ตอนที่ 26 ถ้าชอบก็พูดออกมาดังๆ / ตอนที่ 27 พวกโรคจิตซุ่มมองข้า
ตอนที่ 26 ถ้าชอบก็พูดออกมาดังๆ
“ราชครูอย่างนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวตกใจตาเหลือก นางเริ่มเชื่อแล้วว่าตัวเองโชคร้ายเกินกว่าใคร
ภายในหนึ่งวัน มีเรื่องกับเซ่อเจิ้งหวางผู้เหี้ยมโหด จากนั้นก็ทำให้องค์ชายเฉินไม่พอใจ ต่อมากลายเป็นต้นเหตุให้จี้มั่วอิ้นเหรินต้องคัดกฎการปกครองแคว้น สุดท้ายก็มามีเรื่องกับราชครูผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นถึงขุนนางชั้นสูง
“แม่ทัพเฟิง เจ้าออกไปเองเสียดีกว่า” ไป๋หลี่เหอเจ๋อชี้ไปที่ประตูเพื่อส่งแขก
เฟิงอู๋โยวบ่นในใจ ถ้าครั้งนี้ถูกจวินมั่วหรันจับได้ เขาไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน
ถ้าต้องถูกจวินมั่วหรันทรมานจนตาย สู้อยู่อยู่กับไป๋หลี่เหอเจ๋ออีกสักพักเสียดีกว่า บางทีอาจมีทางรอด
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเห็นเฟิงอู๋โยวนิ่งอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม่ทัพเฟิง เชิญ”
“ข้าไม่ไป!”
เฟิงอู๋โยวพูดจบก็คว้าคอไป๋หลี่เหอเจ๋อมาไว้ในอ้อมกอด ในเวลาเดียวกันชักเข็มเงินออกมาจี้ที่ขมับของเขาอย่างแม่นยำ “ให้ความร่วมมือเสียโดยดี มิเช่นนั้นข้าแทงเข็มแน่”
ทว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดขึ้นอย่างดูถูก “แม่ทัพเฟิงอย่าได้มั่นใจเกินไป เข็มเล่มเดียว อย่าคิดว่าจะข่มขู่ข้าได้”
“สำหรับเจ้า แค่เล่มเดียวก็เหลือเฟือแล้ว” เฟิงอู๋โยวทำท่าจี้เข็มไปที่เส้นประสาทเส้นสำคัญตรงขมับของเขา
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยังคงไม่สนใจคำขู่พวกนี้ เดิมทีเขาคิดจะจับนางทุ่มลงพื้น แต่ใครจะไปรู้ว่ากระบวนท่าต่อสู้ประชิดตัวของนางจะแปลกประหลาดขนาดนี้ นางหลบเลี่ยงทิศทางการโจมตีของเขาอย่างง่ายดายตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย นอนลงไปบนเตียงเสียแต่โดยดี!”
เฟิงอู๋โยวมองจุยเฟิงที่กำลังเปิดประตูเข้ามา มือข้างหนึ่งใช้เข็มจี้ขมับไป๋หลี่เหอเจ๋อ ส่วนอีกข้างก็จับอยู่ที่เอวของเขา จากนั้นนางก็ผลักเขาลงไปบนเตียง
ปึ้ง
ด้านนอกเรือนวิจิตร จุยเฟิงรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลจากภายในเรือน ครั้นแล้วจึงบุ่มบ่ามบุกเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง “ท่านราชครู ขอประทานโทษหากล่วงเกิน!”
บนเตียงตอนนี้ มือทั้งสองข้างของไป๋หลี่เหอเจ๋อถูกเฟิงอู๋โยวตรึงไว้บนศีรษะ ส่วนร่างกายก็ถูกนางขึ้นค่อมกดไว้จนขยับไม่ได้
เขายังไม่ทันตั้งสติกลับคืนมาก็เห็นจุยเฟิงกับทหารองครักษ์เงากลุ่มหนึ่งจ้องมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพปากอ้าตาค้าง
“ออกไป!”
ไป๋หลี่เหอเจ๋ออับอายจนโมโห รีบใช้มือข้างหนึ่งของเขารวบกดเฟิงอู๋โยวลงไปข้างๆ จากนั้นก็หันมาตวาดใส่จุยเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์
“ต้องขออภัยท่านราชครูเป็นอย่างยิ่ง กระหม่อมสมควรตาย” จุยเฟิงรีบก้มหน้าก้มตาขออภัยโดยไม่สนใจ ‘บุรุษ’ ที่เอาชายแขนเสื้อปิดหน้าและอยู่บนร่างกายไป๋หลี่เหอเจ๋อแม้แต่น้อย จากนั้นก็รีบพาเหล่าองครักษ์เงาที่อยู่ข้างหลังออกไปจากเรือนวิจิตรทันที
เมื่อทุกคนกลับไปจนหมด ไป๋หลี่เหอเจ๋อจึงหันกลับมามองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาลุ่มลึกเกินหยั่งถึง
เขาเห็นสีหน้าของนางซีดลง คำถามมากมายที่กำลังจะพรั่งพรูออกมากลับกลืนลงคอไป เหลือแต่เพียงคำพูดอันอ่อนโยนราวกับสายน้ำอุ่นติดอยู่ที่ริมฝีปาก “ใช้กลยุทธ์ทนทุกข์กาย[1]อย่างนั้นหรือ”
“ข้าแข็งแรงดี”
ด้วยความที่เฟิงอู๋โยวเป็นคนปากแข็ง จึงได้แต่ฝืนกลั้นความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากร่างกายและพลิกตัวลงจากเตียงไป
ครั้นลุกขึ้น นางก็รู้สึกถึงของเหลวอุ่นผ่าวที่ไหลออกมาจากท่อนล่างของร่างกายอีกครั้ง
กายหยาบร่างนี้อ่อนแอเกินไป เฟิงอู๋โยวชักเริ่มสงสัยไฉนเจ้าของร่างเดิมถึงยอมปลอมตัวเป็นบุรุษและคลุกคลีอยู่ในกองกำลังทหารนานหลายปีขนาดนี้
หากพูดจากใจจริง ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ต้องการลงมือทำร้ายนาง แต่ตอนที่นางถูกกำลังภายในผลักใส่ ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากบริเวณท้องน้อยก็ทำเอานางแทบลมจับ
“เฟิงอู๋โยว ทั่วใต้หล้านี้คนที่ริอาจพูดจาเช่นนี้กับข้าได้ นอกจากเจ้าแล้ว ที่เหลือตายหมด”
น้ำเสียงของไป๋หลี่เหอเจ๋อเรียบนิ่ง แต่ทำให้ผู้คนหวั่นเกรง
เฟิงอู๋โยวคิดอยู่ในใจ ความมั่นใจของจวินมั่วหรันก็ไม่ได้น้อยไปกว่านางเท่าไหร่ คิดว่าเขาจะต้องวางท่าอวดเบ่งต่อหน้าไป๋หลี่เหอเจ๋อแน่นอน
ดังนั้น การที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดคุยกับนางแบบนี้ หมายความว่าเขาไม่สนใจคำสั่งของจวินมั่วหรันอย่างนั้นหรือ
แต่ว่าตอนนี้ เฟิงอู๋โยวปวดท้องน้อยสุดจะทน นางจึงไม่มีกะจิตกะใจต่อล้อต่อเถียงกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ
นางยักคิ้วและพูดเย้าหยอกขึ้น “ถ้าชอบก็พูดออกมาดังๆ ก็ได้ ท่านราชครูที่พยายามสื่ออย่างเป็นนัยว่าตัวข้าพิเศษกว่าคนอื่นๆ แบบนี้ ท่านกำลังคิดอะไรมิดีมิชอบกับข้าอยู่หรือ”
ตอนที่ 27 พวกโรคจิตซุ่มมองข้า
“เฟิงอู๋โยว!”
เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากไป๋หลี่เหอเจ๋อทันที เขามองเฟิงอู๋โยวที่ยิ้มแย้มอย่างสดใสด้วยสายตาเย็นชา และแล้วใบหน้าแข็งทื่อที่ราวกับผาน้ำแข็งก็เริ่มปรากฏร่องรอยของสีหน้าขึ้นมา
“ขอรับ!”
เฟิงอู๋โยวตอบรับอย่างชัดเจน ก่อนกะพริบตาให้ไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างเชื่อฟัง
ก่อนหน้านี้ นางคิดจะอาศัยจังหวะนี้หลบหนี แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองทิ้งห่อตำลึงเงินไว้ที่โรงรับจำนำ ก็รีบเปลี่ยนความคิดทันที
นางคาดการณ์ว่าหากห่อตำลึงเงินไม่ถูกจวินมั่วหรันเก็บไป ก็คงถูกคนที่ผ่านไปมาเก็บไป สรุปก็คือไม่มีทางได้กลับคืนมา
เมื่อไม่มีเงินติดตัว ต่อให้เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงอย่างเฟิงอู๋โยวก็ต้องเสียมาดลงบ้าง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเลิกคิ้วขึ้น เขามองเฟิงอู๋โยวที่เล่นหูเล่นตาอย่างเงียบๆ ก่อนพูดขึ้นเสียงขรึม “คิดจะทำอะไรอีก”
สายตาปราดเปรื่องของเฟิงอู๋โยวกวาดมองไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างพินิจก่อนพูดขึ้น “น่าเสียดาย”
“???”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อมองหน้าเฟิงอู๋โยวอย่างสงสัย เขาสามารถจับนางโยนออกไปนอกเรือนได้ทุกเมื่อ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่านางจะพูดอะไร
“ท่านคือราชครูผู้ยิ่งใหญ่ สวมใส่ชุดขาวทรงสง่าประหนึ่งเทพฟ้ามาสู่ดิน เมื่อเทียบกับเซ่อเจิ้งหวางแล้ว เป็นความสง่าที่เทียบกันยากยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย เห็นได้ชัดว่าจี้หยกที่เอวของท่านดูไม่เข้ากับชุดของท่าน มันลดทอนความสง่าเฉกเช่นเทพเซียนของท่านลง ทำให้ท่านดูเหมือนลูกหลานเศรษฐีที่ดินที่ดูเซ่อซ่ามากกว่า” เฟิงอู๋โยวชี้ไปที่จี้หยกที่เหน็บอยู่บนเอวของไป๋หลี่เหอเจ๋อพลางพูดขึ้นอย่างเสียใจ
“เฟิงอู๋โยว! เจ้าไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ” ไป๋หลี่เหอเจ๋อจนปัญญา เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนเฟิงอู๋โยวถึงหน้าด้านได้ขนาดนี้
ไม่นับเรื่องที่ขโมยเสื้อผ้าเขาไป แล้วตอนนี้คิดอยากจะขอจี้หยกของเขาไปอีก
“มาเยือนที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ย่อมขัดสนเป็นธรรมดา” เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างหนักแน่น พร้อมตอบกลับอย่างจริงใจ
กรุ๊งกริ๊ง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อโยนถุงเงินให้ที่พื้นก่อนพูดเสียงเย็น “ไสหัวไป”
“ท่าทางการมอบเงินให้ผู้คนของท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่งามสง่าเสียจริง!”
เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้มก่อนก้มเก็บถุงเงินที่อยู่ข้างเท้า จากนั้นก็เดินโฉบผ่านไป๋หลี่เหอเจ๋อไป เพียงชั่วพริบตาก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย
ไป๋หลี่เหอเจ๋อจ้องมองบริเวณประตูที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย ดวงตาเกิดสั่นไหวรำไร
ไม่เคยมีใครกล้าลองดีต่อหน้าต่อตาเขาเช่นนี้มาก่อน แต่เฟิงอู๋โยวกลับยั่วโมโหเขาถึงสามครั้งติดๆ กัน
หากเป็นคนอื่น ป่านนี้คงกลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว แต่ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ไม่ลงมือกับนางเสียที
“บางทีเขาอาจกลายเป็นจุดอ่อนเพียงจุดเดียวของจวินมั่วหรันก็เป็นได้”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดกับตัวเองอย่างมั่นใจ ทั้งนี้ก็พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนการที่ตัวเขาตัดใจลงมือกับเฟิงอู๋โยวไม่ได้
เฟิงอู๋โยวหอบถุงเงินที่ยังอุ่นๆ จากมือของไป๋หลี่เหอเจ๋อไปยังร้านค้าเครื่องร่ำแป้งหอมเพื่อหาซื้อผ้าขี่ม้าสำหรับใส่ตอนมีประจำเดือน
“เถ้าแก่ นำผ้าขี่ม้า[2]ในร้านทั้งหมดออกมา ข้าจะซื้อ” เฟิงอู๋โยวโบกมือพูดขึ้น จากนั้นก็ควักก้อนตำลึงเงินออกมาและโยนไปบนแผงลอย
“ท่านชายกำลังพูดอะไรของท่านอยู่เจ้าคะ” เถ้าแก่หญิงตกตะลึงอยู่สักพักกว่าจะตั้งสติกลับมาได้
นางเปิดร้านมาสามสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่บุรุษมาซื้อผ้าขี่ม้าคนเดียว
“ข้าถูกลอบทำร้ายจนอัณฑะแตก มีเพียงผ้าขี่ม้าที่พอจะสามารถประคับประคองบาดแผลของข้าได้ เข้าใจหรือไม่” เฟิงอู๋โยวพูดแต่งเรื่องขึ้นมา
เก้าแก่หญิงตะลึงกับคำพูดของนาง แต่กระนั้นก็ตอบรับ “ท่านชายได้โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”
ด้านนอกร้านค้า ไป๋หลี่เหอเจ๋อกำลังแอบมองแผ่นหลังของเฟิงอู๋โยวอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าเริ่มปรากฏแววยิ้มขึ้นมาอย่างยากจะสังเกต
เฟิงอู๋โยวหนังตากระตุก ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมรับรู้ถึงสายตาที่ซุ่มมองอยู่ด้านหลังทันที แต่เมื่อหันกลับไปมองกลับไม่พบอะไร
“แปลก ข้ารู้สึกเหมือนมีพวกโรคจิตกำลังซุ่มมองข้าอยู่”
เฟิงอู๋โยวพึมพำกับตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการเลือกผ้าขี่ม้าละลานตาที่อยู่ด้านหน้า
[1] กลยุทธ์ทนทุกข์กาย คือการยอมเสียสละอะไรบางอย่างของตัวเองเพื่อทำให้ศัตรูหลงเชื่อ เป็นการทำเท็จให้เป็นจริงเพื่อให้ศัตรูตายใจ
[2] ผ้าขี่ม้า คือผ้าอนามัยที่ใช้กันในสมัยก่อน