ตอนที่ 18 ตดสายรุ้ง[1]ของเฟิงอู๋โยว / ตอนที่ 19 เซ่อเจิ้งหวางใจอ่อนกระนั้นหรือ
ตอนที่ 18 ตดสายรุ้ง[1]ของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวกะพริบตาปริบๆ พลางพยักหน้าราวกับลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว
นางนึกถึงมนต์เสน่ห์ของเสียงทุ้มต่ำฟังระรื่นหูของจวินมั่วหรันแล้วยิ้มร่าอย่างไม่รู้ตัว “ท่านใต้เท้าขอรับ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ใกล้ชินท่าน เป็นเพราะมีท่านใต้เท้าอยู่ ดวงตะวันทุกวันนี้จึงรุ่งโรจน์ส่องสว่างเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีร่มบารมีของท่านคอยคุ้มครองอยู่ กระหม่อมจึงมองเห็นแสงสว่างที่ส่องมาเยือนเบื้องล่าง!”
“หึ! ไม่ใช่เบื้องล่าง แต่เป็นชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าต่างหาก”
เฟิงอู๋โยวที่เผลอพูดพล่อยๆ ออกไป ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างอาวรณ์ นางนึกไม่ถึงว่ารังสีกดดันของจวินมั่วหรันจะทำให้สภาพจิตใจของนางปั่นป่วนได้ขนาดนี้
และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ทันทีที่นางพูดจบก็ราวกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าพิโรธกลางวันแสกๆ ประหนึ่งระเบิดดังกัมปนาทขึ้นเหนือเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลิน
เฟิงอู๋โยวถึงกับเหงื่อตก ในใจบ่นอุบ บางทีชาติที่แล้วของตัวเองคงสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้อย่างมาก ทำให้ชาตินี้ถูกเทพเจ้ากลั่นแกล้งประหนึ่งลูกไก่ในกำมือ
แววตาจวินมั่วหรันเยือกเย็นลง น้ำเสียงเจือแววอำมหิตประหนึ่งระฆังพิพากษาที่ดังกังวานอยู่ในโสต “เบื้องล่างสุกสว่างหมื่นจั้ง[2]อย่างนั้นหรือ อ่า…ในเมื่อแม่ทัพเฟิงใจกล้าร้องขอ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจ”
“จะ จะทำอะไร!”
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นพลันยกมือทั้งสองข้างตั้งท่าป้องกันจุดสำคัญบนร่างกายนางอย่างมิดชิด
“จุยเฟิง มอบแสงสว่างหมื่นจั้งให้แก่เจ้า”
จวินมั่วหรันปริปากพูดขึ้น สายตาเคร่งขรึมจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังลนลาน ภายในใจเกิดความรู้สึกครึ้มใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ครั้นเฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองจุยเฟิงทันที “พี่ใหญ่จุยเฟิง พอจะบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่าแสงสว่างหมื่นจั้งคืออะไร”
จุยเฟิงเบะปากเล็กน้อย เพราะเขาไม่อยากรังแกเฟิงอู๋โยวต่อหน้าผู้คนแบบนี้
สำหรับเขาแล้ว เฟิงอู๋โยวคือผู้อ่อนแอที่ต้องการการปกป้องอย่างไม่ต้องสงสัย และด้วยนิสัยของเขา ก็ไม่ใช่พวกที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอ
แต่สิ่งที่น่าจนปัญญายิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อจวินมั่วหรันนึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามไม่อยู่
ไม่นาน ทหารองครักษ์เงาก็โผล่มาจากด้านหลังเฟิงอู๋โยว ในมือถือประทัด จากนั้นก็เข้ามามัดเข้าที่เอวของนาง
ฟู่
เมื่อจุยเฟิงจุดไฟในมือขึ้น เฟิงอู๋โยวถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำว่า ‘แสงสว่างหมื่นจั้ง’ ที่จวินมั่วหรันพูด ก็คือการใช้ประทัดระเบิดลำตัวท่อนล่างของนางให้เละกระจุย
“เจ้าเส้นเลือดน้อย เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
เฟิงอู๋โยวตะโกนขึ้นในใจ ในหัวระลึกถึงการร่วมรักชั่วข้ามคืนนั้น ในใจเกิดตัดพ้อ หากกลับกัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจตัดใจลงมือทำร้ายจวินมั่วหรันได้
ช่างคิดไม่ถึงว่าจวินมั่วหรันจะเป็นคนที่หัวรุนแรงโหดเหี้ยมดุจราชาปีศาจเช่นนี้
มุมปากของจวินมั่วหรันผุดแววขี้เล่นขึ้น “รังแกเจ้า หยามหมิ่นเจ้า ฆ่าเจ้าให้มันได้อะไร ข้าผู้นี้จะจดจำเจ้าได้เยี่ยงไร เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าเสียชีพได้ เสียเกียรติได้”
“ท่านใต้เท้า ท่านอิจฉาความเป็นชายอันโอ่อ่าของกระหม่อมจนอยากจะระเบิดท่อนล่างของกระหม่อมให้เละกระจุยเลยอย่างนั้นหรือ”
รูม่านตาดำสนิทของเฟิงอู๋โยวหดเกร็งลงฉับพลัน ประกายไฟในดวงตาของนางประหนึ่งเพลิงผลาญ ไฟฮึดสู้ในตัวนางลุกโชนขึ้นมาทันที
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
จวินมั่วหรันผุดยิ้มมุมปาก น้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม ดวงตาสะท้อนความตื่นเต้นออกมาอย่างปิดบังไม่อยู่
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็โด่งดังเปรี้ยงปร้างไปด้วยกันเลยแล้วกัน!” เฟิงอู๋โยวเลิกคิ้วขึ้นและพุ่งเข้าหาจวินมั่วหรันอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“…”
ก่อนหน้านี้ เสียงวายโวยของเฟิงอู๋โยวดังลั่นไปทั่วท้องถนนเมืองหลวง ทว่าบัดนี้กลับเหลือเพียงเสียงลมหายใจ
แม้แต่จี้มั่วอิ้นเหรินก็ยังตกใจจนอ้าปากค้าง ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงคำว่า มีความรู้ท่วมหัว แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเฟิงอู๋โยวที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตัวเองอยู่ตลอดก็เอาตัวไม่รอด
จุยเฟิงขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เขาจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่กอดอยู่บนตัวจวินมั่วหรัน จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิงอู๋โยวถึงเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้!
จวินมั่วหรันหลุบตามองเฟิงอู๋โยวที่เกาะตัวเขาแน่นราวกับปลิงอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ปล่อย”
เฟิงอู๋โยวไม่สนใจโทสะอันท่วมท้นของจวินมั่วหรันอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม นางกลับแนบใบหน้าลงบนหน้าอกของเขาทันที ก่อนพูดจาเอาใจจวินมั่วหรันเหมือนจี้มั่วอิ้นเหรินที่ทำก่อนหน้านี้
“ใต้เท้าขอรับ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมขออภัยเป็นอย่างยิ่ง โบราณกล่าวไว้ว่าคนเราควรดีต่อกัน เจอกันวันหน้าจะได้มองหน้ากันติด ดังนั้นได้โปรดอย่าระเบิดกระหม่อมเลยนะขอรับ กระหม่อมกลัวแล้ว”
ตอนที่ 19 เซ่อเจิ้งหวางใจอ่อนกระนั้นหรือ
“แม่ทัพเฟิง ถ้ายังไม่ปล่อย ข้าจะตัดแขนทั้งสองของเจ้าเสีย”
ดวงตาจวินมั่วหรันฉายแววเย็นเยือก จิตสังหารที่กัดกินกระดูกเอ่อล้นออกมา
ชายแขนเสื้อสีเข้มของเขาโบกสะบัดแม้ไร้ลม สีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เมื่อเฟิงอู๋โยวตระหนักได้ว่าระเบิดที่เอวใกล้จะระเบิดแล้ว นางก็ไม่สนใจความโมโหของจวินมั่วหรันอีกต่อไป สองแข้งสองขากอดรัดร่างกายอันแข็งทื่อของเขาแน่นกว่าเดิม
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมไม่อยากเป็นพลทหารที่ไม่เอาไหนอะไรทั้งนั้น กระหม่อมขอแค่เป็นข้าราชบริพารของท่านใต้เท้า จะก้มหน้าก้มตาทำตามหน้าที่ให้ถึงที่สุด ขอท่านใต้เท้าโปรดระงับโทสะ นับตั้งแต่วันนี้ไป กระหม่อมขอสัญญาว่าจะเชื่อฟังท่านใต้เท้าทุกอย่าง จะเป็นข้าทาสที่ฟังคำสั่งของท่านแต่เพียงผู้เดียว”
ครั้นจวินมั่วหรันได้สติกลับคืนมาก็รีบวิ่งไปด้านหน้าจวินมั่วหรันพลางพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “เทพเจ้าจะคุ้มครองเข้าข้างแคว้นตงหลินของข้า! แม่ทัพเฟิงผู้นี้เป็นถึงแม่ทัพจากแคว้นเป่ยหลีที่ชนะสงครามมาบ่อยครั้ง และบัดนี้ก็ได้เข้ามาอยู่แคว้นตงหลินของข้า นับว่าเป็นประโยชน์แก่แคว้นของพวกเรายิ่งนัก!”
เดิมทีจวินมั่วหรันจะตัดแขนของเฟิงอู๋โยวที่กอดรัดเอวเขาอยู่ทิ้งแต่ดันเหลือบเห็นสายตาหวาดกลัวจนแทบเสียสติของนาง จึงทำให้ใจอ่อนลงทันที
เขาใช้ฝ่ามือสะบั้นประทัดที่เอวของเฟิงอู๋โยวขาดในบัดดล ก่อนโยนจะโยนประทัดที่ใกล้จะระเบิดขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนสีพร้อมกับเปิดเสียงดังลั่นราวกับสายฟ้าฟาด
ตู้ม
เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท ประกายไฟสาดกระเซ็นทั่วสารทิศ
เฟิงอู๋โยวสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปสบตากับจวินมั่วหรันก็พบว่าจิตสังหารบนตัวเขาพลันสลายสิ้นไป
เมื่อตระหนักได้ว่าท่อนล่างของร่างกายตัวเองปลอดภัยก็รีบพูดดีขึ้นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง “เซ่อเจิ้งหวาง ท่านช่างเป็นผู้จิตใจดีงามที่สุดในใต้หล้าหาอื่นใดเปรียบ”
จิตใจดีงามเช่นนั้นหรือ…จวินมั่วหรันคิดว่านี่เป็นคำพูดที่น่าขำที่สุดเท่าที่เคยได้ยินในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจกลั่นแกล้งนางแล้ว และเบื่อที่จะต่อความยาวสาวความยืดกับนางอีก
เขาปล่อยมือออกจากเอวของนางอย่างเอือมระอา ก่อนผลักนางลงไปที่พื้น
ตอนนี้ภายในใจของเขารู้สึกขัดแย้งกันยิ่งนัก
แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้คน แต่เมื่อครู่นี้ จังหวะที่เฟิงอู๋โยวกระโดดกอดเขา เขากลับรู้สึกอยากกระชับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
บัดนี้ เมื่อเห็นนางลงไปกองอยู่ที่พื้น ก็คิดอยากยื่นแขนออกเพื่อช่วยดึงนางขึ้นมา
จวินมั่วหรันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ช่างน่าปวดหัวสิ้นดี
และเพื่อกลบเกลื่อนสายตาที่สั่นไหวคลุมเครือของตัวเอง จวินมั่วหรันจึงทำได้แต่ละสายตาออกไป พร้อมกับเดินเข้าไปในราชรถหยก
จุยเฟิงกับเถี่ยโส่วมองหน้ากัน พวกเขาต่างไม่คิดว่าจวินมั่วหรันจะยอมตัดใจจากเฟิงอู๋โยวไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
ในห้วงสมองของเถี่ยโส่วตอนนี้พลันฉุกคิดถึงภาพฉากจี้มั่วอิ้นเหรินไล่ต้อนเขาเข้ามุมเมื่อคืนวันก่อน ตั้งแต่ถูกสตรีหัวขโมยลักลอบเข้าเรือน เขารู้สึกว่าจวินมั่วหรันมีพฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“จุยเฟิง เจ้าคิดว่าเซ่อเจิ้งหวางถูกสตรีหัวขโมยกระทำบางอย่างจนเป็นเหตุให้เพศวิถีเบี่ยงเบนหรือไม่” เถี่ยโส่วจับแขนจุยเฟิงพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จุยเฟิงส่ายหน้า “แม้แม่ทัพเฟิงคนนี้จะดูปลิ้นปล้อนไม่น่าเชื่อถือ แม้ตัวเป็นชายแต่กลับมีรูปลักษณ์หน้าตาโดดเด่นกว่าสตรี และคืนวันนั้นท่านใต้เท้าอาจเพิ่งได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ได้ลิ้มลองรสชาติอันโอชะชนิดที่ต้องหวนกลับไปชิมอีก ดังนั้น หากจิตใจของท่านใต้เท้าจะสั่นคลอนอ่อนไหว ก็ย่อมเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้”
เมื่อหันกลับไปมองเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง ก็พบว่านางถูกจวินมั่วหรันที่อารมณ์รุนแรงไม่ปกติเล่นงานจนหมดฤทธิ์และได้แต่นั่งหน้าซีดอยู่กับพื้น
หลังจากได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกตื่นตัวกับเสียงระเบิดเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้ จังหวะที่ถูกจุยเฟิงมัดด้วยประทัดเข้าที่เอวของนาง จิตใต้สำนึกของนางจึงย้อนกลับไปตอนจมน้ำตายอีกครั้ง ทำให้ลมหายใจปั่นป่วนขึ้นมาทันที
นางเพิ่งจะรอดพ้นจากอันตรายมาได้ไม่นาน บัดนี้กับต้องเผชิญกับอันตรายที่รุนแรงยิ่งกว่า
อ้างตามหลักการเหตุผลแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพจากแคว้นเป่ยหลีก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างน่าเชื่อถือแล้วว่าเป็นนางเป็นผู้ชายอกสามศอกอย่างแท้จริง
ทว่าฝ่ามือที่ผ่าประทัดไปเมื่อครู่ได้เผลอโดนผ่านท้องน้อยของนาง แม้ไม่หนักหน่วงอะไรมาก แต่ก็ทำเอานางเจ็บแปลบ
และที่น่าหงุดหงิดไปยิ่งกว่านั้น วันนี้เป็นวันนั้นของเดือน ทำให้เลือดไหลซึมออกมาตามเสื้อผ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
[1] ตดสายรุ้ง หมายถึงการหลับหูกหลับตาพูดชื่นชมยกย่องจนเกินเหตุ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำอะไรก็ดีไปหมด
[2] จั้ง คือหน่อยวัดความยาวของจีนโบราณ โดย 1 จั้งเท่ากับ 3.3 เมตร