฉันท์เป็นหนึ่ง
พวกเขารู้สึกว่า ต่อให้ยอดนิกายทั้งหมดรวมตัวด้วยกัน ก็มิใช่คู่มือของใครก็ตามในกลุ่มของเซี่ยเหยียน ความห่างชั้นนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง!
ภายในมิติค่ายกล
เดิมทีหลี่จิ่วเต้ายังตั้งใจจะลงมือ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือเขาเลย อ้ายฉาน ต้าเต๋อ และคนอื่น ๆ ก็จัดการอสูรร้ายที่บุกเข้ามาได้แล้ว แม้แต่เซี่ยเหยียนก็ยังไม่ค่อยได้ลงมือเท่าใดนัก
‘สิ่งใดหรือคืออัจฉริยะ เด็กเหล่านี้อย่างไรเล่า!’
หลี่จิ่วเต้าสะท้อนใจ
พรสวรรค์การฝึกฝนของพวกอ้ายฉาน และต้าเต๋อสูงส่งยิ่งนัก แม้ว่าอายุยังน้อย กระนั้นความสำเร็จในด้านฝึกตนกลับเหนือกว่าผู้ฝึกตนอาวุโสเหล่านั้นไปไกลแล้ว
นี่ถือเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หรือก็คืออัจฉริยะสะท้านโลกันตร์ที่ผู้ฝึกตนมักติดปากอยู่เสมอกระมัง!
เสียงระเบิดดังไม่หยุดหย่อน เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉาน ต้าเต๋อต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด ทะลวงเปิดทางอันโชกเลือดออกมา จนพวกเขาทะลุผ่านมิติค่ายกล เข้าไปยังเขาเฟิ่งหวาสำเร็จ
“นี่หรือคือผู้ที่นายท่านรออยู่”
อวิ๋นเยียนมองร่างของพวกหลี่จิ่วเต้าแล้วคิดเงียบ ๆ ในใจ
อีกด้าน พวกหลี่จิ่วเต้าเข้ามาถึงภายในเขาเฟิ่งหวา
‘จะใช่ซีหรือไม่’
หลี่จิ่วเต้ารู้สึกคาดหวังนิดหน่อย เขาหวังว่าจะได้พบซี
ที่นี่ยังเป็นเพียงตีนเขาของเขาเฟิ่งหวา เขากระโดดลงจากหลังกิเลนไฟ เดินเท้าขึ้นไปเหมือนพวกลั่วสุ่ย ขี่กิเลนไฟขึ้นเขาดูจะไร้มารยาทเกินไป
พวกเขาก้าวข้ามบันไดเขา จนสุดท้ายก็มาอยู่หน้าตำหนักอันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ที่นี่เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหกที่ฝ่าผ่านมิติค่ายกลมาได้ก่อนก็อยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากพวกหลี่จิ่วเต้ามาถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหกก็พากันมองพวกเขา
นัยน์ตาพวกเขาต่างมีประกายประหลาดอันยากจะสังเกตเห็นวาววับ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามาได้มากมายปานนี้
‘ขอบเขตอันใดกัน?’
พวกเขาต่างตะลึงงัน แข็งแกร่งระดับพวกเขา ยังสัมผัสไม่ได้ถึงขอบเขตพลังที่แท้จริงของพวกหลี่จิ่วเต้า!
กลุ่มของพวกหลี่จิ่วเต้า ไม่ว่าผู้ใดต่างก็มีพลังพิเศษบางอย่างห่อหุ้มตัวไว้ กีดขวางญาณสัมผัสของพวกเขา
ทว่าเมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเขาก็สงบใจลงได้
ผู้ที่ผ่านด่านมิติค่ายกลนั้นมาได้ ไฉนเลยจะธรรมดา หากไม่มีพลังมากพอ ก็ไม่มีทางผ่านด่านมิติค่ายกลนั้นมาได้เลย
และพลังที่มากพอ จะต้องอยู่เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไป
พวกเขาผ่านมิติค่ายกลนั้นมาด้วยตนเอง รู้ดีว่าการจะผ่านมิติค่ายกลนั้นต้องมีพลังระดับไหน มีเพียงกำลังรบเหนือเซียนขึ้นไปเท่านั้นถึงผ่านมาได้ หากอยู่ใต้เซียน เกรงว่าแม้แต่ครึ่งก้าวเทียนตี้ก็มิไหว!
ในมิติค่ายกลนั้นเต็มไปด้วยพลังค่ายกล ไม่มีจุดบอดสักที่ คิดจะผ่านด่านโดยอาศัยโชคนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าผ่านเส้นทางไหน ล้วนต้องพบเจอกับการถล่มจากพลังค่ายกล
นี่คือค่ายกลระดับเซียนอย่างแท้จริง สิ่งมีชีวิตใต้ระดับเซียนไม่มีทางผ่านไปได้
ใช่แล้ว
พลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหกนี้อยู่เหนือระดับเซียน ซ้ำยังเหนือกว่าเซียนไปไกลด้วย เพราะอย่างนั้น ยามอยู่ในค่ายกลระดับเซียนนี้ถึงได้สบายไร้แรงกดดัน
แม้ว่าพวกอ้ายฉาน ต้าเต๋อยังไม่บรรลุเซียน ทว่าพลังในตัวพวกเขานั้นไม่ธรรมดา วิเศษกว่าพลังข้างนอกนั่นมาก ซ้ำวิชาอาคมที่พวกเขามีก็ล้วนแล้วไม่ธรรมดา เป็นถึงมหาวิชา
หากเทียบกันจริง ๆ พวกเขามิได้ด้อยไปกว่าเซียนเลย ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าเซียนหลายตนด้วย
สิ่งมีชีวิตทั้งหกตระหนักถึงข้อนี้ดี เพราะอย่างนั้น ถึงสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
ในอาณาจักรแห่งนี้ ผู้ที่บรรลุเซียนได้ย่อมไม่ธรรมดา มีฝีมือขนาดที่กีดกันญาณสัมผัสผู้อื่นได้ก็นับว่าปกติ
อย่างเช่นพวกเขา พวกเขาต่างไม่ธรรมดา มาจากอาณาจักรอันน่าทึ่ง มีฝีมือพอจะกีดกันญาณสัมผัสผู้อื่นเช่นกัน ไม่มีทางเปิดเผยขอบเขตพลังที่แท้จริงของตัวเองให้ผู้อื่นรู้
อนิจจา นั่นเป็นเพียงการทึกทักเอาเองของพวกเขาเท่านั้น
พวกเขาคิดว่าพวกเขากีดกันญาณสัมผัสของผู้อื่นไปแล้ว แท้จริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ อย่างนั้นก็มิใช่สำหรับลั่วสุ่ย
ลั่วสุ่ยแข็งแกร่งเกินไป ซ้ำยังโดดเด่นด้านพลังวิญญาณ นางสัมผัสถึงขอบเขตของสิ่งมีชีวิตทั้งหกตนนี้ได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ระดับไหน
ขอบเขตของสิ่งมีชีวิตทั้งหกไม่เท่ากัน กระนั้นต่างก็แข็งแกร่งสุดยอดกันถ้วนหน้า ผู้ที่ขอบเขตต่ำที่สุดยังอยู่ขั้นจ้าวแห่งเซียน ซ้ำยังมียอดเซียนตนหนึ่งอยู่ด้วย!
มาจากที่ใดกัน?
ภพเซียนหรือ?
ลั่วสุ่ยคิดในใจ นางไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในอาณาจักรนี้จะบำเพ็ญถึงขอบเขตสูงส่งเช่นนี้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหกนี้ต้องมาจากข้างนอกนั่นแน่นอน
สิ่งมีชีวิตทั้งหกมิได้สนทนากัน คล้ายว่ากำลังระแวงกันและกันมากกว่า ต่างคนต่างมีความคิดของตนเอง
แอ๊ด!
เวลานั้นเอง ประตูใหญ่ของโถงหลักค่อย ๆ เปิดออก สตรีงามพิลาสนางหนึ่งเดินออกมา
นางเป็นสตรีโฉมสะคราญ รูปร่างสูงเพรียว ดวงหน้าพิถีพิถันไร้ที่ติ นัยน์ตาคู่นั้นแวววาวนุ่มนวลชวนหลงใหล
บุคลิกโดดเด่น มีแสงเซียนวนเวียนบาง ๆ อยู่รอบตัว ท่าทางสูงส่งเป็นที่สุด ราวกับตัดขาดจากฆราวาสไปแล้ว
“สวัสดีสหายทั้งหลาย”
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบาบาง สุ้มเสียงอ่อนหวานน่าฟัง ประดุจเสียงจากสวรรค์
สิ่งมีชีวิตทั้งหกมิเอ่ยวาจา ยังคงระแวงกันและกัน พวกเขาไม่อยากเผยตื้นลึกหนาบางของตัวเองออกไปก่อน
“เฮ้อ…”
หลังหลี่จิ่วเต้าได้เห็นนางเซียนงามพิลาสผู้นั้น ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง
เขาคิดมากเกินไป นางเซียนงามพิลาสผู้นี้มิใช่ซี…
ก่อนหน้านี้ เขาคาดหวังสูงเกินไป คิดไปว่านางเซียนงามพิลาสแห่งเขาเฟิ่งหวาต้องใช่ซีแน่นอน ทว่าหาใช่เช่นนั้นไม่ นี่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างมาก
“เหตุใดสหายถึงถอนหายใจหรือ”
นางเซียนงามพิลาสหันมองหลี่จิ่วเต้า พลางเอ่ยถามเสียงเบา
ภายนอกนางดูเหมือนไม่มีอะไร ทว่าในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิดหน่อย
หลังได้พบนางก็ถอนหายใจ ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
หรือว่านาง…ขี้เหร่หรือ?
“เปล่า”
หลี่จิ่วเต้าส่ายหัว “ข้าเพียงแต่นึกบางอย่างขึ้นได้ มิได้เกี่ยวอันใดกับนางเซียน”
เขาเอ่ยต่อ “พวกท่านสนทนากันไปเถิด ข้าเป็นเพียงปุถุชนผู้หนึ่ง มิสู้จะเข้าใจการฝึกตนของพวกท่านเท่าใด ขอไม่อยู่วุ่นวายที่นี้แล้วกัน”
จากนั้น เขากล่าวลานางเซียนงามพิลาสผู้นั้น “ข้าไปเดินเล่นรอบ ๆ นี้หน่อย”
ไม่ได้พบซี เขารู้สึกอารมณ์ไม่ดีจริง ๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจไม่ได้พบซี กระนั้นก็ยังรู้สึกหมองหม่นอย่างอดมิได้
ปุถุชนรึ?
นางเซียนงามพิลาสหัวเราะในใจ ไยคนผู้นี้ต้องเสแสร้งให้นางดูด้วย
ทว่านางมิได้ใส่ใจ บอกไปคำหนึ่ง “ตามสบาย”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ไปจากที่นี่ตามลำพัง วนเล่นอยู่ในเขาเฟิ่งหวา
“ซี…เมื่อใดจะได้พบเจ้า!”
เขาทอดถอนใจหนักหน่วง ความคิดคะนึงถึงซีโถมทับจิตใจอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง ในใจของเขา ซีสำคัญอย่างยิ่งยวด
คุณชายไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ
พวกลั่วสุ่ยต่างงุนงงกันหมด กระนั้นพวกเขาก็อยู่ต่อ แม้ไม่รู้ว่าต้องสนทนาเรื่องใดกับนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ก็ตาม
แต่คุณชายกล่าวไว้แล้ว ให้พวกเขาอยู่สนทนากับนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ คิดแล้วคงมีความหมายลึกซึ้งใดแฝงอยู่
“สหายหรือ”
ลั่วสุ่ยยิ้มเย็นในใจ จุดประสงค์ของนางเซียนงามพิลาสผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!
เทศนาหลักเต๋าอะไรกัน น่ากลัวว่าความจริงคงมิใช่เช่นนี้
หากคิดจะเทศนาหลักเต๋ากันจริง ๆ ไยต้องเรียกว่าสหาย สรรพนามสหายใช้เรียกผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันมิใช่หรือ…
ลำพังสรรพนามนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาแล้ว!
มิหนำซ้ำ มิติค่ายกลที่นางเซียนงามพิลาสผู้นี้ตั้งขึ้นยังสยดสยองปานนั้น หากมิใช่เซียนย่อมไม่มีทางผ่านได้ นั่นยิ่งบ่งบอกถึงปัญหา!
เห็นได้ชัดว่า นางเซียนงามพิลาสผู้นี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มิได้คิดเทศนาหลักเต๋าจริง ๆ…
มิฉะนั้น เหตุใดเกณฑ์การเข้าถึงที่นนี่จึงกำหนดไว้สูงเช่นนี้?!
มิใช่เซียนผ่านไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้เลย!