ตอนที่ 15 แย่แล้ว! เขามาแล้ว!
“ท่านใต้เท้าขอรับ เป็น…เป็นท่านอ๋องน้อยขอรับ”
จุยเฟิงกวาดมองจี้มั่วอิ้นเหรินกับเฟิงอู๋โยวที่สุมหัวกันอยู่ ก่อนเดินกลับมาที่ด้านหน้าราชรถหยกพร้อมพูดเสียงแผ่ว
“อืม”
จวินมั่วหรันตอบรับเสียงเบื่อหน่าย ก่อนค่อยๆ แง้มผ้าม่านมองทั้งสองคนที่กำลังตกใจจนหน้าซีดอยู่ที่ประตูโรงรับจำนำ
ในเวลาเดียวกัน สายตาของเฟิงอู๋โยวก็เหลือบไปหยุดค้างอยู่บนนิ้วมือเรียวยาวของจวินมั่วหรันที่จับผ้าม่านบนราชรถหยก
แม้จะหวาดกลัวเซ่อเจิ้งหวางผู้โด่งดังคนนี้ยิ่งนัก แต่ภายในใจก็อดรู้สึกปลื้มปีติขึ้นมาไม่ได้
นางรู้สึกปลื้มปีติที่ตัวเองถูกวางยาปลุกกำหนัดและได้หลับนอนกับชายรูปงาม
แม้แต่มือของชายรูปงามคนนี้ก็ยังงดงามได้ขนาดนี้…
นางจ้องมองราชรถหยกง ห้วงสมองผุดภาพเรือนร่างของจวินมั่วหรันที่นอนแผ่อยู่ใต้แสงเทียนขยับไหวในค่ำคืนนั้น
“เข้ามาได้แล้ว มัวอืดอาดอยู่ได้”
“อู๋โยว เจ้าคิดว่าข้ารูปงามหรือไม่”
…
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อยู่ๆ เฟิงอู๋โยวก็นึกถึงภาพฉากร่วมรักดื่มด่ำกับจวินมั่วหรันขึ้นมา
“งามขอรับ! งามตั้งแต่แต่ศีรษะจรดปลายเท้า งดงามไร้ที่ติทุกอณูเลยขอรับ” เฟิงอู๋โยวสูบลมเข้าปากเพื่อเก็บน้ำลายที่ไหลออกจากมุมปาก ก่อนพึมพำกับตัวเอง
จุยเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็กวาดสายตากลับไปมองใบหน้าบ้าผู้ชายของเฟิงอู๋โยว ภายใจในรู้สึกเวทนาเหล่าสตรีน่าสงสารที่ลุ่มหลงในรูปลักษณ์ของเจ้านายตัวเองอย่างไม่สำเหนียกตัวเอง
เกือบครึ่งปีมานี้ เหล่าสตรีผู้น่าสงสารที่ลุ่มหลงในรูปลักษณ์อันงดงามของจวินมั่วหรันจนไม่เอาการเอางานมีนับร้อยๆ คน
ในบรรดาสตรีผู้น่าสงสารเหล่านี้ ก็มีเกินครึ่งที่ถูกความเย็นชาของจวินมั่วหรันเล่นงานจนเป็นบ้า ส่วนคนที่สภาพจิตใจอ่อนแอหน่อยก็ฆ่าตัวตาย หมายหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของพิษความลุ่มหลงโดยไม่ต้องให้จวินมั่วหรันลงมือ
สภาพเฟิงอู๋โยวที่กำลังล่องลอยไปกับจินตนาการของตัวเองและดื่มด่ำอยู่กับภาพลักษณ์อันงดงามเกินอื่นใดเปรียบของจวินมั่วหรันทำเอาจี้มั่วอิ้นเหรินตกใจ
เขาหยิกเอวเฟิงอู๋โยวพลางเอ่ยเสียงต่ำ “น่าไม่อาย กล้าน้ำลายไหลกับราชรถหยกของเซ่อเจิ้งหวาง”
เฟิงอู๋โยวปัดมือของจี้มั่วอิ้นเหรินออก ความเจ็บที่แผ่ซ่านมาจากเอวพลันเรียกสติของนางกลับคืนมา
นางคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคนอื่น จึงเบี่ยงหน้าหนีและหลบอยู่ด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหริน
“ไม่เห็นข้า ไม่เห็นข้า ไม่เห็นข้า…”
เฟิงอู๋โยวหลับตาปี๋ มือทั้งสองข้างพนมมือขึ้น ปากภาวนาพึมพำ นางขอให้จวินมั่วหรันจากไปไวๆ
แต่ที่ผิดคาดก็คือ ไม่เพียงแต่จวินมั่วหรันจะไม่ไปไหน อีกทั้งยังลงมาจากราชรถอีก
เขาเหมือนเทพสวรรค์ที่เสด็จลงมาเยือนโลกมนุษย์ นุ่งห่มอาภรณ์สีเข้มงามวิจิตรทั่วทั้งตัว ชายแขนเสื้อกว้างปักดิ้นทองพลิ้วไหวตามแรงลม ยามสายลมพัดโบกเป็นระลอก เส้นผมยาวสลวยที่พาดอยู่บนแผ่นหลังของเขาก็พลันปลิวสยายทันที
เจ้าปีศาจเปี่ยมด้วยเสน่ห์และความอำมหิต เกินกว่าผู้ใดทั่วใต้หล้าจะเทียบเคียง
“แย่แล้ว! เขามาแล้ว!”
“นั่นคือเซ่อเจิ้งหวาง! พระเจ้า อยากเป็นนางสนมของเซ่อเจิ้งหวางเสียจริง!”
“อยากมอบทายาทให้เซ่อเจิ้งหวาง!”
…
ในเวลานั้น เหล่าสตรีมากมายต่างชะเง้อหน้าออกมาจากเรือนและต่างพากันกรีดร้องอยู่ในใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อต้อนรับการเสด็จมาเยือนของเซ่อเจิ้งหวาง
“ไหนบอกว่าอารมณ์ของเซ่อเจิ้งหวางอารมณ์แปรปรวนและโมโหร้ายไม่ใช่หรือ”
เฟิงอู๋โยวแทบเป็นลมกับเสียงกรีดร้องระคายหูรอบๆ นางได้แต่บ่นพึมพำเสียงต่ำ
จี้มั่วอิ้นเหรินยกนิ้วป้องปากเป็นเชิงสั่งให้เงียบ ก่อนพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “สตรีทั่วใต้หล้า หาได้มีผู้ใดสามารถต้านทานมนต์เสน่ห์ของเซ่อเจิ้งหวางได้แม้แต่ผู้เดียว”
“ความกำหนัดคือธรรมชาติของมนุษย์ ข้าเข้าใจดี”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าพลางฉุกนึกถึงตอนที่ตัวเองลุ่มหลงเสียอาการ นางเข้าใจความคิดของเหล่าสตรีพวกนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“จี้มั่วอิ้นเหริน ผู้ใดอนุญาตให้ฝ่าบาทออกจากวัง” จวินมั่วหรันปริปากเอ่ยและพูดด้วยแววตาหยิ่งยโส
ครั้นน้ำเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมเปล่งออกจากปากของเขา ก็ย่อมมาพร้อมกับรังสีเรืองอำนาจยิ่งใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วรัศมีหนึ่งร้อยเมตร ทำเอาผู้คนต่างรับรู้ได้ภัยอันตราย
จี้มั่วอิ้นเหรินก้มหน้าหลุบตาต่ำลงทันที ก่อนค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปด้านหน้าจวินมั่วหรัน “เซ่อเจิ้งหวาง ข้าผิดไปแล้ว”
จวินมั่วหรันกำลังหงุดหงิดกับเรื่องสตรีหัวขโมยที่หยามหมิ่นตัวเองและยังลอยนวลตามจับไม่ได้ ซ้ำยังต้องมาฟังรายงานอย่างละเอียดจากจี้มั่วจื่อเฉิน ถึงวิธีการสอยเอากางเกงชั้นในของตัวเองที่ถูกแขวนแทนธงออกศึกอยู่ที่หน้าประตูป้อมปราการ ในที่สุด ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอกก็ถึงคราวปะทุขึ้นแล้ว
“จงกลับวังไป ณ บัดนี้ แล้วคัดกฎการปกป้องราชอาณาจักรแปดร้อยจบ”
น้ำเสียงของเขาเพิ่งสิ้นสุด ใบหน้าเล็กเรียวของจี้มั่วอิ้นเหรินก็เหยเกลงทันที เขาพยายามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงวิงวอน “เซ่อเจิ้งหวาง เห็นแก่การรู้จักสำนึกผิดของข้า ได้โปรดลดลงเหลือสองร้อยจบไม่ได้หรือขอรับ”
“จุยเฟิง ไปส่งฝ่าบาทกลับวัง”
จวินมั่วหรันปัดมืออย่างไม่เหลือโอกาสให้ต่อรอง ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงซุบซิบถึง “สตรีหัวขโมย” อยู่เป็นเนือง มันช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก
“ขอรับ”
จุยเฟิงยักไหล่อย่างไม่มีทางเลือก เห็นแก่ยศและสีหน้าของจี้มั่วอิ้นเหริน จึงไม่ได้นำสิ่งใดมาคล้องมือของเขาไว้ “ขอให้กระหม่อมคอยอารักขาฝ่าบาทกลับวังด้วยขอรับ”
“รู้แล้ว ข้าไปเองได้”
จี้มั่วอิ้นเหรินเหลือบมองไปหาเฟิงอู๋โยวที่แน่นิ่งไม่กล้าขยับอยู่ตรงประตูโรงจำนำอย่างไม่วางใจ แต่เขาก็ไม่กล้าต่อกรกับจวินมั่วหรัน จึงได้แต่เบะปากและเดินสะบัดชายแขนเสื้อจากไป
เคล้งๆ
ในช่วงฉุกละหุก ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องหยกตกลงพื้นดังขึ้นมา
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นจี้มั่วอิ้นเหรินเอากล่องหยกแปดช่องออกมาจากชายแขนเสื้อและปาใส่รองเท้าเอี่ยมสะอาดของจวินมั่วหรันทันที